นับตั้งแต่แบรนด์ Mini อยู่ภายใต้อ้อมอก BMW ค่ายรถหรูสัญชาติเยอรมันอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2000 จนสามารถพลิกฟื้นชื่อ Mini ให้กลับมายิ่งใหญ่จนทุกวันนี้ และที่สำคัญ BMW ยังคิดขยายแบรนด์ Mini ยุคทศวรรษใหม่ให้มีความหลากหลายเหมือนสมัย Mini อยู่ในยุค 60-70 อันเป็นยุครุ่งเรืองไม่แพ้กับยุคปัจจุบัน
การขยายไลน์สินค้าตัวถังอื่น ๆ ของ Mini ภายใต้การดูแลกลยุทธ์แห่ง BMW ไม่ใช่กระทำอย่างสะเปะสะปะอย่างแน่นอน BMW คำนึงถึงความต้องการของลูกค้าคนรุ่นใหม่, การแข่งขันในตลาดและที่สำคัญต้องอ้างอิงกับตำนาน Mini สมัยก่อน ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าพัฒนาตัวถังใหม่ ๆ โดยละทิ้งอดีตไปเสียหมด
ไลน์ตัวถังล่าสุดที่ BMW ภูมิใจนำเสนอต่อจากตัวถังครอสโอเวอร์ก็คือ Mini Coupe จับกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่ที่รักการขับขี่แบบสปอร์ตอย่างแท้จริงซึ่งหามิได้จากรถเล็กทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะคุณภาพการขับขี่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับขับรถโกคาร์ทอันคล่องแคล่วราวกับเป็นองค์ประกอบเดียวกับผู้ขับขี่, จุดศูนย์ถ่วงต่ำ
ดีไซน์ Mini Coupe ก็ให้ความรู้สึกเป็นรถโกคาร์ทอยู่ไม่น้อยด้วยรูปทรงตัวถังราวกับหมวกกันน๊อคดูปราดเปรียวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไล่ตั้งแต่กระจังหน้าที่มีช่องดักลมใหญ่โต, การลากเส้นโค้งมนไหลลื่นจากด้านหน้าผ่านเสา A ที่ความสูงน้อยกว่า Mini รุ่นดั้งเดิม, บริเวณหลังคาถูกออกแบบให้โค้งนูนจรดบริเวณเสา C และกระจกบังลมด้านหลัง
ดูจากภายนอกเราก็คงไม่เห็นคุณงามความดีของ Mini Coupe เท่าไรนัก เราต้องดูกันให้ลึกซึ้งถึงภายในกันโดยเฉพาะช่วงล่างที่ถูกปรับจูนให้มีน้ำหนักสมดุล, โครงสร้างตัวถังมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำกว่า Mini ดั้งเดิม 29 มม. ราวกับขับรถโกคาร์ทถูกออกแบบให้ทนการบิดตัวสูงและติดตั้งระบบช่วยการทรงตัวสารพัด ได้แก่ DSC (Dynamic Stability Control), DTC (Dynamic Traction Control) และ EDLC (Electronic Differential Lock Control)
มิติตัวถังโดยรวมมีความยาว 3,728 มม. ความกว้าง 1,683 มม. ความสูง 1,378 มม. ความยาวฐานล้อ 2,467 มม. ติดตั้งสปอยเลอร์ท้ายที่สามารถขยายตัวออกได้เมื่อวิ่งความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ภายในห้องโดยสารมีเนื้อที่เพียงพอสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร 2 ท่านพร้อมสัมภาระเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
BMW ตั้งใจทำการตลาด Mini Coupe อย่างมากถึงขั้นเปิดเผยรายละเอียดรุ่นย่อยและรายละเอียดเครื่องยนต์ครบทุกรุ่น เริ่มจากรุ่นที่มีพลังแรงสูงสุด MINI John Cooper Works Coupé ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.6 ลิตร เทอร์โบชาร์จชนิด Twin Scroll พร้อมหัวฉีดเชื้อเพลิงได้รับเทคโนโลยีจากมอเตอร์สปอร์ต 211 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 26.51 กิโลกรัมเมตรที่ 6,000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 6.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลือง 7.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 165 กรัมต่อกิโลเมตร
MINI Cooper S Coupé ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.6 ลิตร พร้อมวาล์วแปรผัน ValveTronic 122 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 16.31 กิโลกรัมเมตรที่ 4,250 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 9 วินาที ความเร็วสูงสุด 204 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลือง 5.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 127 กรัมต่อกิโลเมตร
MINI Cooper SD Coupé ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร 143 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 31.10 กิโลกรัมเมตรที่ 1,750-2,700 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 216 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลือง 4.3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 114 กรัมต่อกิโลเมตร
ทุกรุ่นสามารถจับคู่เกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ส่วนกำหนดวางจำหน่ายยังไม่แน่ชัดจนกว่าจะประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง