หากเราเอ่ยชื่อแบรนด์ MG ผู้ผลิตรถจากอังกฤษเมื่อไร เราก็เชื่อว่าคุณผู้อ่านมากกว่า 90% น่าจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
แน่ ๆ แต่เชื่อหรือไม่ว่า MG ก็เคยมาโลดแล่นบนท้องถนนเมืองไทยในบางช่วง ช่วงที่ติดตาติดใจในสายตาคนไทยมากที่สุด
คงจะเป็นช่วงยุคปลาย 90s ยุคที่แบรนด์รถยนต์ต่างชาติพาเหรดกันมะรุมมะตุ้มแย่งส่วนแบ่งการตลาดในไทย สมัยนั้น
ตัวแทนจำหน่ายในไทยได้นำเข้า MGF มาขาย ถือว่าเป็นรถโรดสเตอร์ที่มีการออกแบบสวยมากและยังถือเป็นรถ MG ใน
ยุค Rover Group อยู่ และหลังจากนั้นชื่อ MG ก็เงียบหายไปจากเมืองไทยไปนานแสนนาน
แต่จุดพลิกผันของแบรนด์ MG (รวมถึง Rover) คือ BMW อดีตเจ้าของ(ระยะสั้น)ได้ขาย MG Rover ให้แก่กลุ่มนายทุน
Phoenix ไปบริหารต่อ (ส่วน Land Rover นั้น BMW ก็ขายต่อให้กับ Ford) ในช่วงนี้เองทาง Phoenix ก็เล็งเห็นว่าแบ
รนด์ MG น่าจะสามารถขยายช่องทางสินค้าได้ด้วยการนำรถ Rover มาต่อยอดพัฒนาให้กลายเป็นรถยนต์นั่งที่มีความ
สปอร์ตกว่า Rover
แต่ด้วยความอ่อนด้อยประสบการณ์ในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ทำให้ Phoenix จำเป็นต้องขาย MG Rover ให้กับ
กลุ่มนายทุนที่อยู่ในแวดวงยานยนต์ซึ่งเป็นทางออกที่ดีที่สุด
หากจับตาเฉพาะแบรนด์ MG อย่างเดียวไม่นับ Rover แบรนด์นี้ก็ถูกขายทอดตลาดให้กับ Nanjing Automobile ในปี
2005 พร้อมตั้งบริษัท NAC MG UK สามารถครอบครองโรงงานลองบริดจ์ สหราชอาณาจักรและสิทธิบัตรต่าง ๆ
จนกระทั่งสามารถผลิตรถ MG ออกจากโรงงานในจีนได้สำเร็จในปี 2007
และแล้วโชคชะตาก็พลิกผัน(อีกครั้ง)เมื่อ Nanjing Automobile ก็ถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ Shanghai Automotive
Industry Corporation (SAIC) ซื้ออีกรอบหนึ่งในปี 2007 จนต้องเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น MG Motor UK ในปี 2009
และในเมื่อบริษัททรงอิทธิพลในวงการซื้อไป พวกเขาก็ต้องรังสรรค์ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ด้วยการพัฒนา MG6 ซีดาน
ระดับ CD-Segment ทรงสปอร์ตในปี 2011 ที่ถือเป็นรถรุ่นใหม่จากแบรนด์ MG ในรอบ 16 ปี!!!
SAIC ก็ยังพัฒนาตัวไม่หยุดยั้งคราวนี้ถึงขนาดทุ่มเงินลงทุน 450 ล้านปอนด์ลงใน MG Motor ในปี 2012 พร้อมกับปิด
ยอดขายสวย ๆ ในอังกฤษในปี 2012 ถึง 782 คัน
โดยสรุปแบรนด์ MG ในวันนี้ถึงแม้จะเรียกได้ว่าเป็นบริษัทรถจีนได้เต็มปาก และมีตำแหน่งของแบรนด์ที่เน้นความ
สปอร์ตพรีเมี่ยม แต่ในด้านงานวิศวกรรมและการผลิตก็โปรดอย่าได้ดูถูกไปเพราะมันมีการพัฒนาร่วมกับทีมวิศวกรจาก
อังกฤษ Ricardo และทีมวิศวกรจากจีนร่วมกันทำงาน และที่สำคัญรถยนต์ MG ส่วนใหญ่ถูกผลิตจากอังกฤษเท่านั้น
ในเมื่อเงินพร้อม เวลาพร้อม สินค้าพร้อมขนาดนี้ ไฉน SAIC จะนิ่งอยู่ใย พวกเขาก็ต้องรีบ Go Inter ก่อนที่โอกาสจะหมด
ลงเสียก่อน
เมื่อ MG เตรียมจะบุกตลาดเมืองไทย?
ถึงแม้ใคร ๆ จะบอกว่าตลาดไทยเป็นตลาดปราบเซียนตลาดรถยนต์จากต่างประเทศ แต่ใช่ว่าผู้เล่นหน้าใหม่จะครั่นคร้าม
หรือหวั่นเกรงแต่ประการใด เมื่อนึกถึงผลประโยชน์อันหอมหวลในอนาคตข้างหน้า ก็ย่อมที่จะกล้าเสี่ยงเช่นกัน
ช่วงปลายปี 2012 เริ่มมีข่าวกระเซ็นกระสายออกมาให้ได้ยินว่ากลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือเป็นที่รู้จักกันดีในนาม “ซีพี”
ได้เปิดเผยแผนการร่วมลงทุนกับ SAIC จากประเทศจีนบริษัทแม่ของ MG พร้อมก่อตั้งบริษัท SAIC Motor – CP จำกัด
(แต่เดิมชื่อบริษัท CP Motor Holding จำกัด) มีหุ้นซีพีจำนวนมากถึง 49% มีแผนเบื้องต้นที่จะให้ไทยเป็นศูนย์กลางการ
ผลิตรถยนต์ MG สำหรับป้อนตลาดในประเทศและส่งออกต่างประเทศ
ณ เวลานี้ทางบริษัทได้สรุปทำเลการผลิตด้วยการเช่าโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชใกล้ท่าเรือแหลมฉยังด้วยกำลัง
การผลิต 50,000 คันต่อปี ส่วนภายในองค์กรก็มีการจัดตั้งอย่างเต็มรูปแบบเพื่อเตรียมตัวในการสื่อสารแบรนด์ MG ในเร็ว
ๆ นี้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าเราจะได้เห็นรถคันจริงภายในงาน Motor Expo 2013 ก่อนที่จะเปิดตัวพร้อมจำหน่ายใน
ปี 2014
เป้าหมายของ SAIC Motor – CP จะเน้นการผลิตรถยนต์ MG พวงมาลัยขวาขนาดเครื่องยนต์ 1,500 ซีซี ขึ้นไป ได้แก่
MG6, MG5 และ MG3 หากพ้น 2 ปีขึ้นไปแล้วมีการขยายตัวเกิดขึ้นก็อาจจะต้องริเริ่มแผนขยายโรงงานหรือก่อสร้าง
โรงงานเป็นของตัวเองที่จะต้องมีกำลังการผลิต 200,000 คันต่อปี
จุดขายสำคัญที่คาดว่า SAIC Motor – CP จะชนะคนไทยได้คือ ความเป็นแบรนด์รถยนต์จากอังกฤษ 100 ปีที่มี
เทคโนโลยีการพัฒนาและการผลิตจากยุโรป แตกต่างจากแบรนด์รถจีนทั่วไปที่มีคุณภาพต่ำกว่า
เมื่อเรามองในฐานะคนนอก MG แล้วสอดส่องไปยังเว็บรถยนต์อังกฤษก็พบว่านักวิจารณ์และผู้อ่านยังตำหนิในด้าน
Perceived Quality หรือคุณภาพที่ประจักษ์ด้วยสายตากันอยู่เนือง ๆ โดยเฉพาะชิ้นส่วนวัสดุภายในห้องโดยสาร ส่วน
เรื่องการบังคับควบคุมหมดห่วง
แต่ก่อนที่จะมีการเปิดตัวเราก็มีภาพแอบถ่ายของ MG6 และ MG3 Xross ออกมาวิ่งทดสอบบนถนนในเมืองไทยแล้ว เริ่ม
จาก MG6 ที่แอบวิ่งทดสอบบนนถสายบางนาตราดยาวตลอดทาง เก็บภาพโดยคุณ m_kritamet รายละเอียดเบื้องต้น
ของ MG6 ถือเป็นรถขนาด CD-Segment คือจะเป็นรถที่ใหญ่กว่ารถ C-Segment เล็กน้อยแต่สามารถทำราคาสู้กับรถ
คอมแพคท์ขนานแท้ได้
MG6 จะเป็นรถคู่แฝดกับ Roewe 550 ที่ใช้พื้นตัวถังจาก Rover 75 รุ่นเก่ามาดัดแปลงใหม่ สเปคเครื่องจะติดตั้ง
เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 135 แรงม้า ถ้ามีเทอร์โบจะเพิ่มเป็น 160 แรงม้า รุ่นเทอร์โบมีอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ภายใน 8.4 วินาที และเครื่องยนต์ดีเซล 1.9 ลิตร 135 แรงม้าและ 160 แรงม้า
MG3 Xross ก็มีวิ่งทดสอบในบ้านเราด้วย ภาพนี้แอบถ่ายโดยคุณ Nan J. จะเป็นรถซับคอมแพคท์แฮทช์แบคที่จับมายก
สูงพร้อมชุดแต่งสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังที่ออกแบบใหม่หมดจด ไม่เอาของเก่าจาก Rover มาหากิน มีเครื่องยนต์ให้เลือกแค่
แบบเดียว 1.5 ลิตร 107 แรงม้า
ตอนนี้ เราคงทำได้แค่เพียงนับเวลาถอยหลังเพื่อรอให้ MG เปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการเท่านั้น เราก็จะได้พิสูจน์กันจริง
ๆ แล้วล่ะว่า MG จะดีกว่ารถแบรนด์จีนหลายเจ้าอย่างไร