ผมเพิ่งได้รับ ข่าวร้าย จาก สมาชิกของเว็บไซต์เราท่านหนึ่ง ที่ชื่อว่า คุณ ปวเรศ หรือ คุณเปา
ซึ่งเพิ่งจะ ประสบอุบัติเหตุ ครั้งสำคัญ ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เจ้าตัวไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้น
และไม่อยากจดจำเท่าใดนัก
แต่เนื่องจาก คุณเปา มีความประสงค์ อยากจะแบ่งปันเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตน เพียงเพื่อ
หวังให้เป็นอุทธาหรณ์เตือนสติ บรรดา ผู้ผลิตรถกระบะ ผู้ใช้รถกระบะ และผู้ใช้รถใช้ถนน
โดยทั่วไป จึงส่งบทความ พร้อมภาพประกอบ อันเป็นภาพถ่ายจากที่เกิดเหตุ มาถึงผมโดยตรง
เนื่องจาก อย่างที่ทราบกันดี ว่า มีผู้ใช้รถกระบะรุ่นใหม่ๆ เป็นจำนวนมาก เกิดอุบัติเหตุ
ไม่คาดฝัน บ่อยครั้ง ในแทบทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ไม่ต้องไปเจาะจงว่าเป็นรุ่นค่ายใดทั้งสิ้น
และส่วนใหญ่ เกิดขึ้น บนพื้นถนนลื่น
ผมพิจารณาแล้ว เห็นว่า เรื่องนี้ น่าจะเป็นประโยชน์ ในด้าน การเพิ่มความตระหนัก
ให้กับทุกคนในสังคม ในการใช้รถใช้ถนน จึงตัดสินใจ นำบทความนี้โพสต์ ขึ้นเว็บไซต์
Headlightmag.com ให้ โดยขอสงวนสิทธิ์ ในการรีทัชป้ายทะเบียน ของรถกระบะ
คันเกิดเหตุเอาไว้
และขอไม่ปรับปรุง หรือดัดแปลงต้นฉบับของคุณเปาแต่อย่างใด เพื่อให้ทุกข้อความ
ทุกเหตุการณ์ เป็นไปตามการสื่อสาร ของคุณเปา เอง ทุกประการ
บทความชิ้นนี้ คงไม่อาจป่องกันอุบัติภัยใดๆ บนท้องถนนได้มากมายนัก แต่ เรา
ทั้งผม ทางเว็บไซต์ และคุณเปา หวังเพียงอยากเห็น ตัวเลขสถิติ ผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต
จากเหตุไม่พึงประสงค์นี้ ลดลงจากปัจจุบันที่เป็นอยู่บ้าง เพียงเท่านั้น
ขอแสดงความเสียใจ กับครอบครัวผู้สูญเสีย ในเหตุการณ์นี้ด้วยครับ
และขอให้ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง นำตัวผู้ขับแท็กซี่ มาลงโทษให้ได้ โดยเร็วพลัน
J!MMY
Website Director
www.headlightmag.com
——————————————————————————-
เหตุการณ์ เกิดเมื่อตอนตี 3 ของวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2552 (คืนของวันที่ 31 กรกฎาคม) ที่ผ่านมา
นี่เองครับ ผมเพิ่งแทงสนุ๊กกับเพื่อนที่ทำงานตรงแถวๆรัชดา จากนั้นก็ขับรถ ISUZU DMAX Cab4
กลับหอพักที่ลาดกระบัง ผมใส่ Safety Belt ตลอดเวลาอยู่แล้ว ขับมาตามเส้นพระราม 9 ข้างล่าง
เพื่อที่จะมุ่งหน้าเข้า Motor Way (ขาออกจาก กรุงเทพฯ)
พอถึงทางเข้า Motor Way ซึ่งเป็นสะพานขึ้นไป 2 เลน ผมอยู่ทางเลนขวา ซึ่งขณะนั้นฝนเพิ่ง
ตกลงมาปลอยๆ พื้นถนนตรงนั้นเป็นยางมะตอย ผมก็พึงระลึกเตือนตัวเองไว้อยู่แล้วว่ามันจะ
ลื่นได้ง่ายนะ เพราะเคยเจอประสบการณ์กับตัวเองมาแล้วเรื่องท้ายปัดประมาณ 4 ครั้ง
ครั้งที่ 1 เส้นลำลูกกา มีรถน้ำกำลังรดน้ำต้นไม้บริเวณเกาะกลาง พอผมขับไปถึงก็เหยียบเบรก
ท้ายรถก็ปัดแต่ไม่มากเท่าไหร่พอควบคุมได้ ก็เลยรู้ว่าอาการท้ายปัดเป็นอย่างงี้นี่เอง โชคดี
ไม่มีรถมาข้างๆ…ก็เลยไปหาข้อมูลใน Net พบว่ารถกระบะ จะมีช่วงรถที่ยาว เวลาเหยียบเบรก
หรือ เหยียบคลัชเพื่อเปลี่ยนเกียร์จะทำให้รอบเครื่องเบาลงและล้อหมุนฟรี จึงส่งผลให้รถกระบะ
ซึ่งน้ำหนักของรถจะอยู่ที่ส่วนหน้ามากกว่าส่วนท้ายเกิดอาการล้อหลังปัด โดยจะเกิดเฉพาะ
เวลาขับบนถนนที่ลื่นมากๆเช่น พื้นยางมะตอยเวลาฝนตกใหม่ๆ
ครั้งที่ 2 เส้นคลองหลวง ตอนนั้นฝนกำลังตก เป็นพื้นยางมะตอย ผมขับมาช้าๆประมาณ 50 km/h
กำลังเข้าโค้ง แตะเบรกนิดเดียว ท้ายปัดจนรถมาอยู่อีกเลนนึงเลย โชคดีไม่มีรถมาข้างๆ…
ครั้งที่ 3 เส้นถนนพระราม9 มุ่งหน้าเข้าแยก อสมท. พื้นยางมะตอย ผมติดไฟแดงอยู่เลนขวา
คันหน้าสุด พอไฟเขียว ผมขับออกมาปรากฎว่าข้างหน้าฝั่งตรงข้ามมีรถน้ำกำลัง รดน้ำต้นไม้
เกาะกลางอยู่ ทำให้พื้นถนนฝั่งผมมีน้ำกระเด็นมาเปียกด้วย ผมขับออกจากไฟแดงมาช้าๆ
เริ่มเปลี่ยนเกียร์มาเรื่อยๆ ถึงตรงจุดนั้นอยู่ที่ประมาณเกียร์ 2 กำลังเปลี่ยนเป็นเกียร์ 3
เหยียบคลัชต์ปุ๊บ ท้ายปัดปั๊บ จนมาอยู่อีกเลนนึง โชคดีไม่มีรถมาข้างๆ….
เอารถเข้าศูนย์ ISUZU ตอนตรวจ Check ระยะทางพอดี เจ้าหน้าที่บอกว่าเกิดขึ้นบ่อยมากกับ
รถกระบะ เนื่องจากมีช่วงรถที่ยาวกว่ารถเก๋ง และยิ่งเติมลมยางแข็งยิ่งมีโอกาสปัดง่ายขึ้น เพราะ
ล้อรถสัมผัสพื้นถนนน้อยลง ก็แก้ไขได้แค่การปรับลมยางให้เป็นตามมาตรฐานและใช้ความ
ระมัดระวังในการขับขี่….OK รับทราบ
ครั้งที่ 4 เส้นร่มเกล้า ตรง U-Tern พื้นยางมะตอย พอ U-Tern ปุ๊บมาแบบช้าๆ เหยียบคลัชเบาๆ
ไม่งั้นเครื่องดับ แล้วก็เหมือนเดิมครับ ท้ายปัดซ้าย 1 ครั้ง ขวา 1 ครั้ง โชคดีไม่มีรถมาข้างๆ….
ครั้งที่ 5 ครั้งนี้แหละครับ ที่ยังติดฝังแน่นอยู่ในหัวของผม……
เฉียดตายครั้งที่ 1…………..ขณะที่ผมอยู่บนสะพานในเลนขวา มุ่งหน้าเข้า Motor Way
พื้นถนนยางมะตอย ฝนตกลงมาปลอยๆ ประสบการณ์ทั้ง 4 ครั้งที่ผ่านมาสอนผมว่า
ห้ามเหยียบเบรก ห้ามเหยียบคลัช ห้ามเปลี่ยนเกียร์ และจับพวงมาลัยไว้ให้มั่น ผมขับมา
ด้วยความเร็วประมาณ 60 km/hr ไต่สะพานขึ้นมามีรถขนาบข้างมาด้วย พอถึงตรง
กลางสะพาน ท้ายรถผม ปัดไปทางขวา และปัดต่อเนื่องมาทางซ้าย จนหน้ารถเกือบชน
ขอบสะพานด้านขวา รถที่ขนาบข้างรีบขับหนีขึ้นไป (ถือว่าเป็นโชคดีของเค้า) ท้ายรถผม
ปัดมาทางซ้ายอีกครั้งจนหน้ารถผมพุ่งตรงดิ่ง เข้าหาขอบสะพานด้านซ้ายและชนเต็มแรง
ในใจตอนนั้นคิดว่า รถต้องทะลุ ขอบสะพานจนตกลงไปข้างล่างแน่นอน พอชนปุ๊บ
แรงมากกกกกกกก แต่มันก็ไม่ทะลุขอบสะพาน
เฉียดตายครั้งที่ 2………..รถผมเริ่มเอียงขวาไต่ขอบสะพาน จนตัวผมหัวผมเริ่มเอียง
และแว่นโดนแรงกระชากออกจนเกือบหลุด ตอนนั้นคิดว่า ”คว่ำแน่” ทำไงดี ทำไงดี
แต่แล้วก็ไม่คว่ำ รถตั้งตัวใหม่แล้วเริ่มหมุน
เฉียดตายครั้งที่ 3……………สะบัดไปมา จนเริ่มชะลอมาอยู่ตรงเลน 3 นับจากซ้ายมือข
อง Motor Way ขณะที่สะบัดและหมุนมาก็กลัวว่าจะมีรถที่วิ่งลงมาจากทางด่วนมาชน
หรือเปล่า สะบัดและหมุนจนเลยจากจุดร่วมที่เป็นจุดร่วมของ ทางจากถนนพระราม 9
มุ่งขึ้นมาเพื่อเข้า Motor Way และ ทางจากทางด่วนมุ่งลงมาเพื่อเข้า Motor Way
ประมาณ 200 เมตร รถผมจอดอยู่ในเลน 3 แบบตรงๆ เลย ไม่ได้คร่อมเลน ไม่ได้
จอดขวางกลางลำ
ตอนนั้นผมตกใจมากครับ ตัวสั่นไปหมดเพราะขับรถคันนี้มา 3 ปี ทำประกันชั้น 1 ตลอด
ไม่เคยชนแรงๆ และเคยเคลมครั้งเดียวแต่รถแทบไม่เสียหายอะไรเลย ก็แค่รถมันไหล
ไปจูบกับคันหลัง แทบไม่มีความเสียหายอะไรเลย และผมก็ขับระวังตลอด
ตอนนั้นตัวสั่นมากทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าลงมาจากรถ ซักประมาณ นาทีนึง รวบรวมสติได้
ก็เปิดไฟฉุกเฉินแล้วลงมาจากรถ สภาพก็เป็นดังภาพครับ
ผมดูแล้วจากสภาพรถ ผมเห็นบังโคลนหน้ามันทิ่มกดลงไปในยาง ดูแล้วไม่น่าจะขับไปต่อได้
จะหลบรถมาอยู่ฝั่งซ้าย ก็คงไม่ดีเพราะมันเป็นเลนสำหรับรถที่จะวกกลับลงมาศรีนครินทร์
จะไปหลบทางขวา นี่ก็ไม่ต้องพูดถึงอีกตั้ง 4 เลนกว่าจะไปถึงและรถที่วิ่งลงมาจากทางด่วน
ก็เร็วๆทั้งนั้น อยู่ตรงนี้แหละดีแล้ว เพราะผมเห็นรถที่เค้าขับตามมาก็เบี่ยงหลบรถผมกันทันอยู่
ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แล้วก็เลยเข้ามานั่งในรถแล้วโทรหาเพื่อนที่เพิ่งแยกกันมื่อครู่
ผม : เฮ้ย!!! รถกูเสียหลัก ชนขอบสะพาน แล้วตอนนี้หมุนมาจอดอยู่กลาง Motor Way ว่ะ
เพื่อน : เมิงเป็นไรเปล่าว่ะ ให้กูไปหาไม๊
ผม : ไม่เป็นไรเลยแค่ตกใจนิดหน่อย เดี๋ยวกูโทรเรียกประกันก่อน
โครมมมมมมมม…………………..
ยังไม่ทันจะวางหูจากเพื่อนเลย ก็มีเสียงดังโครมมาชนท้ายรถผม ผมตะโกนออกมา จนเพื่อนผม
ตกใจมาก ก็เลยวางหูกันก่อน แล้วผมก็มองกระจกหลัง ก็ไม่เห็นรถยนต์หรืออะไรจะมาชนนี่หว่า
เพราะมอเตอร์ไซค์ ก็ไม่น่าจะมีนะ นี่มันช่วงเข้ามาในเลนของ Motor Way แล้วนะไม่ใช่เลน
ซ้ายมือสุดที่สำหรับวกรถลงไปเส้นศรีนครินทร์ซักหน่อย
พอผมลงไปดูท้ายรถ ก็เห็นมอเตอร์ไซค์ มุดเข้ามาใต้ท้องรถผมตรงป้ายทะเบียนหลังพอดี มอเตอร์ไซค์
มุดเข้ามาครึ่งคัน อีกครึ่งคันโผล่ออกมาจากใต้ท้องรถ พี่ที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาไม่มีร่องรอยบาดเจ็บอะไร
เค้ากำลังจับที่ล้อรถเค้า แล้วกระชากมอเตอร์ไซค์ออกมาเต็มแรง ตอนนั้นผมเห็นแล้วก็ตกใจมาก เพราะ
มอเตอร์ไซค์เค้าไปงัดอยู่กับใต้ท้องรถผม ยิ่งเค้ากระชากออกมา ตัวรถเค้าก็จะดึงกันชนรถผมออกมาด้วย
ผมก็เลยบอกไปว่า
ผม : “พี่อย่าเพิ่งกระชากดิ เดี๋ยวผมจะโทรเรียกประกันแล้ว”
พี่มอเตอร์ไซค์ : “พอดีรถผมเสียหลักแล้วลื่นไถลมาอยู่ใต้ท้องรถพี่ แต่พี่ไม่ต้องห่วงหรอก พี่อ่ะรถกระบะ
ผมอ่ะมอเตอร์ไซค์ รถพี่ไม่เป็นไรหรอก มาช่วยกันดึงหน่อยแล้ว”
พี่มอเตอร์ไซค์ก็ตั้งหน้าตั้งตาดึงรถเค้าสุดแรง และก็เร่งให้ผมช่วยเค้าดึง
ผม : พี่อย่าเพิ่งดึงเลย ยิ่งพี่ดึงกันชนรถผมก็ยิ่งง้างออกมา แล้วถ้าพี่หนีไปแล้วผมจะ Claim
ข้างหลังยังไงอ่ะ ผมก็ Claim ได้แต่ข้างหน้าสิ
พี่มอเตอร์เตอร์ไซค์ก็ยังคงดึงอยู่ แต่ดึงเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ออก แล้วก็ยิ่งง้างกันชนรถผมออกมาใหญ่
ผมก็ 2 จิต 2 ใจ จะช่วยดีไม่ช่วยดี แต่ถ้าไม่ช่วยเลยเดี๋ยวกันชนก็ง้างพังหมด ผมก็เลยช่วยจับที่ล้อรถอีกล้อนึง
ของเค้า ตอนนั้นผมกับพี่มอเตอร์ไซค์อยู่ตรงตำแหน่งป้ายทะเบียนหลังของรถผม โดยเค้าอยู่ซ้ายผมอยู่ขวา
แล้วก็ก้มตัวลงไปจับที่ล้อรถมอเตอร์ไซค์เพื่อออกแรงดึง แต่ผมก็ยังไม่ได้ทันออกแรงดึง ผมก็นึกแวบกลัวขึ้นมา
ว่าจะมีรถอะไรมาชนข้างหลังอีกหรือเปล่าว่ะเนี่ย
เฉียดตายครั้งที่ 4………….ขณะที่พี่มอเตอร์ไซค์ก้มหน้าก้มตาดึงเต็มที่ ผมก็จับที่ล้อรถมอเตอร์ไซค์แล้ว
ก็หันหลังเพื่อมองดูรถที่วิ่งมา ทันใดนั้นผมเห็นรถ Taxi วิ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูงมาก ระยะห่าง
ไม่เกิน 50 เมตรแน่นอนเพราะเห็น Taxi คันใหญ่มากเปิดไฟจ้ามาเลย ไม่ได้หลบซ้ายหรือขวาเลย
และไม่มีท่าทีจะเบรกด้วย ตอนนั้นตกใจและช็อคมากครับ
แล้วในหัวผมก็มีอะไรไม่รู้มาสั่งว่า กระโดด !!! แล้วผมก็ไม่รู้เรื่องอีกเลย ไม่รู้ว่าตัวเองออกแรงกระโดด
หรือเปล่า กระโดดท่าไหน กระโดดไปตรงไหน กระโดดยังไง ……..
. . . . . . . . . . . .
รู้ตัวก็ตอนที่เรากำลังลอยหมุนเคว้งอยู่ในอากาศไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากภาพขาวๆ
ลอย ลอย ลอย แล้วก็หล่นลงมา ตุ๊บ………… ตัวผมกระแทกพื้นอย่างแรง แล้วผมก็ยืนขึ้นมาแบบงงงง ตอนนี้
ผมเปลี่ยนจากยืนอยู่ตรงขวามือของพี่มอเตอร์ไซค์ตรงป้ายทะเบียนรถผม มาอยู่ตรงด้านซ้ายมือของพี่มอเตอร์ไซค์
เยื้องๆออกมาจากท้ายรถ เหมือนลอยข้ามพี่มอเตอร์ไซค์ และลอยข้ามรถ Taxi มาอีกฝากนึงจากที่ผมยืนทีแรก
ผมลุกขึ้นมองไปที่รถผม
ภาพที่ผมเห็นคือ พี่มอเตอร์ไซค์ที่ผมคุยด้วยเมื่อกี้ ที่กำลังช่วยกันดึงรถ ที่ยืนอยู่ติดกัน…
ผมเห็นเค้าโดนอัดอยู่กับมอเตอร์ไซค์ แล้วก็อัดอยู่กับท้ายรถผม ในสภาพคอขาด ทั้งตัวมีแต่เลือด
ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว กระดูกเละหมด………..
ผมช็อคมากจนคุมสติตัวเองไว้ไม่อยู่ ร้องไห้และตะโกนตลอดเวลา แล้วผมก็เห็นผู้โดยสารผู้หญิง 2 คน
ลงมาจากรถ Taxi พวกเค้าไม่มาถาม ไม่มาดูอะไรผมเลย แล้วเค้าก็รีบโบก Taxi คันหลังแล้วก็นั่งออกไป
แล้วก็เห็นคนขับ Taxi ลงมาจากรถ ผู้ชายผิวคล้ำๆ อ้วนๆ มีผมหงอก จากนั้นก็ไม่เห็นเค้าอีกเลย (ขณะนี้
คนขับ Taxi กำลังหนีการจับกุมอยู่ครับ) แล้วผมก็ไม่มองอะไรอีกเลย ผมหันหลังให้รถ แล้วมองแค่ว่าจะมี
รถอะไรวิ่งมาชนผมอีกไหม แล้วกี้นี้มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนที่คุยกับผมเมื่อกี้เป็นอย่างงั้น แล้วทำไม
ผมยังมายืนอยู่ตรงนี้ได้ แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นอีกไหม แค่ช่วง 5 นาทีที่ผ่านมา ผมเกือบตาย 4 ครั้ง
หลังจากนั้นประมาณ 1 นาที ปอเต็กตึ้งก็มา 8-9 คัน รถตำรวจอีก 3-4 คัน รถพยาบาลอีก 2 คัน ปิดเส้นทาง
บน Motor Way ไปหลายเลน เค้าให้ผมขึ้นไประงับสติอยู่บนรถพยาบาล และก็ทำแผลให้ ก็มีแผลถลอก
ที่แขนซ้าย ส่วนนอกนั้นไม่มีกระดูกแตกหักอะไรแต่รู้สึกว่ามันช้ำในมากเลยครับ แล้วก็ลงมาจากรถพยาบาล
ไปขอนั่งต่อบนรถเจ้าหน้าที่ปอเต็กตึ้ง แต่ก็ยังหวาดผวาอยู่ครับ ก็ถามกับพี่ที่อยู่ในรถว่า “ ผมอยู่ในนี้
ผมจะปลอดภัยใช่ไม๊” แล้วผมก็มองหน้ามองหลังตลอดเวลา กลัวว่าจะมีรถอะไรมาชนผมอีก พี่เค้าก็ปลอบใจ
บอกว่าปลอดภัยแน่นอน มีรถช่วยกันไว้ให้หมดแล้ว
ณ.ขณะที่เขียนบทความอยู่นี้ ขอลางานพักรักษาตัวก่อน ตอนนี้ปวดไปหมดไล่ลงมาตั้งแต่ คอ หลัง สะโพก
ก้น ขา ข้อเท้า โดยเฉพาะแขนซ้ายตอนนี้ไม่มีแรงเลยครับ คงเป็นเพราะโดนกระแทกก่อนส่วนอื่นตอนที่
ลอยตกลงมากระทบพื้น พอได้สติก็โทรแจ้งประกัน และก็โทรบอกเพื่อนที่โทรค้างกันอยู่ให้มาอยู่เป็นเพื่อน
หน่อย จากนั้นก็ไปที่โรงพัก สน.หัวหมากต่อ แต่สภาพจิตใจตอนนั้นแย่มากครับ ตัวสั่นนั่งกัดเล็บตลอดเวลา
สักพักนึงญาติของพี่มอเตอร์ไซค์ก็มา ผมก็ร้องไห้ไม่รู้จะพูดว่าอะไรก็ยกมือไหว้แล้วก็บอกว่า ”ผมขอโทษครับพี่
ผมขอโทษ” ผมไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไรจริงๆ แต่ญาติเค้าก็เข้าใจ ตำรวจบอกว่าผู้โดยสารทำกระเป๋าตังค์ตกไว้
มีบัตรนักศึกษาอยู่ของ ม.ราม ส่วนคนขับ Taxi เค้าเอาบัตรประจำรถเค้าหนีไปด้วย แต่คงตามไม่ยากเพราะ
รถเค้าก็พังยับเยินคาที่อยู่ ตอนนี้คดีก็คงยังต้องดำเนินต่อไปครับ………..และผมก็ยังต้องอยู่ต่อไปเช่นกัน……
เข็ดไปจนตายเลยครับ พ่อผมบอกว่าถ้ารถเรา ทางประกันซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ก็ขายเมื่อนั้น ไม่เอาแล้วรถกระบะ
ไม่ว่าจะยี่ห่อไหนก็ตาม ปัดกันเป็นว่าเล่น พ่อของหัวหน้าที่ทำงานผมก็เสียเพราะอาการรถปัดเหมือนกัน ตำรวจ
ที่สอบปากคำผมเค้าก็เล่าให้ฟังว่ารถเค้าก็ปัดบ่อยเหมือนกัน เจ้าหน้าที่ประกันขับ Vigo ก็เล่าให้ฟังเวลาขับไป
ต่างจังหวัดก็ปัดมาแล้วหลายครั้ง ไม่เอาแล้วครับกระบะ เข็ดจริงๆ
อยากจะฝากข้อเตือนใจกับเพื่อนๆทั้งหลายในเหตุการณ์ครั้งนี้ครับ เวลารถเกิดเสียหรือได้รับอุบัติเหตุขึ้นมา
อย่าอยู่ในรถ อย่าอยู่ใกล้รถ ให้เดินออกมาจากจุดนั้นมายืนเฝ้าอยู่ห่างๆแล้วค่อยโทรเรียกประกันหรือช่างซ่อมรถ
จะปลอดภัยที่สุดทางที่ดีก็ให้ซื้อพวกกรวยส้มหรือพวกป้ายสัญญาณเตือนติดรถไว้ เพื่อเอาไปวางกั้นกันรถคันอื่น
เข้ามาใกล้รถเราตั้งแต่เนิ่นๆก็จะเป็นเรื่องดีมากครับ ปลอดภัยต่อทั้งตัวเราเองและรถคันอื่นที่ใช้เส้นทางเดียวกับเราด้วย
(คราบเลือด ผู้เสียชีวิต ยังติดอยู่ที่ตัวรถ)
สิ่งที่ผมอยากจะถามจากบรรดาค่ายรถต่างๆที่มีรถกระบะขายไม่ว่าจะเป็น ISUZU ของผมเองก็ตาม
หรือจะเป็น TOYOTA และยี่ห้ออื่นๆ ทุกยี่ห้อก็ไม่เว้นที่มีกระบะขาย ก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่ารถกระบะ
ปัดง่ายขนาดไหน ทำไมคุณไม่เอาระบบป้องกันล้อปัดหรือระบบอะไรก็ได้มาแก้ไขให้มาเป็น
อุปกรณ์มาตรฐานประจำรถทุกรุ่นไม่ว่าจะตั้งแต่รุ่นล่างๆยันรุ่นบนๆ ไม่ใช่ว่าต้องมีเงินเท่านั้น
ถึงจะเอาระบบนี้มาได้เพราะมีให้เฉพาะรุ่นบนๆอย่างที่บางค่ายรถทำอยู่
ผมว่าเงินเยอะแค่ไหนก็ซื้อชีวิตคนเรากลับคืนมาไม่ได้ ทำไมทุกค่ายไม่ทำให้รถตัวเองมีความปลอดภัย
คนรวยเท่านั้นเหรอถึงจะซื้อความปลอดภัยได้ คนเราไม่ว่ารวยหรือจนก็ต้องการความปลอดภัยเป็น
ปัจจัยพื้นฐานเหมือนกัน แล้วทำไมพวกคุณถึงต้องเลือกให้กับเฉพาะคนที่มีเงินให้คุณได้เท่านั้นล่ะ
………..มาลองเจอแบบผมไม๊……. เผื่อจะทำให้พวกคุณหันกลับไปดูตัวเองได้บ้าง เผื่อจะได้นึกคิดได้บ้าง
ว่าอย่าเอาเรื่องเงินมาแลกกับชีวิตของลูกค้าคุณ ลูกค้าคุณ ใครนะเหรอ??? ก็คือคนเดียวกับที่พวกคุณ
บอกนักบอกหนาว่าเป็นห่วงเป็นใยเค้าไง คนที่คุณบอกว่าจะอยู่เคียงข้างเค้าตลอดเส้นทางที่เค้าไปไง
…….นั่นแหละ ลูกค้าคุณ……………
ถ้าเป็นไปได้……. เปาไม่อยากจะเขียน และไม่อยากรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยครับ……………
—————————————————————
ขอขอบคุณ เพื่อนศร เพื่อนกอล์ฟ เพื่อนจอมที่มาอยู่เป็นเพื่อนกันและคอยประสานงานทุกอย่างให้ในคืนนั้น
ขอขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่ ที่ทำให้รู้สึกได้ว่า เราปลอดภัยแล้ว
ขอขอบคุณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ติดตัวไว้ในวันนั้น หลวงพ่อโสธร ตะกรุดลูกปืนอาจารย์อ๊อดวัดสายไหม
กะลาพระราหู และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายรวมถึงพระคุณของคุณพ่อและคุณแม่ ที่คุ้มครองผมอยู่
และสุดท้าย ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของพี่มอเตอร์ไซค์ครับ ผมเสียใจจริงๆครับ…………
กุศลที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากการเผยแพร่บทความครั้งนี้
ผมขออุทิศให้แด่พี่มอเตอร์ไซค์ที่เสียชีวิต (นาย อนุชา หยดย้อย) ครับ
——————————–///——————————–
ผู้เขียน : aUNg-pAo …………[email protected]
เพื่อเป็นอุทธาหรณ์เตือนใจแด่เพื่อนร่วมทางบนท้องถนน
ผู้เขียนไม่ขอสงวนลิขสิทธิ์ทั้งภาพและบทความ
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
3 สิงหาคม 2552