ปรากฏการณ์ Apple มิใช่ปรากฏการณ์ผลไม้ลดราคา มิใช่ปรากฏการณ์ผู้บริโภคหันมาซื้อผลไม้กิน แต่มันคือ
ปรากฏการณ์ “เงิบ” ของผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ชั้นนำที่เคยปรามาสหรือตราหน้า Apple หนำซ้ำยังแพ้ภัยตัวเองจนตกต่ำหรือ
อัปเปหิออกจากอุตสาหกรรมหรือกลุ่มตลาดนั้นไป

เมื่อ Apple สร้าง iPod ผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเล่นพกพาก็ยิ้มเยาะ, ผู้คนในอุตสาหกรรมเพลงบางคนก็หาว่าเป็นตัวการ
ทำลายวงการเพลง สุดท้ายพวกที่ปรามาสก็เงิบ

เมื่อ Apple สร้าง iPhone ผู้ผลิตมือถือชั้นนำบอกไม่กลัว ไม่แยแสกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ สุดท้ายพวกที่ปรามาสก็เงิบ
และเราก็อยากจะรู้จริง ๆ ว่าหาก Apple จะสร้างรถยนต์ขึ้นมาจริง ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร? หรือจะมีรายการเงิบซ้ำ
อีกรอบ?

2015 03 02 Nissan

Dan Akerson อดีตประธานบริษัท GM ก็เคยออกมาเบรก Apple ให้ไปตั้งสติก่อนสตาร์ทเสียก่อน เพราะอุตสาหกรรม
รถยนต์ไม่ใช่อุจจาระ มันประกอบไปด้วยการลงทุนอย่างหนัก Apple ก็ยังเป็นหน้าใหม่เกินกว่าที่จะเข้าใจในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้

แต่มีผู้บริหารท่านหนึ่งขอสวนกระแสชาวบ้านเขาเสียหน่อย. Carlos Ghosn ซีอีโอ Renault-Nissan Alliance ถึงขั้น
กล่าวยินดีต้อนรับ Apple ที่กล้าเข้าร่วมวงจรธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าในงาน Mobile World Congress ว่า “ถ้า Apple ทำ
รถไฟฟ้าขึ้นมาจริง นั่นยิ่งเป็นข่าวดี”

Ghosn ไม่ค่อยมีความกังวลมากนักในการแข่งขันพร้อมทั้งเตรียมสร้างความตระหนักเกี่ยวกับรถไฟฟ้ามากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่
Apple ควรสร้างอย่างเร่งด่วน

Ghosn เตรียมแผนความพร้อมในการแข่งขันกันกับ Apple EV ภายในปี 2020 ซึ่งเขามองว่าบริษัทที่อยู่นอกอุตสาหกรรม
ยานยนต์ก็อยากจะสร้างรถไฟฟ้าให้เป็นสินค้าสดใหม่ซึ่งจะนำเสนอพื้นที่ความแปลกใหม่ให้กับวงการได้

ขณะเดียวกันเขาก็ยังเห็นว่าอุตสาหกรรมต้องช่วยกันส่งเสริมปัจจัยให้ผู้คนหันมาใช้รถไฟฟ้าร่วมกัน อาทิ อายุการใช้งาน
แบตเตอรี่, ระยะทางวิ่งสูงสุด, ระบบสาธารณูปโภคและราคาจำหน่ายที่ยังมองว่ามันสูงเกินไป

เขายังทิ้งท้ายเกี่ยวกับรถยนต์ขับขี่อัตโนมัติไว้อีกด้วยว่า Nissan จะเตรียมส่งรถขับขี่อัตโนมัติคลื่นลูกแรกภายในปีหน้า
เว้นเสียแต่หากมันอยู่ในสภาพการจราจรติดขัด ผู้ขับขี่ก็สามารถบังคับควบคุมรถได้

ภายในปี 2018 ก็จะเปิดตัวรถขับขี่อัตโนมัติคลื่นลูกที่สอง ตัวรถสามารถขับขี่ได้ด้วยตัวเองบนถนนไฮเวย์และเปลี่ยนเลน
อัตโนมัติ

รถขับขี่อัตโนมัติเฟสที่ 3 มาแน่ภายในปี 2020 ที่มาพร้อมด้วยฟีเจอร์ขับขี่ในเมืองอัตโนมัติได้เสียที เพียงแต่บริษัทต้อง
ทำงานกันลำบากเสียหน่อยเพราะตัวแปรถนนในเมืองมันเยอะมาก

และท้ายที่สุดรถขับขี่อัตโนมัติสมบูรณ์จริง ๆ คงจะเห็นได้ไม่เกิน 10 ปีนี้ เพียงแต่มันยังมีปัจจัยความปลอดภัยบนโลกไซ
เบอร์ที่จำเป็นต้องหามาตรการกันอยู่

ที่มา : cnet