ในที่สุดโครงการรถยนต์ซีดานขนาดเล็กของ Nissan ก็เริ่มเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกที รถคันนี้ถือเป็นรถยนต์นั่งรุ่นที่ 4 ในโชว์รูม Nissan ชื่อ รูปร่างหน้าตา บุคลิคจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับ Nissan March ผู้น่ารักแต่อย่างใด ที่สำคัญ Nissan เลือกใช้กลยุทธ์ “ตีตั๋วเด็ก” จับวางเครื่องยนต์ 1.2 ลิตรเพื่อให้เข้าพิกัดภาษีอีโคคาร์ หมายหลีกเลี่ยงการแข่งขัน 2 เจ้าตลาด
สถานการณ์ Nissan ปัจจุบันก็เพิ่งประสบความสำเร็จไปแล้วในการสร้างแบรนด์ Teana ที่เพิ่งจะติดลมบนเอาตอนเจเนเรชั่นที่ 2 รหัสตัวถัง J32 ด้วยยอดขายเฉลี่ย 500 คันต่อเดือนส่วนแบ่งการตลาด 22% ในกลุ่ม D-Segment โดยไร้อาการแผ่วให้เห็นแม้แต่น้อย ล่าสุดแบรนด์ March ก็เริ่มติดเข้าไปในใจผู้คนไทยด้วยความน่ารักสดใส ประหยัดพลังงาน ให้สมรรถนะที่ดีเกินคาด ภายใต้ราคาที่คุ้มค่าในฐานะผู้นำตลาดอีโคคาร์รายแรก ภาระสำคัญที่จะต้องทำต่อก็คือ Nissan ต้องผลักดันรถยนต์นั่งของตนให้ประสบความสำเร็จไม่ต่ำกว่า 3 รุ่น
ดังนั้น Nissan คงจะต้องทำการบ้านกับรถยนต์รุ่นว่าที่ขายดีรุ่นที่ 3 กันอย่างหนักทีเดียว เพราะเชื่อเหลือเกินว่า Toyota และ Honda คงไม่ปล่อยให้ Nissan ลอดช่องเกาะยึดตลาดรถยนต์นั่งเทียบชั้นอย่างสบาย ๆ เพียงแต่จะใช้กลยุทธ์กันแบบไหนนั้นทั้ง 3 ค่ายก็คงพอมองเกมกันออกและน่าจะหารบราฆ่าฟันกันแน่นอน
รถยนต์นั่งรุ่นใหม่ของ Nissan ที่เตรียมจ่อคิวลงสนามหลังจาก Nissan March เปิดตัวเสร็จนั่นก็คือรถยนต์ซีดานขนาดซับคอมแพคท์ B-Segment อันเป็นรถยนต์กลุ่มเดียวกับ Toyota Vios และ Honda City นั่นเอง
ความโดดเด่นของ 2 เจ้าตลาดซับคอมแพคท์ซีดาน นอกเหนือจากความแข็งแกร่งของแบรนด์โดยรวมที่ดีกว่า Nissan รวมไปถึง Mazda, Ford แล้ว การสร้างแบรนด์ย่อยภายใต้ชื่อ Vios ของ Toyota และ City ของ Honda นั้นเป็นเอกเทศกัน ทั้งรูปร่างหน้าตาและบุคลิค ไม่มีความเกี่ยวข้องกับซับคอมแพคท์แฮทช์แบครุ่นดังอย่าง Yaris ของ Toyota และ Jazz ของ Honda
ผลลัพธ์ก็คือยอดขาย Toyota Vios และ Honda City มียอดขายพุ่งเหนือกว่า Toyota Yaris และ Honda Jazz อย่างเห็นได้ชัด เมื่อวิเคราะห์ตามหลักการตลาดทั้ง Toyota และ Honda ก็ถือว่าสร้างแบรนด์ย่อยในตลาด B-Segment ถึง 2 รุ่นแตกต่างจาก Mazda 2 และ Ford Fiesta ทียังถือว่าเป็นแบรนด์แค่ 1 แบรนด์แม้จะมีให้เลือกทั้งตัวถังซีดานและแฮทช์แบคให้เลือกก็ตาม
แต่ที่แน่ ๆ ความนิยมของรถซีดานในประเทศไทยก็ต้องเหนือชั้นกว่าตัวถังแฮทช์แบคอยู่ดี ตามความเชื่อมั่นของคนไทยในเรื่องอรรถประโยชน์ใช้สอยและความปลอดภัย
เราเชื่อว่า Nissan คงศึกษากลยุทธ์และความต้องการของตลาดส่วนใหญ่ในเอเชียแล้วว่า การนำรถยนต์แฮทช์แบคมาต่อเติมบั้นท้ายเพียงอย่างเดียวคงไม่ช่วยสร้างยอดขายที่ดีนัก อีกทั้งมันเป็นการเสียโอกาสสร้างยอดขายหรือสร้างมูลค่าเพิ่มโดยใช่เหตุ ถ้าในเมื่อ Toyota Vios และ Honda City ขายดิบขายดี Nissan ควรพัฒนาซีดานคันใหม่แยกจากกันไปเลยไม่ดีกว่าหรือ แม้จะต้องกินยอดขายแฮทช์แบคของตนเองบ้างเล็กน้อยก็ตาม
จึงไม่แปลกใจนักที่ Nissan เลือกพัฒนารถซีดานขนาดเล็กคันใหม่ของตนโดยไม่ใช้ชิ้นส่วนตัวถัง Nissan March มากมายเลย เพียงแต่รถคันนี้จะถูกพัฒนาบนพื้นตัวถัง V-Platform ร่วมกันกับ Nissan March
อันที่จริงผมก็เคยนำเสนอความเคลื่อนไหวของ Nissan L02B ซีดานเล็กรุ่นใหม่ไปเมื่อเดือนกันยายน 2009 เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี เราสามารถเก็บข้อมูลไว้เป็นจิ๊กซอว์เป็นรูปเป็นร่างรายงานให้ผู้อ่าน Headlightmag.com ติดตามอ่านกัน
บทสรุปของ Nissan L02B ยืนยันแล้วว่าซีดานขนาดเล็กรุ่นดังกล่าวจะต้องมีบุคลิคที่แตกต่างจาก Nissan March อย่างเห็นได้ชัด แค่ปรายตาครั้งแรกก็รู้ได้ทันทีเลยว่าไม่เหมือนกันแน่นอน เป็นรถซีดานที่เอาใจรสนิยมลูกค้าให้มากที่สุดเท่าที่ Nissan เคยกระทำมา เราดูแล้ว Nissan น่าจะประสบความสำเร็จในการออกแบบรถซีดานขนาดเล็กให้ถูกจริตคนทุกกลุ่มได้ (ซะที)
Nissan L02B ถูกออกแบบเน้นความทันสมัย มีความปราดเปรียวสไตล์สปอร์ตระดับหนึ่ง แฝงไปด้วยความสง่างามและความเรียบง่ายในที ถ้าจะให้สรุปง่าย ๆ ว่ามันคือการนำบุคลิคทั้ง Toyota Vios, Honda City, Mazda 2 Sedan คลุกเคล้าด้วยดีไซน์อัตลักษณ์ประจำตัว Nissan ที่ได้รับอิทธิพลจากรุ่นพี่เห็นทีจะสรุปง่ายเกินไปหน่อย
เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นภาพของ Nissan L02B ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เราจึงมีภาพ Rendering ของรถคันนี้โดย “KU” (Thaicardesign.com) นักวาดมืออาชีพเป็นเด็กรุ่นใหม่ไฟแรงน่าสนับสนุนยิ่งนักซึ่งวาดจากข้อมูลที่รวบรวมได้ รวมไปถึงภาพสปายช๊อตจากประเทศจีน
ด้านหน้า Nissan L02B ได้รับอิทธิพลจาก Nissan Teana J32 ผสมกับ Toyota Vios ลงไป ไล่ตั้งแต่ชุดกระจังหน้าที่ดูคล้าย Nissan Teana J32 ผสมผสานกับกระจังของ Renault Latitude ในระดับหนึ่งพร้อมกันชนหน้าทรงสปอร์ตที่มีลูกเล่นมุมกันชนหน้าเหมือนกับ Nissan Leaf, รูปทรงโคมไฟหน้าได้รับอิทธิพล Nissan Teana J32 และ Toyota Vios พอสมควร
จุดเด่นด้านหน้าที่ทำให้รู้สึกว่าเหมือนกับ Toyota Vios ก็คือ Nissan เลือกออกแบบชุดกระจังหน้าให้มีเนื้อที่พลาสติกมากกว่าเนื้อที่เหล็กฝากระโปรงซึ่งช่วยลดต้นทุนในระดับหนึ่ง
ดีไซน์โครงสร้างตัวถังได้รับอิทธิพลจาก Nissan Altima และ Nissan Teana เต็ม ๆ เพียงแต่ Nissan พยายามออกแบบรถซีดานคันนี้ให้ดูปราดเปรียวยิ่งกว่ารถรุ่นพี่ทั้ง 2 คันเสียอีก Nissan จึงทำให้ Nissan L02B ดูคล้าย ๆ รถซีดานคูเป้ทรงสมัยนิยมไปในตัวขณะเดียวกันก็ยังมีพื้นที่เหนือศีรษะผู้โดยสารตอนหลังกว้างสบายไม่แพ้ใคร
จุดเด่นการออกแบบด้านข้างนอกเหนือจากความสมส่วนแล้ว Nissan ยังออกแบบให้กอบกระจกบานประตูท้ายตัดหัวมุมให้เป็นทรง J Line ดูกลมกลืนต่อเนื่องจากเส้นหลังคาลากทอดสายตาไปยังขอบประตูหลังเนียนตามากขึ้น
บั้นท้ายได้รับอิทธิพลจากรถยนต์ Nissan รุ่นดังถึง 2 รุ่นได้แก่ Nissan Teana J31 และ Nissan 370Z ทรงโดยไฟท้ายดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลจาก Nissan 370Z มากกว่า
มิติตัวถังยากที่จะคาดเดานัก แต่คาดว่าน่าจะมีมิติเหมือนกับรถซับคอมแพคท์ซีดานทั่ว ๆ ไปคือ ความยาวตัวถังระหว่าง 4,300 – 4,400 มม. ความกว้างระหว่าง 1,660-1,695 มม. ความสูงระหว่าง 1,460-1,490 มม. ความยาวฐานล้อคาดว่าจะยาวถึง 2,550 มม.
โดยรวม Nissan เลือกออกแบบรถยนต์ให้เน้นจับตลาดทุกกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุดเท่าที่ Nissan เคยออกแบบมา มีส่วนผสมทั้ง ความเรียบง่าย หรูหรา สปอร์ต หรือแปลกตาในคันเดียวกัน แม้กระทั่งตระกูล Sunny หรือ Sentra ก็ยังไม่สามารถจับกลุ่มลูกค้าให้ชื่นชอบกันทุกกลุ่มได้เลย
สิ่งสำคัญที่สุดที่หลายคนรอคอย ตกลง Nissan Motor ประเทศไทยคิดจะวางตำแหน่งการตลาดหรือเครื่องยนต์ระดับใดให้กับ Nissan L02B ซีดานคันเก่งคันนี้กันแน่?
บัดนี้เราแน่ใจแล้วว่า Nissan L02B เวอร์ชันจำหน่ายในประเทศไทยติดตั้งเครื่องยนต์ HR12DE 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว ความจุกระบอกสูบ 1.2 ลิตร 79 แรงม้าบล๊อกเดียวกับ Nissan March เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น เพราะ Nissan ได้ให้คำมั่นสัญญากับรัฐบาลไทยแล้วว่าตนจะต้องผลิตรถอีโคคาร์ทั้งตัวถังแฮทช์แบคและซีดานแน่นอน
หากจะให้วิเคราะห์กันลึก ๆ แล้วเชื่อว่านี่เป็นรายการ Playsafe รายการหนึ่งทีเดียว Nissan คงกลัวว่ารถรุ่นนี้จะขึ้นแท่นในกลุ่มตลาดซีดานซับคอมแพคท์ 1.4-1.6 ลิตรที่ยึดครองโดยค่ายรถยนต์ชื่อดังถึง 5 ยี่ห้อได้ยากลำบากมาก ๆ หาก Nissan พยายามจะแทรกตัวในตลาดนี้คงต้องหาทางสร้างความแตกต่างเพื่อให้ได้ตำแหน่งตลาดที่ครองใจลูกค้ากลุ่มใหญ่เพื่อค้นหาลูกค้าซ่อนเร้นอยู่ในนั้น อีกทั้งคงต้องมีทุนที่หนามากพอที่จะทำให้ Nissan L02B ยืนในใจลูกค้าได้อย่างสง่าผ่าเผย
หรือคิดง่าย ๆ วันนี้ Nissan ล้าหลัง Toyota และ Honda ในตลาดซับคอมแพคท์ซีดาน 1.5 ลิตร ถึง 15 ปีเต็ม!! ความสำเร็จของเจ้าตลาดในวันนี้ไม่ได้มีเพียงโชคช่วยแต่ก็ต้องใช้เวลาอีกด้วย ไม่มีทางเป็นไปได้ที่ Nissan จะประสบความสำเร็จในตลาดนี้เพียงชั่วข้ามคืน
ดังนั้น Nissan จึงขอเลือกเดินทางตอกย้ำความเป็นเจ้าตลาดอีโคคาร์ของเมืองไทยด้วยการจับ Nissan L02B วางเครื่อง 1.2 ลิตรเข้าพิกัดภาษีอีโคคาร์ เน้นจับกลุ่มลูกค้าครอบครัวเล็กหรือคนรุ่นใหม่ที่อยากได้รถซีดานเป็นคันแรกในชีวิต
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้ชื่อ Nissan L02B อยู่ในใจลูกค้าลำดับแรก ๆ ของตลาดอีโคคาร์เข้าในทันที เพราะยังไม่มีใครแข่งขันในกลุ่มอีโคคาร์ตัวถังซีดานอีกนานเลยทีเดียว อีกทั้งรถซีดานเป็นอะไรที่ฝังใจคนไทยมาก ล้วนแต่มียอดขายมากกว่ารถท้ายตัดอย่างเห็นได้ชัด เมื่อไรรถติดตลาดแล้วก็ค่อยเพิ่มรุ่นเครื่องยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบใหญ่กว่าก็ไม่สายเกินไปนัก
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ น้ำหนักตัวถัง Nissan L02B จะมากกว่าตัวถังแฮทช์แบคเล็กน้อยจนคาดว่าสมรรถนะตกลงเล็กน้อย รวมไปถึงบั้นท้ายที่เพิ่มเข้ามา ก็ทำให้เราขบคิดต่อไปได้ว่าทีมวิศวกร Nissan จะเลือกปรับจูนสมรรถนะเครื่องยนต์ให้พอเพียงกับการใช้งานในชีวิตประจำวันเทียบเท่า Nissan March ได้ไหม รวมไปถึงการบังคับควบคุมและระบบกันสะเทือนจะถูกกำหนดไปในทิศทางใดกันแน่?
ชื่อในการทำตลาดยืนยันแล้วว่าจะไม่ใช้ชื่อ Nissan March Sedan เป็นอันขาดเนื่องจากดีไซน์และบุคลิคตัวรถที่แตกต่างจาก Nissan March อย่างมาก ส่วนจะมีความเป็นไปได้ไหมที่จะใช้ชื่อ Nissan Sunny เหมือนกับข่าวลือจากฝั่งอินเดียหรือหรือไม่ อันนี้คงจะเป็นไปไม่ได้เลย
กำหนดการเปิดตัวในตลาดโลกมีความเป็นไปได้สูงมากว่า Nissan จะอวดโฉมรถซีดานคันนี้ในงาน 2010 Guangzhou Autoshow ตั้งแต่วันที่ 21-27 ธันวาคม 2010 แล้วเตรียมส่งทำตลาดจีนภายในไตรมาสแรกปี 2011 ส่วนตลาดอินเดียมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3 ปี 2011
สำหรับตลาดประเทศไทยมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเปิดตัวรถซีดานคันนี้ภายในเดือนมีนาคม 2011 เป็นอย่างเร็ว ตามติดตลาดโลกไม่นานนักอันเป็นวิสัยของ Nissan ยุคใหม่ที่เริ่มเปิดตัวรถยนต์นั่งตามติดตลาดโลก หากเป็นเช่นนั้นเป้าหมายของ Nissan ก็คือการสกัดการมาของ Honda อีโคคาร์ที่มีแนวโน้มจะใช้ชื่อว่า Brio ในเดือนมีนาคม 2011 พร้อมส่งมอบเดือนมิถุนายน 2011
หรืออย่างช้าสุดรถคันนี้อาจจะเปิดตัวภายในกันยายน 2011 ก็ยังพอมีความเป็นไปได้อยู่เช่นกัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีอยู่ และเมื่อมองตลาดรถยนต์นั่ง Nissan ทั้งระบบแล้วก็พบว่า Timing การเปิดรถรุ่นใหม่เข้าที่เข้าทางอย่างที่ควรจะเป็นมาในรอบหลายสิบปีแล้ว
หากใครจะรอซื้ออีโคคาร์แล้วไม่รีบล่ะก็ อดใจรอดูปีหน้าจะดีกว่าครับ