Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2012
ผมยืนอยู่ในบูธของ Mercedes-Benz Thailand หลังการแสดงประชันดนตรี ระหว่าง Dr.Alex Paufler CEO
ของ MBTh กับพี่ Koh Mr.Saxman อย่างเมามันส์ และน่าตื่นตาตื่นใจ จบสิ้นลงไปได้ราวๆ 1 ชั่วโมงเศษ
เก๋า Zipboy นักเขียนรีวิวโทรศัพท์มือถือ และ แฟนหนุ่มของเขา ผุดลุกผุดนั่งอยู่ใน B-Class คันสีแดงแปร๊ด
ที่จอดสงบนิ่งอยู่ ด้วยความรู้สึกชื่นชมยินดี ตามประสาคนที่มีความฝันว่าสักวัน จะต้องเป็นเจ้าของรถยนต์ตราดาว
ให้ได้สักคัน
ผมก็ตามเข้าไปลองนั่งดู แบบผิวเผิน แล้วก็พบว่า มันไม่น่าสนใจเท่าไหร่ ได้แต่นึกในใจว่า คงไม่ต้องทำ
บทความ Full Review หรอก…ใครมันจะไปสนใจซื้อ….Benz แปลกๆ แบบนี้
4 เดือนให้หลัง ผมพบว่า ผมคิดผิด…หวะ (ครับ) !
ประมาณปลายเดือนมิถุนายน ผมคุยโทรศัพท์กับ พี่ป้อม เยาวเรศ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ MBTh ว่าจะติดต่อ
ขอยืม SLK มาทำบทความรีวิวสักหน่อย…ปัญหามีอยู่ว่า ตัวรถ เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆมากมาย สภาพก็ใกล้จะ
เข้าสู่เลขไมล์ 10,000 กิโลเมตร ซึ่งได้กำหนดจะต้องถอนกลับไปปรับสภาพ แล้วนำออกจำหน่ายในฐานะ
รถยนต์มือสอง ตามมาตรฐานของ Mercedes-Benz Thailand แล้ว
“อืม..เอางี้ เอา B-Class ไปขับไหม?”
โห! พี่ป้อม…จากรถสปอร์ต 2 ที่นั่งเปิดประทุน แปลงร่างเป็นรถขนผ้าอ้อม 5 ที่นั่ง ทรง Tall Boy แถมยัง
เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าของ Mercedes-Benz เนี่ยนะ?? พลิกอารมณ์แทบไม่ทันกันเลยทีเดียว ! (ฮา)
แต่..สมองอีกฝั่ง มันตะโกนก้องในหูว่า “เฮ้ย ไอ้จิม เอ็งลองดูก่อนสิ! มันไม่เสียหายหรอก คิดดูสิ โอกาส
จะลองขับ Mercedes-Benz ขับเคลื่อนล้อหน้าเนี่ย มันไม่ได้มีบ่อยๆนะเว้ยเฮ้ย!”
ผมก็เลยตอบตกลงกับพี่ป้อมไป และลืมไปเลยว่า เรามีเวลา 3 วัน 2 คืน เท่านั้นที่จะอยู่กับรถคันนี้…เพื่อที่
ท้ายสุดแล้ว ผมเริ่มพบว่า อยากจะขอยืดเวลาอยู่ด้วยกันออกไปอีกสักวันเดียว ก็ยังดี
B-Class รถนอกสายตา ม้านอกฝูง คันนี้ มีหน้าตาที่ดูรู้ว่าพยายามตั้งใจให้มีเส้นสายโฉบเฉี่ยว บนเรือนร่าง
มาตรฐานของ รถขนผ้าอ้อม 5 ประตู 5 ที่นั่ง ที่ชาวเยอรมัน นิยมตั้งฉายา เรียกรถประเภท Minivan แบบนี้
แต่ภายใต้รูปลักษณ์ ที่คุณเห็น ผมกลับพบความ “น่าแปลกใจ” ในหลายๆประเด็น แทบจะทั้งคันเลยก็ว่าได้
Benz บ้าอะไรวะ ตัวก็เหมือนจะใหญ่ แต่ก็เล็ก ดูเหมือนจะเล็ก แต่ข้างในกลับใหญ่โต แรงก็ใช้ได้ แถมยัง
ประหยัดบ้าระห่ำ ค่าตัวก็ดันมาแปลก คือตั้งราคาพอกันกับ C-Class ประกอบในประเทศไทย 1 คัน ที่ระดับ
2,490,000 บาท! นี่ยังไม่นับกับความแปลกประหลาดในอีกหลายรายการ จน รถคันนี้กลายเป็นรถที่รวมเรื่อง
แปลกๆ เอาไว้ในตัวเอง เยอะใช้ได้เลย
ไปดูกันดีกว่า ว่ามันแปลกตรงไหนอย่างไร และควรเปิดใจยอมรับ จนถึงขั้นซื้อหามาขับขี่กันดีหรือเปล่า?
แต่ก่อนอื่น สำหรับใครที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า มี Mercedes-Benz ขับเคลื่อนล้อหน้า รุ่นนี้อยู่ในโลกด้วยแล้ว
มันจำเป็น ที่คุณควรจะเริ่มอ่าน ย่อหน้าข้างล่างนี้ ให้จบก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาของตัวรถล้วนๆในลำดับถัดไป
ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 ตั้งแต่ก่อนช่วงที่จะเข้าร่วมกิจการกับ Chrysler เป็น DaimlerChrysler ในปี 1998
Mercedes-Benz มีแนวคิดที่จะขยายทางเลือกของรุ่นรถยนต์ และรูปแบบของตัวถัง ให้ขยายออกไป มากกว่า
ที่เคยมีมา นอกเหนือจากรถสปอร์ตเปิดประทุนขนาดเล็ก รถยนต์ Coupe 2 ประตู ขนาดเล็ก หรือแม้แต่รถยนต์
ตรวจการอเนกประสงค์ SUV แล้ว หนึ่งในรูปแบบรถยนต์ ที่พวกเขาคิดอยากจะสร้างกันก็คือ รถยนต์ Minivan
ในรูปแบบที่แตกต่างไปจาก คู่แข่งทั่วไปในตลาด มันต้องมีบุคลิกของรถเก๋ง Sedan และรถยนต์ตรวจการแบบ
5 ประตู Station Wagon ผสมผสานเข้าไปด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อ Mercedes-Benz A-Class รุ่นแรก ที่สร้างขึ้นบนโครงสร้างวิศวกรรมขับเคลื่อนล้อหน้า แบบ
Sandwich Platform เปิดตัวสู่ตลาดในปี 1997 สื่อมวลชนในยุโรป เริ่มเดาทางได้ว่า น่าจะมีรถยนต์จากโครงสร้าง
เดียวกันนี้ ออกสู่ตลาดตามมา
จริงอยู่ พวกเขาคิดถูก แต่กว่าที่ ค่ายรถยนต์ตราดาว จะมั่นใจมากพอ ในการเติบโตของตลาดกลุ่มนี้ จนพร้อม
ผลิตออกมาขาย เราก็ต้องรอกันจนถึง วันที่ 1 มีนาคม 2005 อันเป็นวันที่ Mercedes-Benz เผยภาพถ่ายแรก
ของ B-Class รหัสรุ่น W245 รถยนต์นั่งแบบท้ายตัด 5 ประตู รุ่นใหม่ที่ พวกเขานิยามว่า เป็นรถยนต์ประเภท
Compact Sport Tourer ไม่ควรเรียกมันว่า Minivan ทั้งที่รูปแบบตัวรถ มันก็คือ Minivan นั่นแหละ พวกเขายิ่ง
ตอกย้ำความแตกต่างเข้าไป ด้วยสโลแกนที่ว่า “The Mercedes-Benz, unlike any other”
แน่ละ มันไม่เหมือนพี่น้องร่วมตระกูลรุ่นใดที่พวกเขาเคยสร้างมาในอดีตเลย มันมี 5 ที่นั่ง ปรับเบาะแถว 2
ได้อย่างอเนกประสงค์ เอาใจทั้งครอบครัวยุคใหม่ และผู้ใหญ่วัยเกษียณ ที่อยากหารถยนต์รูปแบบใหม่
มีห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งได้สบายๆ มากกว่าที่รถเก๋ง 4 ประตูทั่วไป เคยรองรับได้ โดยใช้เครื่องยนต์
และงานวิศวกรรมต่างๆร่วมกับ Mercedes-Benz A-Class รุ่นแรก ตั้งแต่เครื่องยนต์ ระบบกันสะเทือน
ไปจนถึงแม้กระทั่งชิ้นส่วนเล็กๆน้อยๆ ที่มองไม่เห็น ซุกซ่อนอยู่
การเปิดตัวเกิดขึ้นในงาน Geneva Auto Salon เดือนมีนาคม 2005 ร่วมกับทั้ง R-Class พี่ใหญ่ และเริ่ม
ออกสู่ตลาด ในอีกเพียงไม่กี่เดือนให้หลัง อย่างไรก็ตาม ถ้าดูตัวเลขยอดขายจนสิ้นสุดอายุตลาด เมื่อเดือนกันยายน
2011 แล้ว แม้จะมียอดขายสะสม แตะถึงระดับ 700,000 คัน (ประกาศในยุโรปเมื่อ 8 กรกฎาคม 2011) เฉพาะ
แค่ในปี 2011 อันเป็นปีสุดท้ายในการทำตลาด มีลูกค้าสั่งซื้อ B-Class มากถึง 52,640 คัน ตั้งแต่เดือนมกราคม
เพิ่มข้น 26.8 % ในช่วงเดียวกันของปี 2010 ก็ตาม ก็ยังต้องถือว่า หงอยเหงา และไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
แต่ถ้ามองในแง่การพูดถึง หรือในฐานะ การเป็นตัวเลือกแรกๆ ในใจลูกค้า B-Class ยังไม่โดดเด่นมากพอจะ
ทำให้ลูกค้าประทับใจได้ในแรกเห็น และต้องรอให้ลูกค้า มายืนพินิจ พิจารณา จนถึงทดลองขับ จึงจะพบว่า
นี่คือรถที่เหมาะกับพวกเขา ส่วนคนที่ไม่สนใจ ก็พากันเมินเฉย ไม่คิดแม้แจะเหลียวแลมันเลยด้วยซ้ำ!
ไม่ต้องอื่นไกล แค่ในเมืองไทยนี่แหละ เมื่อครั้งที่ Mercedes-Benz Thailand สั่ง B-Class รุ่น B180
เข้ามาขาย ก็ยังไม่ค่อยมีใครนึกถึง หรือสนใจจะซื้อ พอบอกว่าเป็นรถขับล้อหน้า ก็พากันรองยี้ เบือนหน้าหนี
แถมยังถามผมกลับมาอีกว่า ค่าตัวระดับนั้น หาซื้อรถอื่นที่ดีกว่านี้ ไม่ดีกว่าเหรอ?
แถมขนาดตัวถังก็ยังไม่ได้ต่างอะไรกับ A-Class เท่าไหร่ หน้าตาก็เหมือนกับการนำ A-Class มาขยายฐานล้อ
ให้ยาวขึ้น เพิ่มความยาวห้องโดยสารมากขึ้น แต่ยังหาความแตกต่างจาก A-Class เดิม ไม่เจอ แบบนี้ สู้ซื้อ
A-Class มาใช้เสียเลย ไม่ดีกว่าหรือ? ไม่งั้น ก็หันไปเล่นยี่ห้ออื่นดีกว่าไหม?
อืม.มันก็จริงของลูกค้าเขานะ
ดังนั้น ในเมื่อ บอร์ดผู้บริหาร มีมติ อนุมัติให้เดินหน้า ทำ B-Class รุ่นที่ 2 ในรหัสตัวถัง W246 ทีมออกแบบ
และทีมวิศวกร จึงต้องตัดสินใจ ลงมือผ่าตัดเปลี่ยนแปลง B-Class กันขนานใหญ่ เพื่อสร้างความแตกต่างจาก
A-Class ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ด้วยวิธี พลิกแนวทางการออกแบบ A-Class ใหม่ ให้แยกออกจาก B-Class ใหม่
กันไปเลย ทั้งที่โครงสร้างวิศวกรรมพื้นฐาน เครื่องยนต์กลไก ระบบไฟฟ้าต่างๆ ร่วมกัน บนพื้นฐานของ
พื้นตัวถังใหม่สำหรับรถยนตขับเคลื่อนล้อหน้า MFA (Mercedes-Benz Front-wheel-drive Architecture)
ที่จะใช้ร่วมกันในรถยนต์รวมทั้งหมด 4 รุ่น อันได้แก่ A-Class Hatchback 3 และ 5 ประตู B-Class และ
อาจรวมถึงรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่คันอื่นที่เตรียมจะเปิดตัวในอีกไม่นานนี้ด้วย
Dr. Thomas Weber สมาชิกของคณะกรรมการบริหาร รับผิดชอบในส่วนงานวิจัยและพัฒนาของ Daimler AG.
ถึงขั้นกล่าวว่า “ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ของ Mercedes-Benz ไม่เคยมีรถยนต์รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันรุ่นใด
ที่อัดแน่นไปด้วยพัฒนาการใหม่ๆ มากมายเท่านี้มาก่อน”
บางส่วนของเรือนร่าง B-Class ใหม่ เป็นผลงานของ ทีมนักออกแบบ ราวๆ 20 คน ภายใต้การดูแลของ หัวหน้าฝ่าย
ออกแบบ ( Chief Designer) อย่าง Professor h.c. Gorden Wagener แห่ง ศูนย์ Advanced Design
Studio ตั้งอยู่ใกล้กับ ทะเลสาบ Como ใน Milan ประเทศอิตาลี ซึ่งเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1998 และเคยฝาก
ผลงานมาแล้วกับรถยนต์ต้นแบบ F 400 Carving research vehicle (Tokyo 2001) ตามด้วยรถยนต์ต้นแบบรุ่น
Vision GST ในงาน Detroit Show ปี 2002 ที่กลายมาเป็น Mercedes-Benz R-Class รวมทั้งรถยนต์ต้นแบบรุ่น
F 500 Mind research vehicle ใน Tokyo Motor Show 2005 รุ่น F 600 HYGENIUS (Tokyo 2005) และ
F 700 research vehicle ในปี 2007
หนึ่งในงานที่ทีมวิศวกรตั้งเป้าหมายเอาไว้คือ การลดแรงเสียดทานในชิ้นส่วนต่างๆ โดยเฉพาะ การเพิ่มความลู่ลม
ขณะแหวกอากาสของตัวรถ งานนี้ บรรดาทีมวิศวกรต้องทำงานกันอย่างหนักมากกว่า 1,100 ชั่วโมง ในการลด
ชิ้นส่วนต้านลมลง หรือออกแบบมันขึ้นมาใหม่ รวมทั้งการทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในอุโมงลม ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนา
Technical Center ในเมือง Sindelfingen จนได้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศที่ต่ำมาก เพียง Cd 0.26
เท่านั้น ถือเป็นสถิติที่ดีที่สุด เท่าที่รถยนต์รูปแบบ Minivan 5 ประตู สำหรับผลิตจำหน่ายจริง เคยทำได้ และสามารถ
แปะโลโก้ Blue Efficiency อันเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึง กลุ่มเทคโนโลยี เพื่อลดแรงเสียดทาน ทำให้ตัวรถเบาขึ้น
ประหยัดเชื้อเพลิงขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ได้อย่างไม่เก้อเขิน
สำหรับ B-Class ใหม่ Mercedes-Benz ตั้งความหวังเอาไว้มากพอสมควร ว่ารถยนต์รุ่นนี้ ยังมีอนาคต
ให้พอจะหวังเห็นยอดขาย มากถึง 1.5 ล้านคันภายในปี 2015 หลังจากมียอดขายทะลุ 1.3 ล้านคันในปีนี้
ถึงขั้นลงทุนปรับปรุงโรงงานที่ฮังการีด้วยงบ 800 ล้านยูโรและโรงงานเยอรมนีด้วยเงินลงทุน 600 ล้านยูโร
เพื่อการผลิตรถยนต์รุ่นนี้เลยทีเดียว
ในที่สุด Mercedes-Benz ก็เริ่มเผยภาพถ่ายชุดแรกของ B-Class 2nd Generation รหัสรุ่น W246
เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2011 แต่ยังเป็นเพียงการ เผยให้เห็นถึงรายละเอียดทางเทคนิค และ
การพัมนาวิจัยด้านต่างๆ ยังเห็นตัวรถ เป็นเส้นสายเค้าโครงบางๆ
ต่อมา 29 กรกฎาคม 2011 ฝ่าย PR ก็เริ่มเผยภาพภายในห้องโดยสารออกมา พร้อมกับรายละเอียดด้าน
การออกแบบต่างๆ เพื่อให้เห็นถึงความประณีต และตั้งใจออกแบบให้ดูหรู และเอาใจคนรุ่นใหม่ไป
พร้อมๆกัน
25 สิงหาคม 2011 คือวันแรกที่ภาพถ่ายอย่างเป็นทางการของ B-Class ใหม่ เห็นหมดคัน ครบทุกมุม
ถูกเผยแพร่ไปยังสำนักข่าว และเว็บไซต์ทั่วโลก พร้อมกับการส่งขึ้นไปอวดโฉมสู่สาธารณชน เป็นครั้งแรก
ในโลก ที่งาน Frankfurt Motor Show ในวันที่ 30 สิงหาคม 2011 นั้นเอง
หลังการเปิดตัว Mercedes-Benz Thailand ก็ประกาศเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2011 ว่า ลูกค้าในเยอรมันี
และทั่วยุโรป จะได้รับมอบ B-Class คันแรก ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2011
สำหรับในเมืองไทย Mercedes-Benz Thailand ตัดสินใจสั่งนำเข้า B-Class มาขายในเมืองไทย
เมื่อช่วงไม่กี่ปีมานี้ เป็นรุ่น B180 เรื่องน่าแปลกคือ ลูกค้าที่ออกรถส่วนใหญ่ จะเป็นครอบครัว
หรือผู้สูงวัยหลังเกษียณบางคน ที่อยากได้รถคันไม่ใหญ่ ที่นั่งสูง ขับคล่องแคล่ว ใช้งานในเมือง
และมีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งสบาย อัตราเร่งพอดีๆ ประหยัดน้ำมันใช้ได้ นั่นเลยทำให้
B-Class ยังคงพอจะขายได้อยู่บ้าง แม้ในปริมาณที่น้อยมากๆ ก็ตาม (แต่ในช่วงที่ผมนำ B-Class
คันนี้ มาขับ ผมเจอ B-Class เก่า ถึง 3 คัน ใน 3 วันติดกัน แสดงว่า ปริมาณรถที่ปล่อยออกไปนั้น
น่าจะมีพอสมควรเลยทีเดียว)
และพวกเขาก็ทำตัวเป็นเสือปืนไวใช้ได้ เพราะคล้อยหลังการออกจำหน่ายในยุโรป เพียงแค่ 4 เดือน
B-Class ใหม่ ก็ส่งตรงมาถึงเมืองไทย พร้อมเปิดตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการใน งานแสดงรถยนต์
งานให่ที่สุดของบ้านเรา Bangkok International Motor Show เมื่อเดือนมีนาคม 2012 ที่ผ่านมา
แต่ถ้าคิดว่า ทำไมช้าจัง ต้องรอตลาดโลกเปิดตัวก่อนหลายเดือน ความจริงที่คุณอาจยังไม่ทราบคือ
1. ถ้าลูกค้าชาวยุโรป เริ่มรับรถในเดือนพฤศจิกายน 2011 นั่นหมายความว่า รถรุ่นนี้ ถูกเปิดตัวและส่งขึ้น
โชว์รูมในบ้านเรา ทิ้งช่วงจาก การเริ่มออกขายในยุโรป เพียง 4 เดือน เท่านั้น อย่าลืมว่า ขั้นตอนการสั่ง
รถยนต์เข้ามาขายสักรุ่นนั้น หากเป็นรถยนต์นำเข้า แม้จะไม่ต้องมานั่งศึกษา และเตรียมการประกอบ
ซึ่งกินเวลายาวนาน 12 – 18 เดือน ก็ตาม แต่ยังต้องมีขั้นตอนในการขออนุญาตสั่งนำเข้ามาขาย ต้อง
นำรถยนต์ตัวอย่าง เข้ามาทดสอบด้านมลพิษ ที่ห้องแล็บของสถาบันยานยนต์ ต้องขออนุญาตกับทั้ง
ทางกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และหน่วยงานอื่นๆ อีก
มากมาย ยังไม่นับกับ การเตรียมฝึกอบรมช่างซ่อมบำรุงทั่วประเทศ ที่จะต้องทะยอยเริ่มทำ ทั้งก่อน และ
หลังจากรถเปิดตัวไปแล้ว รวมทั้งการสั่งอะไหล่เข้ามาสต็อกเอาไว้ให้สมดุลกับปริมาณรถที่ขายออกไป
ฯลฯ ดังนั้น มันอาจต้องใช้เวลากันพอสมควร และไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา และการวางแผนของ
แต่ละยี่ห้อ ในแต่ละช่วงเวลานั้นๆ เป็นสำคัญ
2. และถ้ามองลงไปยังรุ่นย่อย จะพบว่า B-Class ใหม่ รุ่น B200 Blue Efficiency เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ
ลูกใหม่ 7G-DCT ที่ Mercedes-Benz Thailand สั่งนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันแบบ CBU (Complete Built
Unit) มาถึงบ้านเราเดือนมีนาคมก็จริง แต่รุ่นย่อยนี้ พร้อมเกียร์ลูกนี้ ซึ่งถือเป็นรุ่น Top of the Line เพิ่งจะเริ่ม
ออกสู่ตลาดโลก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2012 นั่นหมายความว่า เพียงไม่ถึง 1 เดือน ที่รถรุ่นนี้ขึ้นโชว์รูมในเยอรมันี
คนไทยก็มีโอกาสได้จับจองเป็นเจ้าของ ทันอกทันใจ ไวปานกามนิตหนถุ่มแผลงศรเลยทีเดียว!
ตัวรถมีความยาว 4,359 มิลลิเมตร กว้าง 1,785 มิลลิเมตร (ถ้ารวมกระจกมองข้าง จะกว้าง 2,010 มิลลิเมตร)
สูง 1,557 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,699 มิลลิเมตร (ถือว่า เท่ากับ Honda Civic FD ที่ 2,700 มิลลิเมตร)
ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,552 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลังแคบกว่าเล็กน้อย เหลือ 1,549 มิลลิเมตร
หากเปรียบเทียบกับ B-Class รุ่นแรก (ยาว 4,270 มิลลิเมตร กว้าง 1,778 มิลลิเมตร สูง 1,603 – 1,613 มิลลิเมตร
และระยะฐานล้อ 2,779 มิลลิเมตร) จะพบว่า ด้วยการออกแบบให้ด้านหน้ายาวขึ้น ส่งผลให้ B-Class ใหม่ ยาว
เพิ่มขึ้น กว่าเดิม 89 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 8 มิลลิเมตร เตี้ยลง 46 มิลลิเมตร แต่ที่สำคัญคือ มีการหดระยะฐานล้อ
ให้สั้นลงกว่าเดิม 79 มิลลิเมตร กันเลยทีเดียว)
เส้นสายตัวถังภายนอก แม้จะดูคล้ายกับรุ่นเดิมอยู่ แต่นั่นเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะเหตุมาจากด้านหน้ารถ
ยาวขึ้น แนวเส้นจากฝากระโปรงหน้า ไหลลื่นไปยังเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ต่อเนื่องถึงหลังคา จรดปลาย
สปอยเลอร์ เหนือกระจกบังลมหลัง และเส้นด้านข้างตัวถัง ออกแบบให้มี แนวเส้นคล้ายกับ A-Class ใหม่
เป็นเส้นรอยยิ้ม ทะแยงมุม เพิ่มความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดนิ่งของรถ (Dynamic) และจะยิ่งดู
แปลกตา เมื่อกระทบกับแสงสว่าง ทั้งแสงแดด หรือแสงไฟในยามค่ำคืน
กระจังหน้าสีเงิน 2 ชั้น มีแถบโครเมียมคาดไว้ ชุดไฟหน้าเป็นแบบ Bi-Xenon มีไฟเลี้ยว LED มาให้ในตัว
พร้อมระบบฉีดน้ำล้างทำความสะอาด และมีไฟส่องสว่างช่วงกลางวัน Daytime Running Light แบบ LED
ติดตั้งมาให้จากโรงงาน หารือถ้าหมุนสวิชต์ ไปที่ตัว P ไฟหน้าจะติดสว่างขึ้นมาเพียงข้างเดียว เพื่อช่วยใน
ตอนจอดรถ
ชุดไฟท้าย เป็นแถบส่องสว่าง เหมือนในรถยุโรปรุ่นใหม่ๆ มีไฟเลี้ยวเป็นหลอด LED มาให้ ตัวรถมีการ
ตกแต่งด้วยแถบโครเมียม เพียงเท่าที่จำเป็น และแม้แต่ฝาถังน้ำมัน ก็ยังใส่ใจในรายละะเอียดเล็กน้อย
ทั้งบนพื้นผิว ที่มีแนวเส้นต่อเนื่องจากประตูด้านข้าง มาถึงฝาถัง รวมทั้งการใช้งาน ถ้าคุณปิดประตูไม่ครบ
ทุกบานจนสนิท ระบบล็อกฝาถังน้ำมันด้วยไฟฟ้า จะไม่ยอมให้คุณปิดฝาถังจนสนิทได้! เป็นเรื่องแปลก
เรื่องแรกที่ผมเจอในรถคันนี้
การเข้าออกจากตัวรถ ใช้กุญแจรีโมทคอนโทรล KEYLESS GO พร้อมระบบกันขโมย Immobilizer
พกกุญแจไว้กับตัว แล้วเดินไปดึงมือจับเพื่อเปิดประตูได้ทันที หรือถ้าปิดประตู ก็ใช้นิ้วแตะบนมือจับ
ประตูจะล็อกให้เองโดยอัตโนมัติ ส่วนการติดเครื่องยนต์ ใช้กุญแจรีโมท เสียบเข้าไปในรู แล้วบิดเพื่อ
ติดเครื่องยนต์ตามปกติ น่าสังเกตว่า รีโมทกุญแจ ของ B-Class ไม่มีปุ่มกดเปิดฝาประตูห้องเก็บของ
มาให้ อย่างที่รถรุ่นอื่นๆเขามีกัน
การเข้า-ออกจากพื้นที่โดยสารด้านหน้า ทำได้อย่างสะดวกสบาย ไม่มีปัญหาใดๆ ตำแหน่งเบาะนั่ง
ที่จงใจติดตั้งมาให้สูง แม้จะปรับตำแหน่งจนเตี้ยสุดแล้ว ช่วยให้การเข้า-ออก ไม่ติดขัด ไม่ต้องย่อตัว
หรือก้มหัวมากจนเกินไป เป็นตำแหน่งการเข้า-ออก ที่คล้ายคลึงกับ SUV หรือ Minivan จากญี่ปุ่น
รุ่นใหม่ๆ ช่วง 5 ปีมานี้ เลยทีเดียว
แผงประตูด้านข้าง มีช่องใส่ขวดน้ำขนาด 7 บาท ได้ 1 ขวด และวางเอกสารกับข้าวของจุกจิกได้เยอะ
พอประมาณ แถมยังมีตำแหน่งวางแขน ที่ออกแบบมาให้รองรับได้ตำแหน่งข้อศอกพอดีเป๊ะ วางแขน
ได้สบาย ไม่ต้องตำหนิ ยกเว้น แนวตะเข็บด้านข้าง ที่อาจจะสากไปสักหน่อย แค่นั้น บริเวณธรณีประตู
ทั้ง 4 บาน จะมีกาบบันไดข้าง สีเงิน สลักชื่อยี่ห้อของรถ ติดตั้งมาให้ด้วย
เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง ARTIGO อันเป็นหนังแบบมาตรฐานที่พบได้ใน Mercedes-Benz แทบจะทุกรุ่นที่มี
ระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทลงมา
เบาะนั่งคู่หน้า ปรับระดับได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ติดตั้งที่แผงประตู ด้านข้าง พร้อมหน่วยบันทึกความจำ Memory
สำหรับทั้งเบาะนั่ง กระจกมองข้าง และพวงมาลัย ไปในตัว กว่าจะปรับเบาะให้ลงตัวได้ ต้องใช้เวลานาน
แต่เมื่อปรับจนลงตัวแล้ว คุณจะได้ตำแหน่งขับที่ ถูกต้องเหมาะสม สบายระดับหนึ่ง ไม่ปวดหลัง เพราะมี
สวิชต์ปรับดันหลังมาให้ ทั้ง เบาะซ้าย และเบาะขวา ติดตั้งแยกชิ้นอยู่ที่ฐานเบาะ อย่างในภาพนี้
เบาะรองนั่ง มีการตัดมุมเบาะให้โค้งเว้า แต่นั่งได้เต็มก้น รองรับได้ถึงช่วงขาพับ นั่งสบายพอใช้ได้ แต่
ยังไม่ถึงกับเป็นเบาที่ดีถึงขั้น “เทพสั่งทำ” อย่างค่ายอื่นเขา ถือว่า ทั้งพนักพิงหลัง และเบาะรองนั่ง อาจ
ไม่สบายที่สุด แต่คุณก็จะไม่ค่อยบ่นอะไรกับมันมากนักแน่ๆ ถ้าปรับจนได้ระดับที่คุณต้องการ ซึ่งต้อง
ใช้เวลาสักหน่อย
พนักศีรษะ เป็นแบบ ปรับสูง – ต่ำ ได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า (ชุดเดียวกับสวิชต์ปรับเบาะนั่นละครับ แยกชิ้นกัน)
และสามารถปรับให้ดันศีรษะได้ราวๆ 5 ระดับ จากไม่ดันเลย จนถึงดันทุรังจนสุด ขอแนะนำให้ปรับแบบ
มาตรฐาน คือไม่ดันหัวเลย ดีที่สุด ถึงจะไม่สบายหัว เท่ากับ พนักพิงของ Volvo และ Lexus แต่ก็นุ่มนิดๆ
พอใช้ได้
พื้นที่เหนือศีรษะ หายห่วง โปร่งขนาด 1 ฝ่ามือครึ่งในแนวนอน ยังมีพื้นที่เหลือพอให้คุณภรรยา ไว้
เขกกบาลคุณสามี ถ้าขับรถเร็วเกินไป
เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าเป็นแบบ ELR 3 จุด ผ่อนแรงและดึงกลับอัตโนมัติ Pre-Tensioner & Load Limiter
คราวนี้ ปรับระดับสูง – ต่ำได้จาก เสากลาง B-Pillar เลยทีเดียว แถมระดับต่ำสุด ก็ปรับได้ต่ำสะใจ ไว้
ให้บุตรหลานอายุ 12 ปีขึ้นไป มานั่งเบาะหน้าได้โดยไม่ต้องกังวลอีกแล้ว
B-Class เป็นหนึ่งใน Mercedes-Benz ไม่กี่รุ่น ที่มีบานประตูคู่หลังกว้างใหญ่จนทำให้ การเข้า – ออก จาก
เบาะหลังทำได้อย่างสบาย ไร้ที่ติ หัวของผม ไม่โขกกับขอบหลังคา แผงประตูด้านข้าง ออกแบบแนวทาง
เดียวกันกับแผงประตูคู่หน้า มีช่องใส่ของเล็กๆน้อยๆ นิดหน่อย ส่วนตำแหน่งการวางแขนบนแผงประตู
ทำได้ดีเท่าเทียบกับ แผงประตูคู่หน้า สวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ก็อยู่ที่มือจับประตู แต่บานกระจกจะ
เลื่อนลงมาได้ไม่สุดขอบด้านล่างของแผงประตู
เบาะหลัง ดูเหมือนจะถูกออกแบบมาเอาใจคุณหนูๆ มากกว่า ผู้ใหญ่ มีพนักพิงที่แน่น เหมือนจะแข็ง แต่
จริงๆแล้ว เหมือนนั่งอยู่บนนวมนักมวยที่แข็งสักหน่อย ส่วนพนักศีรษะ ก็ยังมีขอบด้านล่าง ทิ่มตำต้นคอ
ของผมอยู่เล็กน้อย ต้องยกขึ้นใช้งานจึงจะไม่มีปัญหาดังกล่าว
เบาะรองนั่ง สั้นมากๆ สั้นจนอาจถูกใจบุตรหลานตัวน้อยของคุณ แต่ อาจระคายท่าน ส.ว. (สูงวัย) ในบ้าน
ก็เป็นไปได้สูง เพราะมันสั้นมากเสียยิ่งกว่ารถญี่ปุ่นทั่วไปที่ผมพบเจอในช่วง 2 ปีมานี้ ครั้งสุดท้ายที่พบว่า
เบาะรองนั่งสั้นได้ขนาดนี้ เห็นจะเป็น Honda Accord G7 รุ่นปี 2002 – 2007 นั่นเลย ดังนั้น ควรจะให้
สมาชิกในครอบครัว ที่ตั้งใจจะให้นั่งหลังรถ ลองมานั่งเบาะของรถคันนี้ก่อนว่า รับได้หรือไม่
พื้นที่เหนือศีรษะ ไม่ใช่ปัญหาเลย ต่อให้จะเป็นกะเหรี่ยงคอยาว หรือยีราฟกลับชาติมาเกิด ก็นั่งอยู่ใน
ห้องโดยสาร ของ B-Class ได้สบายๆ เช่นเดียวกันกับพื้นที่วางขา ซึ่งมีเหลือในระดับกำลังดี สำหรับ
ผู้ใหญ่ไซส์หมีควาย ประจำทีมเว็บ Headlightmag.com ของเรา ทั้ง 2 คน (คือผม กับ ตาแพน หรือ
ผู้การจอมเกิน commander CHENG! นั่นเอง)
เข็มขัดนิรภัย เป็นแบบ 3 จุดทุกที่นั่ง แต่ ฝั่งซ้าย และ ขวา จะเป็นแบบ ลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ
Pre-Tensioner & Load imiter เหมือน เข็มขัดนิรภัยของเบาะคู่หน้า ส่วนตรงกลาง จะเป็นแบบ ELR
3 จุด มาตรฐาน
ด้านหลังกล่องคอนโซลกลาง ยังมี ช่องเสียบปลั๊กไฟ 12V สำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้า ขนาดพกพา
และช่องเขี่ยบุหรี่ขนาดเล็ก แถมมาให้ พร้อมฝาปิดในตัว
นอกจากนี้ เบาะนั่งแถวหลัง ยังสามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 หรือ ทั้ง 1 ใน 3 และ 2 ใน 3
เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของมากยิ่งขึ้น ด้วยการดใช้ 2 นิ้ว บีบกด สวิชต์ตัวล็อกกลไก บนบ่าของเบาะทั้ง 2 ฝั่ง
เพียงเท่านี้ พนักพิงเบาะก็พร้อมให้ถูกพับลงมาอย่างง่ายดาย
ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง ใช้ระบบกลอนไฟฟ้า แต่ในรถคันที่เราลองขับ ไม่มีสวิชต์เปิดฝาประตู
ห้องเก็บของด้านหลัง บนรีโมทกุญแจ แต่อย่างใด ที่บริเวณเปลือกกันชนหลัง จะมีแถบโครเมียมไว้
เพื่อป้องกันรอยขีดข่วนจากการบรรทุกสัมภาระ ตามสไตล์ของ ค่ายรถยนต์ตราดาว แต่ผมเกรงว่า
แถบโครเมียมนั่นแหละ จะเป็นรอยขูดขีด จนดูหมดราศี ไปเสียเอง
เพื่อความปลอดภัย ยังมีมือจับสำหรับดึงฝาประตูปิดลงมา และสัญญาณไฟสีแดงดวงน้อยๆ ส่องให้ผู้ร่วม
สัญจรช่วงกลางคืน มองเห็นว่า คุณกำลังเปิดฝาประตูท้ายอยู่ อย่าเข้าใกล้
พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังมีขนาด 486 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA ของเยอรมัน หากพับเบาะแถวหลังออกไป
จะเพิ่มความจุได้ถึง 1,545 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA ถ้ายกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบว่า ด้านใต้ ทำเป็น
แผ่นสะท้อนแสง เพื่อความปลอดภัยในยามค่ำคืน อีกเช่นกัน คราวนี้ B-Class ใหม่ ไม่มียางอะไหล่มาให้
แต่มีชุดปะยาง แถมมาให้ทดแทน ผนังด้านยขวามือ เป็นช่องใส่ชุดปมพยาบาล ตามมาตรฐานของค่าย
Mercedes-Benz ส่วนฝั่งซ้าย เปิดออกดู สำหรับถอดแก้เปลี่ยนสายไฟ และไฟเบรกหลัง
แผงหน้าปัดออกแบบให้เน้นการใช้งานที่ง่ายขึ้น ดูสปอร์ต เอาใจคนหนุ่มสาวมากขึ้น แต่ยังรักษาขนบ
เดิมๆของ Mercedes-Benz เอาไว้ ทั้งการติดตั้ง ชุดมาตรวัด กับชุดหน้าจอ Monitor ขนาดเล็ก
(แบบพับเก็บไม่ได้ ยึดตำแหน่งไว้ตายตัว) ในระดับเดียวกัน เพื่อลดการละสายตาของผู้ขับขี่จากพื้นถนน
ช่องแอร์เป็นแบบวงกลม โครเมียม รูปกากบาท ทั้ง 5 ชิ้น หน้าตาคล้ายช่องแอร์ ในรถเมล์ปรับอากาศ ปอ.4
หมุนไปมา ได้แค่นิดหน่อย แต่ประหยัดต้นทุนในการผลิตและออกแบบไปได้มาก แถมยังดูเข้ากันดีกับ
ลวดลาย Trim แบบรังผึ้ง (Honeycomb) บนแผงหน้าปัด
มองไปทางด้านบนเพดาน ใช้วัสดุผ้า สีดำหุ้มมาอย่างดี แผงบังแดด มีกระจกแต่งหน้า พร้อมไฟส่องสว่าง
ติดตั้งบนเพดาน ซ่อนไว้ มาให้ด้วย ครบทั้ง 2 ฝั่ง แต่ไฟส่องสว่างนั้น สวิชต์อยู่ในตำแหน่งเดิม คือ บนแผง
พลาสติก ตรงกลาง แต่หลอดไฟนั้น ถูกติดตั้งซ่อนไว้่ ใต้กระจกมองข้างแบบลดแสงสะท้อนได้เองในยาม
ค่ำคืน ส่วนไฟอ่านแผนที่ มีมาให้บนแผงพลาสติกเหนือศีรษะนั่นละครับ และถ้ามองไปทางด้านหลังรถ
ยังมีไฟอ่านหนังสือ ที่เหนือศีรษะผู้โดยสารตรงกลาง และ เหนือบานประตูคู่หลัง อีก รวม 3 ตำแหน่ง
แปลกว่า น่าจะมีไฟส่องสว่างตรงกลางให้สักจุดนุึง เพื่อเพิ่มความสว่างภายในรถมากกว่านี้ก็จะดีมาก
หาของหายในรถยามค่ำคืนจะสะดวกกว่านี้
พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน หุ้มหนัง พร้อมสวิชต์ควบคุมชุดเครื่องเสียง และหน้าจอบนมาตรวัด ปรับระดับ
สูง – ต่ำได้ ด้วยก้านโยกใต้คอพวงมาลัยในระบบอัตโนมือของคุณเอง และมีแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift
ซึ่งต้องใช้ร่วมกับโหมดเปลี่ยนเกียร์แบบ S กับ M (อธิบายไว้ข้างล่าง ในส่วน งานวิศวกรรม)
มองไปทางขวา สิ่งที่แปลก และต้องเตือนกันตรงนี้เลย ก็คือ คันเกียร์ ในรูปของก้านสวิชต์ไฟฟ้า แม้ว่าเรา
จะเคยพบมาแล้วใน S-Class กับ CL-Class รวมทั้ง E-Class W212 รุ่น E300 กับ E500 ที่ผมเคยขับ
มาก่อนแต่ คราวนี้ ก้านสวิชต์คันเกียร์ ถูกขยายความยาวจนเท่ากับก้านสวิชต์ไฟเลี้ยวของรถยนต์ทั่วไป ดังนั้น
หากคุณเพิ่งลงจากรถญี่ปุ่น แล้วขึ้นมาขับรถคันนี้ ขอให้ใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด! เพราผมเอง ก็เผลอ
มาแล้ว ขับรถอยู่ที่เกียร์ D เผลอตบไฟเลี้ยวซ้ายแบรถญี่ปุ่นตามความเคยชิน เท่ากับว่า ไปยกคันเกียร์จาก
ตำแหน่ง D ไปอยู่เกียร์ว่าง หรือ N เฉยเลย !
สวิชต์ เปิดไฟหน้า แบบมือบิด อยู่ทางขวา ถัดลงไปข้างล่าง เป็นสวิชต์เบรกมือไฟฟ้า ที่มีหน้าตาคล้ายมือจับ
ปลดล็อกแป้นเบรกจอด แต่ใน B-Class นั่น สวิชต์นี้ ดึงเพื่อปลด กดเพื่อล็อกเบรกจอด
กระจกมองข้างเป็นแบบลดแสงสะท้อนยามค่ำคืน ปรับและพับได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า หากเข้าเกียร์ R เพื่อ
ถอยหลังเข้าจอด แล้วกดสวิชต์กระจกมองข้างฝั่งซ้าย ตัวกระจกฝั่งซ้ายจะปรับมุมองศาลดลง จนคุณเห็น
พื้นถนนด้านข้างฝั่งซ้าย ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยขณะถอยเข้าช่องจอดได้ดีขึ้น ส่วนกระจกหน้าต่างของบาน
ประตูทั้ง 4 บาน เปิดปิดด้วยสวิชต์ไฟฟ้า และเป็นแบบ One Touch เลื่อนขึ้น-ลงได้จนสุด เพียงกดปุ่ม
หรือยกปุ่มขึ้นจนสุด ครั้งเดียว
มองมาทางซ้ายกันบ้าง คอพวงมาลัยฝั่งซ้าย ติดตั้ง ก้านสวิชต์ ซึ่งรวมระบบไฟเลี้ยวและไฟสูง (ยกขึ้น – ลง
แต๊บไฟสูง และผลักเพื่อเปิดไฟสูงแช่ยาวๆ เหมือนก้านสวิชต์ในรถปกติ) ระบบใบปัดน้ำฝนคู่หน้า ทำงาน
ร่วมกับ Rain-Sensor (หมุนที่หัวก้านสวิชต์ ตามระดับที่ต้องการ กดปุ่มโครเมียม ถ้าต้องการฉีดน้ำล้างกระจก)
และชุดใบปัดน้ำฝนด้านหลัง (มีสวิชต์ฝังอยู่ที่ตัวก้าน ยกขึ้น เพื่อปัด 1 จังหวะ หมุนเพิ่มแล้วปล่อย เพื่อฉีด
น้ำล้างกระจกบังลมหลัง)
ถัดลงมาเป็น ก้านสวิชต์ของ ระบบรักษาระดับความเร็ว (Cruise control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC)
ถ้ายกก้านสวิชต์ข้น เท่ากับตั้งความเร็วที่เดินทางอยู่ตอนนั้น ให้รถ ช่วยล็อกความเร็วนั้น แล้วขับต่อไปโดย
ไม่ต้องเหยียบคันเร่ง ถ้าจะยกเลิกระบบ ก็แตะเบรก ส่วนระบบ SPEEDTRONIC นั้น แค่กดก้านสวิชต์เข้าไป
จนไฟสีเหลืองเปิดขึ้นมา ถ้ายกก้านขึ้น เท่ากับล็อกความเร็วนั้นไว้ ไม่ให้ขับเกินกว่านั้น เมื่อระบบทำงานแล้ว
ต่อให้เหยียบคันเร่งจมมิดเข้าไปเท่าไหร่ หากคุณตั้งเอาไว้ไม่ให้ขับเกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง รถก็จะไม่ยอม
เร่งขึ้นไปให้เร็วกว่านั้น
ข้อที่ควรปรับปรุง ก็ไม่ต่างจากเดิมที่ผมเคยให้ความเห็นไปว่า โอกาสที่จะเปิดไฟเลี้ยวผิด กลายเป็นว่า ยกให้
ระบบ Cruise Control ทำงานนั้น มีสูงก็ยังคงติดตั้งอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปอีกสักพักใหญ่ๆ
ที่พื้นรถ แป้นคันเร่ง และแป้นเบรก เป็นแบบอลูมีเนียม มีปุ่มสีดำกันลื่น สไตล์สปอร์ต ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์
มาตรฐานของ B200 คันนี้
มาตรวัดความเร็ว ยังคงออกแบบตามมาตรฐานของ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ แต่ วางรูปแบบ 2 วงกลม
ให้ดูง่าย อ่านข้อมูลง่าย ลดการละสายตาจากถนนได้ดี จอแสดงข้อมูล Multi Informtaion Display มีทั้ง
นาฬิกา Digital ด้านบนซ้าย มาตรวัดอุณหภูมิภายนอกรถ ฝั่งขวา ตรงกลางเว้นว่างให้สัญญาณเตือนใน
ระบบที่ต้องแจ้งข้อมูลควบคู่กันกับระบบอื่นๆ เช่น เบรกจอด พร้อมระบบ HOLD เป็นต้น
ถัดลงมา ที่จอกลาง แสดงข้อมูลแบบเดียวกันกับ รถรุ่นอื่นๆ ในตระกูลตราดาว คือมีทั้งมาตรวัดอัตรา
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ความเร็วเฉลี่ย ระยะทางที่น้ำมันในถังยังเหลือพอให้แล่นต่อไปได้ ตั้งแต่
ออกรถ หรือตั้งแต่ กดปุ่ม Reset เพื่อตั้งค่า เซ็ต 0 บน Trip Meter ที่มีมาให้แค่ Trip A อย่างเดียว ไม่มี
แถม Trip B ทั้งสิ้น แสดงข้อมูล แจ้งเตือนของระบบต่างๆ ทั้งระบบ ช่วยเตือนความดันลมยาง ระบบ
เตือนเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ASSYST PLUS ระบบเตือนอาการเหนื่อยล้าจากการขับขี่ (รูปถ้วย
กาแฟ Starbuck) มาตรวัดความเร็วแบบตัวเลข Digital แถมยังเป็นหน้าจอ แสดงการทำงานของชุด
เครื่องเสียง ได้ทั้งภาษาอังกฤษ เยอรมัน กับภาษาอะไรก็ตามที่ต้องใช้ตัวอักษร A-Z และญี่ปุ่น (ได้
แค่ตัวทับศัพท์อังกฤษ คาตาคานะ) ส่วนตัวคันจิ ภาษาไทย จีน เกาหลี อ่านไม่ได้ ครับ
แถวล่างสุด บอกตำแหน่งเกียร์อัตโนมัติ และบอกความเร็วที่ระบบ Cruise Control กับ Speedcontrol ล็อกไว้อยู่
การใช้งาน หน้าจอ ทุกรุปแบบ ต้องใช้ปุ่ม Multi Function บนพวงมาลัยทั้ง 2 ฝั่ง แบบเดียวกับรถยนต์ตราดาวรุ่นใหม่คันอื่นๆ
ชุดเครื่องเสียง เป็นแบบ MB Audio20 มีวิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD/ MP3/ WMA 1 แผ่น พร้อม
ช่องต่อสายสัญญาณ AUX และ USB บริเวณพนักวางแขน กลางเบาะหน้า และสามารถเชื่อมต่อกับระบบ
Bluetooth ของโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นๆได้ ควบคุมได้ทั้งจากสวิชต์เครื่องเสียง และ
จากระบบ COMMAND ที่มีสวิชต์มือหมุน โยกขึ้น – ลง ซ้าย – ขวาได้ มาให้ ยังอาจใช้งานยากไปหน่อย
และต้องลดสายตาจากการขับขี่ มาปรับเปลี่ยนคลื่นวิทยุ หรือเปลี่ยน Folder ของไฟล์เพลงกันเข้าไป
คุณภาพเสียงที่ออกมา ก็ถือว่า ไม่ได้แตกต่างไปจาก Mercedes-Benz รุ่นใหม่คันอื่นๆที่เราเคยทำรีวิว
กันไปมากนัก เสียงดี ไว้ใจได้ ฟังรื่นหูกว่า ชุดเครื่องเสียง JBL ใน camry HYBRID ใหม่แน่นอน
แต่บางช่วง หรือเพลงบางแนว อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับเครื่องเสียงชุดนี้นัก เพราะไม่ได้ติดตั้งระบบ
Logic 7 มาให้ด้วยแต่อย่างใด
ถัดลงมา เป็นแผงสวิชต์ ตรงกลางเป็นสวิชต์ไฟฉุกเฉิน Hazzard Light แม้จะตั้งอยู่ในตแหน่งตรงกลาง
แต่การจะคลำใช้งานอย่างรวดเร็ว อาจต้องเหลือบสายตาลงไปหานิดนึง ฝั่งซ้าย เป็นสวิชต์ S M E มิได้
เกี่ยวข้องอะไรกับธุรกิจผู้ผลิตขนาดเล็กทั้งสิ้น แต่จะเกี่ยวข้องกับระบบเกียร์ ซึ่งรายละเอียดจะอยู่ใน
ย่อหน้าข้างล่าง อ่านไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะเจอครับ ว่ามันคือสวิชต์อะไร
ฝั่งขวามือของสวิชต์ไฟฉุกเฉิน เป็นไฟ ECO กดไว้ เพื่อให้ระบบ Auto Start/Stop ช่วยดับ และติด
เครื่องยนต์ได้เอง ขณะคลานไปตามสภาพการจราจรติดขัด เหมือนทั้งใน Nissan March / Almera
กับ Toyota HYBFRID ทุกรุ่น หากคุณขับรถอยู่ คลานในเมือง ความเรวไม่สูง เครื่องยนต์ไม่ร้อนนัก
ถ้าต้องเหยียบเบรกหยุดรถ เครืองยนต์จะดับทันที และจะติดขึ้นเองอย่างรวดเร็ว เมื่อคุณถอนเท้าจาก
แป้นเบรก ถือเป็น Mercedes-Benz ขนาดเล็กรุ่นแรกในไทย ที่ติดตั้งระบบนี้มาให้
ระบบนี้ จะทำงานทั้งที่คุณเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ที่ตำแหน่ง A/C On (แต่เมื่อเวลาผ่านไป จะพบว่า
ลมที่เป่าออกมา ก็เป็น พัดลม ไม่มีไอเย็นออกมาด้วย) และมันทำงานได้ถี่ชนิดที่คุณจะแปลกใจ จน
อาจรำคาญ มันถี่แบบเดียวกับที่คุณจะพบได้ในระบบเดียวันนี้ของ Nissan ALMERA เลยทีเดียว!
แต่ระบบนี้ก็ฉลาดพอ ถ้าคุณขับรถทางไกลอยู่ แล้วเจอสี่แยกไฟแดง ข้างหน้า หากอุณหภูมิเครื่องยนต์
ยังไม่เย็นลง ระบบนี้ ก็จะไม่ทำงาน เพราะจะช่วยไม่ให้ Turbo เสียหายเร็ว จากการดับเครื่องทันที
ที่ Turbo ยังร้อนอยู่!
ขวาสุด เป็นสวิชต์ระบบเซ็นเซอร์ช่วยกะระยะเข้าจอด PARKRONIC ที่มีเสียงดังพร้อมกับไฟเตือน
ที่ด้านบนตรงกลางของแผงหน้าปัด ให้เห็นถึงระยะใกล้กับวัตถุ ขณะจอด แถมยังแสดงผลบนจอ
มาตรวัดความเร็วอีกด้วย
และที่พิเศษไปกว่า รุ่นอื่นๆ ก็คือ B200 Blue EFICIENCY คันนี้ มีระบบ ช่วยนำรถเข้าจอดเองเหมือน
ทั้ง Skoda Superb และ Ford Focus ใหม่ ในชื่อ ว่า Active Parking Assist โดยจะช่วยหาที่ว่าง
สำหรับการจอดรถ ถ้าเซนเซอร์ ที่ฝังอยู่ตามแนวตัวรถด้านซ้ายและขวา สแกนเจอพื้นที่ว่าง ยาวพอให้จอดรถ
ก็จะส่งสัญญาณเตือนให้คนขับ หยุดรถในตำแหน่งที่เลยถัดพื้นที่ว่างไปอีกนิดนึง ผู้ขับขี่แค่ทำตามคำแนะนำ
ทั้งการเข้าเกียร์ เลี้ยงแป้นเบรกไว้ ฯลฯ บนหน้าจอของแผงมาตรวัด โดยไม่ต้องควบคุมพวงมาลัยรถเลย
ปล่อยให้ระบบ นหมุนพวงมาลัย กะระยะและองศา เพื่อถอยเข้าจอดให้คุณเอง แต่คุณต้องคุมแป้นเบรกเอง
และเปลี่ยนเกียร์เองด้วย เสมอ
เครื่องปรับอากาศ เป็นระบบ THERMATIC มาตรฐาน เป็นแบบสวิชต์มือหมุน หน้าตาคล้ายกับฝาจีบของ
ขวดน้ำยาปรับผ้านุ่มขนาดใหญ่ พอดีมือ ไม่มีระบบแยกฝั่งซ้าย – ขวา มาให้ ความเย็นนั้น อาจต้องทำใจ
เพราะถ้าปรับอุณหภูมิไว้ที่ระดับ 23 องศา มันก็ไม่ได้เย็นฉ่ำเท่าไหร่ จนกว่าคุณจะปรับให้ต่ำลงไปเหลือ
20 องศาเซลเซียส จึงจะเริ่มมีไอเย็นประปรายตามราวผิวขึ้นมาบ้าง
ถัดลงมา เป็นช่องวางข้วของจุกจิก 2 ตำแหน่งใหญ่ เป็นถังขยะในตัวก็ได้ ช่องใหญ่สุด ตรงกลาง
ถอดยกขึ้นเทฝุ่นผงลงถังชยะใหญ่ได้เลย
ลิ้นชกเก็บของฝั่งผู้โดยสารตอนหน้า ด้านซ้าย มีขนาดใหญ่ และแบ่งเป็น 2 ชั้น สำหรับใส่คู่มือและ
เอกสารประจำรถต่างๆ อีกทั้งยังมีพ้นที่เหลือพอให้ใส่ข้าวของจุกจิกได้มากมายอีกด้วย จะใส่ปืน
สักกระบอก ก็ทำได้ ขนาดกำลังพอดี สำหรับปืนสั้น
ข้างลำตัวคนขับ เป็นกล่องคอนโซลกลาง มีช่องเสียบ AUX และ USB ซ่อนอยู่ข้างใน มีขนาดให่พอจะ
ใส่กล่อง CD ได้มากอยู่ มีช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง พร้อมตัวล็อกแก้ว ฝาปิดกล่องคอนโซลกลาง สามารถ
เลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง เพื่อการวางแขนซ้ายของผู้ขับขี่ ที่สบายขึ้นได้
ทัศนวิสัยด้านหน้า เหมือนจะโปร่ง และมองเห็นฝากระโปรงหน้าได้ หากปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้สูงไว้
การกะระยะ ถือว่าทำได้ดี และไม่มีปัญหาอะไรน่าหนักใจนัก การเหลือบมอง จอแสดงข้อมูลต่างๆ อาจ
ใช้เวลานิดนึง แต่ รับรู้ขจ้อมูลได้เร็วดี
เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา มีขนาดค่อนข้างใหญ่ และหนา แอบมีการบดบังรถที่แล่นสวนมา ขณะ
ที่คุณกำลังขับรถอยู่บนทางโค้ง เลี้ยวขวา บนถนนสวนกันสองเลน ควรเพิ่มความระมัดระวัง ส่วนกระจก
มองข้างฝั่งซ้าย หน้าตาละม้ายคล้ายจะยกชุดมาจาก C-Class แต่การมองเห็น ก็ถือว่าทำได้ดียังไม่เจอปัญหา
เว้นเสียแต่ว่า พื้นที่ขอบล่างของกระจกนั้น ถูกพลาสติกตัวกรอบด้านใน บดบังไปพอสมควร
เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย อาจบดบังทัศนวิสัยขณะเลี้ยวกลับรถได้ ณ ทางกลับรถบางรูปแบบ
หรือมีเกาะกลางที่ไม่กว้างนัก ควรใช้ความระมัดระวัง แต่ถ้ากลับรถ บนถนนพหลโยธิน บอกได้เลยว่า
ยังไม่พบปัญหา เว้นเสียแต่ ขนาดของกระจกมองข้าง เหมือนจะเล็กไปสักหน่อย สำหรับรถยนต์
ประเภทนี้
มองย้อนไปทาง้านหลังจากเบาะคนขับ ทัศนวิสัยด้านหลัง ดูเหมือนจจะโปร่งตา แต่ความจริงแล้ว เสาหลังคา
คู่หลังสุด D-Pillar ก็หนามิใช่เล่น บังจักรยานยนต์ได้มิด ดังนั้น ขอแนะนำให้ใช้ความระมัดระวัง ขณะเปลี่ยน
ไปยังเลนซ้าย หรือขับเข้าช่องทางคู่ขนานให้ดี ควรหันศีรษะเหลือบมองรถคันที่แล่นตามมาจากทางด้านหลัง
ฝั่งซ้ายด้วย เพื่อความปลอดภัย
********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********
ในตลาดทั่วโลก B-Class ใหม่ W246 จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งหมด 2 แบบ 4 รุ่นย่อย แบ่งเป็น
เบนซิน 2 ขนาด และแบบ Diesel Turbo 2 ขนาด บนพื้นฐานระบบขับเคลื่อนล้อหน้าทั้งหมด
ทุกขุมพลัง มีให้เลือกได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ บนพื้นฐานจากเกียร์
ธรรมดา แบบคลัชต์คู่ 7G – DCT ดังนี้
– B180 BlueEFFICIENCY เครื่องยนต์ M270 บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,595 ซีซี หัวฉีด
อีเล็กโทรนิกส์ พ่วง Turbo 90 กิโลวัตต์ /122 แรงม้า (HP) ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200
นิวตันเมตร / 20.38 กก.-ม. ที่ 1,250 – 4,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่
10.2 – 10.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 5.9 – 6.2 ลิตร /
100 กิโลเมตร ปล่อยก๊าซ CO2 150 – 162 กรัม / กิโลเมตร
– B200 BlueEFFICIENCY เครื่องยนต์ M270 บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,595 ซีซี หัวฉีด
อีเล็กโทรนิกส์ พ่วง Turbo 115 กิโลวัตต์ /156 แรงม้า (HP) ที่ 5,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250
นิวตันเมตร / 25.47 กก.-ม. ที่ 1,250 – 4,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่
8.4 – 8.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 5.9 – 6.2 ลิตร /
100 กิโลเมตร ปล่อยก๊าซ CO2 138 – 145 กรัม / กิโลเมตร
– B180 CDI BlueEFFICIENCY เครื่องยนต์ Diesel OM651 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,796 ซีซี
Common-Rail Turbo 80 กิโลวัตต์ / 109 แรงม้า (HP) ที่ 3,200 – 4,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
250 นิวตันเมตร / 25.47 กก.-ม. ที่ 3,500 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 10.7 –
10.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยราวๆ 4.4 – 4.7 ลิตร / 100
กิโลเมตร ปล่อยก๊าซ CO2 114 – 122 กรัม / กิโลเมตร
– B200 CDI BlueEFFICIENCY เครื่องยนต์ Diesel OM651 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,796 ซีซี
Common-Rail Turbo 100 กิโลวัตต์ / 136 แรงม้า (HP) ที่ 3,600 – 4,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
300 นิวตันเมตร / 30.57 กก.-ม. ที่ 1,600 – 3,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่
9.3 – 9.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยราวๆ 4.4 – 4.7 ลิตร /
100 กิโลเมตร ปล่อยก๊าซ CO2 115 – 122 กรัม / กิโลเมตร
แต่สำหรับในเมืองไทย Mercedes-Benz Thaland สั่งเข้ามาขายเพียงแบบเดียว และเป็นรุ่นท็อปสุด คือ
B200 Blue Effciency วางเครื่องยนต์ รหัส M270 เวอร์ชันแรงสุด บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,595 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก x มิลลิเมตร กำลังอัด 10.3 : 1 พร้อมด้วยเทคโนโลยีหัวฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตรงสู่ห้อง
เผาไหม้ Direct Injection ด้วยหัวฉีดแบบ Fast-acting Piezo แถมยังพ่วงระบบอัดอากาศ Turbo Charger
และ ระบบหล่อเย็นไอดี ก่อนส่งเข้าห้องเผาไหม้ Intercooler
พละกำลังสูงสุด 156 แรงม้า (PS) หรือ 115 กิโลวัตต์ ที่ 5,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร หรือ
25.47 กก.-ม. ที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,250 – 4,000 รอบ/นาที มาในแนว แรงบิดสูงสุดต่อเนื่องตั้งแต่รอบต่ำ
ถึงรอบสูง หรือเรียกว่า Flat Torque กันเลยทีเดียว
สิ่งเดียวที่ผมแอบสงสัยก็คือ ทำไมวิศวกรเขาติดตั้งกล่อง ECU เอาไว้ในตำแหน่งอย่างที่เห็นในรูปด้วย
เพราะในความจริง ตำแหน่งนี้ ใกล้เคียงกับเปลือกกันชนหน้ามากๆ แสดงว่าถ้าเกิดการชนที่ด้านหน้า
ฝั่งซ้ายของรถ โอกาสที่ความเสียหายจะกระทบกระเทือนถึงขั้นต้องเปลี่ยนกล่อง ECU ก็เป็นไปได้สูง
หากย้ายตำแหน่งกล่อง ECU ไปไว้ให้ลึกกว่านี้ น่าจะช่วยลดค่าซ่อมของลูกค้า กรณีเฉี่ยวชนเล็กๆน้อย
แต่กินพื้นที่ลึกเข้าไปใกล้ห้องเครื่องยนต์ ลงได้อีกพอสมควรเลยทีเดียว
ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ บนพื้นฐานของเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะ แบบคลัชต์คู่ 7G-DCT
ที่พัฒนาขึ้นเพื่อรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าในตระกูล Mercedes-Benz โดยเฉพาะ จุดเด่นของเกียร์ลูกนี้คือ มีขนาด
กระทัดรัด ยาวเพียง 367 มิลลิเมตร และหนักเพียง 86 กิโลกรัม ถือว่าเบากว่าเกียร์อัตโนมัติ สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อน
ล้อหน้าคันอื่นๆในตลาด ติดตั้งสวิชต์คันเกียร์ บนคอพวงมาลัย เหมือน Mercedes-Benz S-Class และ E-Class
ใหม่ บางรุ่นย่อย ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังและความจำในการเปลี่ยนเกียร์ ควรท่องไว้ตลอดว่า “นั่นไม่ใช่ก้านไฟเลี้ยว”
เพราะมีบางครั้ง ที่ผมเผลอเรอ ไปกระดกก้านคันเกียร์ โดยลืมตัว นึกไปว่าเป็นก้านไฟเลี้ยวอยู่บ่อยๆ ขณะขับขี่ใน
เกียร์ D ถ้าคุณกระดกก้านไฟเลี้ยว…เอ้ย คันเกียร์..(ดูสิ ขนาดเขียน ยังงงๆเองเลย) เกียร์จะเปลี่ยนตำแหน่งไปยัง
เกียร์ว่าง (N) ให้ แต่ถ้าในความเร็วต่ำกว่า 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง คุณเข้าเกียร์อีกครั้ง เกียร์จะแสดงหน้าจอว่า เปลี่ยน
ตำแหน่งไปยังเกียร์ถอยหลัง (R) แต่รถจะยังเคลื่อนไปข้างหน้า อย่างช้าๆ ตามเดิม จนกว่ารถจะหยุดนิ่ง และคุณก็
เริ่มเหยียบคันเร่ง เพื่อให้รถถอยหลังได้
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีโหมดการขับขี่ E (Economy) เน้นการขับประหยัด S Sport สำหรับการปล่อยให้
เครื่องยนต์ช่วยลากรอบเพิ่มขึ้นไปอีกนิด ยืดช่วงเวลาการเปลี่ยนเกียร์ให้ยาวขึ้น และ โหมด M Manual
สำหรับคนที่อยากเล่นเกียร์เอง สามารถใช้งานร่วมกับ แป้น Paddle Shift ด้านหลังพวงมาลัย (ซ้ายคือ
แป้น เปลี่ยนเกียร์ลง ขวาคือเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น)
แต่ปุ่มสำหรับสลับโหมดการขับขี่นั้น ผมหาอยู่ตั้งนาน ว่ามันไปซ่อนอยู่ที่ไหน กว่าจะเจอว่า ติดตั้งไว้
ข้างสวิชต์ไฟฉุกเฉิน บนแผงควบคุมกลาง ก็เกือบจะได้เวลาคืนรถกันแล้วเลยทีเดียว ทำไมไม่ติดตั้ง
ในตำแหน่งที่มันสะดวก และอยู่ใกล้ต้อการใช้งานมากกว่านี้กันละเนี่ย? ติดตั้งในตำแหน่ง แปลกๆ
อย่างนี้ กว่าจะหาเจอ ใช้เวลานานจนลูกบวชกันพอดี!
ชุดคลัชต์ในระบบ เป็นแบบเปียก ทำงานอยู่ในอ่างน้ำมันเกียร์ ซึ่งตัวน้ำมันไฮโดรลิกเอง ก็ถูกปรับปรุงให้
ช่วยระบายความร้อนได้อย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยให้เกียร์ยังคงทำงานได้ดีในทุกสภาพอากาศ ปริมาณน้ำมัน
เกียร์ที่ต้องใช้ในระบบ รวมทั้งหมด 6 ลิตร มีปั้มน้ำมันเกียร์ 2 ปั้ม ตัวแรกทำงานด้วยระบบกลไก อีกตัวหนึ่ง
เป็นปั้มไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยรักษาแรงดันน้ำมันเกียร์ ขณะทำงานในโหมด Start/Stop ช่วยให้เกียร์สามารถ
ทำงานได้ทันทีในขณะที่เครื่องยนต์ต้องติดเครื่องและผู้ขับต้องออกรถกระทันหันในเสี้ยววินาที อีกทั้งยัง
ช่วยเสริมการทำงานของ ปั้มน้ำมันเกียร์แบบกลไก ในกรณีต้องรับภาระหนัก ทั้งบนทางลาดชัน หรือมี
น้ำหนักบรรทุกมากๆ ดังนั้น ทำให้วิศวกร สามารถออกแบบปั้มน้ำมันเกียร์แบบกลไกให้มีขนาดเล็กลง
และมีประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้นได้ ตามไปด้วย
อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
เกียร์ 1 3.86
เกียร์ 2 2.43
เกียร์ 3 2.67
เกียร์ 4 1.05
เกียร์ 5 0.78
เกียร์ 6 1.05
เกียร์ 7 0.84
เกียร์ R 3.38
อัตราทดเฟืองท้าย 3.35 (4.13)
ตัวเลขสมรรถนะที่ทางโรงงานในเยอรมัน เคลมไว้ก็คือ อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 8.4 วินาที
ความเร็วสูงสุด 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในเมือง 7.9 – 8.3 ลิตร / 100 กิโลเมตร ส่วน
นอกเมืองอยู่ที่ 4.7 – 5.0 ลิตร / 100 กิโลเมตร และค่าเฉลี่ย อยู่ที่ 5.9 – 6.2 ลิตร / 100 กิโลเมตร ปล่อยก๊าซ
คารบอนไดอ็อกไซด์ โดยเฉลี่ย 138 – 145 กรัม / 1 กิโลเมตร
แต่บนถนนเมืองไทย สมรรถนะจะออกมาเป็นอย่างไร เราทำการทดลองจับเวลาในช่วงกลางคืน เปิดแอร์
นั่ง 2 คน และใช้บริการ น้องกล้วย BnN แห่ง The Coup Channl เป็นคนจับเวลาตามมาตรฐานดั้งเดิมของ
เราตามเคย ผลลัพธ์ที่ได้แบบ ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งคันไหน (เพราะตัวรถเอง ก็ไม่มีคู่แข่งให้
เปรียบเทียบเลย) มีดังนี้
0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง
ครั้งที่ 1 9.67 วินาที
ครั้งที่ 2 9.51 วินาที
ครั้งที่ 3 9.57 วินาที
ครั้งที่ 4 9.57 วินาที
เฉลี่ย 9.58 วินาที
80-120 กิโลเมตร / ชั่วโมง
ครั้งที่ 1 7.41 วินาที
ครั้งที่ 2 7.40 วินาที
ครั้งที่ 3 7.34 วินาที
ครั้งที่ 4 7.56 วินาที
เฉลี่ย 7.42 วินาที
ความเร็วที่เกียร์ 4 อันเป็นเกียร์สูงสุด (กิโลเมตร/ชั่วโมง @ รอบ/นาที)
80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 1,400 รอบ/นาที
100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 1,800 รอบ/นาที
110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 2,000 รอบ/นาที
ความเร็วสูงสุดในแต่ละเกียร์ (กิโลเมตร/ชั่วโมง @ รอบ/นาที)
เกียร์ 1 45 @ 6,000
เกียร์ 2 75 @ 6,000
เกียร์ 3 105 @ 6,300
เกียร์ 4 152 @ 6,300
เกียร์ 5 208 @ 6,300
เกียร์ 6 225 @ 5,200
ความเร็วสูงสุดบนมาตรวัด : 225 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 5,200 รอบ/นาที ที่เกียร์ 6
เห็นตัวเลขแล้ว เป็นไงครับ ใครจะไปนึกละ ว่า รถยนต์ ท้ายตัด หน้าตาเป็น Minivan 5 ที่นั่ง ทรง Tall Boy
จะทำตัวเลขอัตราเร่ง และ ความเร็วสูงสุด ได้น่าตื่นตาตื่นใจเอาเรื่องขนาดนี้
ตอนแรก ผมคาดว่า คงทำตัวเลข 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้แถวๆ 11 วินาทีนิดๆ อัตราเร่งแซง 80 -120
กิโลเมตร/ชั่วโมง น่าจะป้วนเปี้ยนแถวๆ 9 วินาที กลางๆ ที่ไหนได้ ตัวเลข 9 หนะ ดันกลายเป็นอัตราเร่ง
จากจุดหยุดนิ่ง ส่วนอัตราเร่งแซง ดันทำตัวเลขได้ 7 วินาที กลางๆ แถมท็อปสปีด พี่ท่านก็พาคุณลากยาว
ขึ้นไปได้สูงถึง 225 กิโลเมตร/ชั่วโมง(แม้จะต้องใช้เวลา กับระยะทางยาวนานพอสมควรเหมือนกันก็ตาม
เพราะเมื่อช่วงที่เกียร์ 5 ถูกลากจนถึง 6,300 รอบ/นาที และต้องเปลี่ยนเกียร์ที่ความเร็วระดับ 208 กิโลเมตร/
ชั่วโมงแล้ว พอเข้าสู่เกียร์ 6 คุณแทบไม่ต้องไปหวังพึ่งปาฏิหารย์ใดๆเลย จาก 208 – 225 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ใช้เวลายาวนานพอให้ผมต้องเริ่มลุ้น ว่าการทดลองจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ พอแตัวเลข 225 ปรากฎขึ้น นาน
ถึง 5 วินาที และยังไม่มีการขยับขึ้นใดๆอีก ผมก็ถอนเท้าออกจากคันเร่งทันที และเริ่มหน่วงความเร็วลง
ครับ มันเป็นรถที่เหมือนเป็น Minivan 5 ที่นั่ง รูปทรง โฉบเฉี่ยวกว่า รถขนผ้าอ้อมนิดหน่อย แต่มันกลับสร้าง
ความสนุกในการขับขี่ให้เกิดขึ้นได้ในช่วง 3,000 – 5,000 รอบ/นาที ซึ่งตาแพน Commander CHENG!
เรียกว่าเป็นรถ Mid-Range คือแรงบิดจะไหลมาเทมาต่อเนื่อง ในช่วงรอบเครื่องยนต์ปานกลาง โดยไม่ต้องไป
คาดหวังแรงบิด จากช่วงรอบต้นๆ และรอบปลายๆ
ดังนั้น ในช่วงออกตัวจนถึง 2,000 รอบ/นาที แทบไม่ต้องไปตั้งความหวังอะไรทั้งสิ้น เพราะเป็นช่วงที่เหมาะ
แก่การออกรถช้าๆ แล้วคลานไปตามสภาพการจราจรมากว่า ไปแบบเรื่อยๆ แอบพุ่งเล็กๆ แต่ยังไม่มากนัก
อาจต้องกะระยะเหยียบของคันเร่งให้ดี ถ้าขับในเมือง แตะคันเร่ง พอให้ ECU มันรู้ว่า คุณกำลังขับคลานๆ
ระบบจะเข้าสู่โหมด ECO ให้ ขับไปเรื่อยๆ รถคันข้างฟน้าหยุด ก็จอดตาม เหยียบเบรกให้มิด คราวนี้ระบบ
Auto Start Stop จะทำงาน ดับเครื่องยนต์ รอให้ไฟเขียวอีกครั้ง ถอนเท้าจากแป้นเบรก เครื่องติดปั๊บ
ออกรถได้เลยทันที ในจังหวะออกตัว อาจต้องรอการจับตัวกันของชุดคลัชต์ นิดนึง เกือบๆ 1 วินาที รถจะ
ออกตัวอย่าง Smooth นุ่มนวล สบายๆ
แต่ถ้าคุณยังเหยียบคันเร่งไว้ที่เดิม แล้วรอให้รอบเครื่องยนต์ มันกวาดขึ้นไปถึงระดับ 2,500 รอบ/นาที คุณจะ
พบว่า Turbo เริ่มบูสต์มาอย่างต่อเนื่องมากขึ้น จนกระทั่ง 3,000 รอบ/นาที แรงบิดทั้งหมด จะพุ่งพรวดออกมา
หมุนล้อคู่หน้า จนในบางครั้ง อาจถึงขั้นทำให้ล้อคู่หน้าหมุนฟรีได้นิดๆ พร้อมกับสร้างแรงดึงให้รถพุ่งออกไป
อย่าง “สนุก และน่าตื่นตาตื่นใจกว่าที่คิด” มันจะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปจนถึงช่วง 5,000 รอบ/นาที แรงบิดจะเริ่ม
ตื้อ รอบในช่วงปลาย จะเริ่มเหี่ยวลง หลังจากนี้ ต่อให้คุณเหยียบมิดตีน แช่คันเร่งลากรอบเครื่องยนต์อีกนาน
แค่ไหน ก็แทบจะไม่เหลือแรงดึงอะไรให้เห็นอีก จนกว่าจะถึง 6,300 รอบ/นาที อันเป็นช่วงก่อนเข้า Red Line
แปลว่า เกียร์จะต้องตัดเปลี่ยนไปยังเกียร์ที่สูงขึ้นอีก แล้วแรงดึงมหาศาลในช่วงรอบกลางๆ ก็จะกลับมาเยือน
ประสาทสัมผัสของคุณอีกครั้ง
แน่นอน ถ้าคุณใช้ความเร็วแถวๆ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง รอบเครื่องยนต์แถวๆ 1,900 รอบ/นาที คุณอาจจะ
ได้ความประหยัดน้ำมัน แต่ถ้าคุณอยากสนุกกับการขับขี่ ใน B200 คันนี้ คุณอาจต้องไต่ขึ้นไปขับที่ระดับ
120 – 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง และไม่ต้องห่วงว่ามันจะปลิว เพราะรถหนักพอ และมีการออกแบบด้านอากาศ
พลศาสตร์ ที่ดีพอ ส่งผลให้ อากาศ กดกับด้านหน้าของตัวรถ (Down Force) ได้ดีมากกว่าที่คิด ดังนั้นใน
ช่วงความเร็วดังกล่าว รถจะนิ่ง และขับสบาย จนคุณลืมไปเลยว่า ใช้ความเร็วเกินกฎหมายกำหนดอยู่
ระวังกล้องจับความเร็วสักหน่อยก็แล้วกัน
การเก็บเสียงในห้องโดยสาร ไม่ว่าจะใช้ความเร็วแค่ไหนอยู่ B-Class ใหม่ ก็ยังคงทำผลงานได้ดีอย่าง
น่าพอใจ ตามมาตรฐานของ ค่ายรถยนต์ตราดาว เช่นเคย กว่าที่คุณจะเริ่มได้ยินเสียงกระแสลมไหลผ่าน
ต้องรอจนกว่าจะผ่านพ้น 160 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป อย่างไรก็ตาม เสียงของยางติดรถนั้น ดังเข้ามา
ให้ได้ยินในแทบทุกช่วงย่านความเร็ว แสดงว่า การเก็บเสียงจากพื้นใต้ท้องรถ อาจต้องเพิ่มวัสดุซับเสียง
เข้าไปในบริเวณซุ้มล้อหลังอีกสักหน่อย
ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงตามความเร็วของรถ แบบ Speed-
Sensitive ด้วยกลไกกึ่งไฟฟ้า Electromechanical ที่ออกแบบใหม่ ให้ต่างจากรุ่นเดิม มอเตอร์ไฟฟ้า ของ
ระบบ Servo Assist ถูกติดตั้งเชื่อมต่อตรงเข้ากับเฟืองพวงมาลัย ในรูปแบบ Dual Pinion EPS (Electric
Power Steering) ช่วยลดขนาด ทำให้ติดตั้งได้ง่าย ในรุ่น Sport จะเลือกติดตั้งระบบ Direct Steer บริเวณ
เดียวกับระบบ EPS เพิ่มได้อีกด้วย เพื่อช่วยให้อัตราทดเฟืองพวงมาลัยไวขึ้น และส่งผ่านความแม่นยำในการบังคับ
เลี้ยวเพิ่มขึ้นกว่าปกติได้ รัศมีวงเลี้ยว ตามมาตรฐานการวัดแบบยุโรป อยู่ที่ 11 เมตร อย่าเพิ่งตกใจไปครับ วงเลี้ยว
ไม่ได้กว้างอะไรขนาดนั้น
เอาเข้าจริง วงเลี้ยว แคบมาก! ผมสามารถเลี้ยวกลับรถในซอยลาซาล ย่านบางนาได้ โดยไม่ต้องหวาดเสียว
ว่าจะพาล้อหน้าไปเฉี่ยวกับทางเท้าเลย ระยะฟรีมีในระดับเหมาะสม แต่พวงมาลัยเซ็ตมาไวมาก ให้ความ
คล่องแคล่ว ขณะขับขี่ในเมือง บังคับง่ายดาย สบาย สุภาพสตรี จะชอบพวงมาลัยแบบนี้แน่นอน แต่ใน
ย่านความเร็วสูง On-Center Feeling ก็ยังคงมั่นใจได้ดีอยู่ ถือพวงมาลัยไปนิ่งๆได้เลย แต่ถ้าคิดจะเปลี่ยน
เลนถนนแล้วละก็ ระมัดระวังนิดนึงครับ เพิ่มองศาวงเลี้ยวนิดเดียว รถก็พร้อมจะเปลี่ยนเลนไปทั้งคันเลย
นี่คือเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง เพราะโดยปกติแล้ว พวงมาลัยของรถยนต์ประเภทนี้ มักจะเซ็ตมาไม่ไวมาก
เอาใจคนขี้ตกใจที่หักพวงมาลัยหลบสารพัดสิ่งกีดขวางได้ง่ายดาย แต่รถคันนี้ พวงมาลัยไวมาก แม้ผมจะ
ชื่นชอบ เพรามันไวพอกันกับ Mazda MX-5 NC หรือ Subaru Legacy B4 2006 คันที่เราปลื้ม
แต่สำหรับคนขี้ตกใจ ขวัญอ่อนแล้ว ระวังพวงมาลัยแบบนี้ไว้หน่อยก็ดีครับ เตือนสติตัวเองตลอดเวลา
อย่าหักเลี้ยวหลบอะไรก็ตาม กระทันหันเกินไป ตั้งสติ ก่อนเลี้ยวหลบทุกครั้ง จะปลอดภัยไร้กังวลครับ
อย่างไรก็ตาม พวงมาลัยของ B-Class ใหม่ ถือเป็นพวงมาลัยที่น่าเชิดชูกยกย่อง อีกคันหนึ่ง ของค่าย
รถยนต์ตราดาว ตามติดต่อเนื่องจากพวงมาลัยของ C-Class Coupe ใหม่ แถมตาแพน Commander
CHENG! ของเรา ยังชอบน้ำหนักพวงมาลัยในย่านความเร็วต่ำ ของ B-Class มากกว่า C-Class Coupe
นิดนึงด้วยซ้ำ! (แต่สำหรับผม พวงมาลัย C-Class Coupe ยังคงเป็นที่ 1 ในบรรดาพวงมาลัยของค่าย
รถยนต์ตราดาว ยุคนี้ อยู่ดี)
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบสตรัต พร้อมปีกนก สปริง และช็อกอัพ Gas แบบ Double Tube ส่วน
ด้านหลังเป็นแบบ ปีกนก พร้อมแขนยึดแบบ Cntrol Arms สปริง และช็อกอัพ แบบ Single Tube แม้จะมี
ช็อกอัพ และสปริง ในแบบ Sport Suspension ให้เลือกในเมืองนอก แต่สำหรับเมืองไทย B200 BE จะถูก
เซ็ตช่วงล่างมาเป็นแบบ Comfort คือเน้นนุ่มขับสบายๆ มากกว่าจะเน้นความดิบโหดเถื่อน อันผิดไปจาก
แนวทางของตัวรถ
ดังนั้น ในการขับขี่บนพื้นถนนในเมือง หรือแม้แต่เดินทางบนทางด่วน คุณจะพบว่า การทำงานของทั้ง
ช้อกอัพคู่หน้าและหลัง สัมพันธ์กันลงตัว คือมาในแนว นุ่มแน่นหนึบ สบาย ไว้ใจได้ มั่นใจในขณะเกาะ
เข้าโค้ง บนทางด่วน ช่วงจาก ดินแดง วกขวากลับไปที่หน้าโรงแรม Mariot ผมใส่เข้าโค้งเข้าไปจนสุดถึง
Limit ของรถ ได้ที่ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงพอดี ถ้าเกินกว่านี้ มีโอกาสสูงที่บั้นท้ายอาจจะปัดออก
ทางด้านข้าง มากกว่า เพราะหน้ารถจิกอยู่ในโค้งได้อย่างดีเยี่ยม เรื่องแปลก ก็คือ B-Class เป็นรถยนต์
Minivan 5 ที่นั่ง แต่กลับให้ความมั่นใจในขณะเข้าโค้งสูงมาก อยากจะบอกว่า แทบไม่แพ้ VW Golf GTi
เลยด้วยซ้ำ (แน่นอนละว่า GTi ดีกว่า ตัวรถเอียงน้อยกว่า แต่ B-Class เกาะแน่นหนึบอยู่ในโค้ง ได้อย่าง
แทบไม่น่าเชื่อ)
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณจะพบความตึงตังส่งขึ้นมาจากพ้นถนนบ้าง โทษได้เลยครับว่าเป็นที่ ยาง Bridgestone
ขนาด พร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ลาย 5 ก้าน ซึ่งส่งสารพัดแรงสะเทือนขึ้นมาที่ตัวรถทั้งคัน จนทำให้
ผมรู้เลยว่า หลุมบ่อที่ขับผ่านอยู่ มีขนาดปากหลุมกี่เซ็นติเมตร ลึกกี่เมตร ก็ว่ากันไป
ระบบห้ามล้อเป็นแบบ ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ คู่หน้า มีรูระบายความร้อนมาให้ตามธรรมเนียม พร้อมสัญลักษณ์
Mercedes-Benz บน คาลิปเปอร์คู่หน้ามาให้ (แอบเก๋นะเนี่ย) แต่เสริมด้วยระบบตัวช่วยด้านความปลอดภัย
ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ ESP (Electronic Stability Program )
ที่รวมระบบ ป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกระทันหัน ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบช่วยเบรก BAS
(Brake Sssist) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Accerelation Skid Control) เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมระบบเตือน
ผ้าเบรกใกล้หมด ขึ้นบนจอ MID ของมาตรวัด ระบบเตือนความดันลมยาง Tyre Pressures Loss Warning
System) ระบบช่วยออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน Hill Start Assist ค้างเบรกไว้ให้ 2 วินาที เพื่อให้ออกตัว
บนทางลาดชันได้สะดวกขึ้น และถ้าเหยียบเบรกกระทันหัน ไฟเบรกฉุกเฉิน Adaptive Brake Light จะติด
สว่างกระพริบขึ้นมา เพื่อเตือนให้่รถคันข้างหลัง ระมัดระวัง และหาทางหนีทีไล่ให้ดี
นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งระบบ PRE-SAFE มาให้เช่นเดียวกับ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ คันอื่นๆ ซึ่งหลักการ
ทำงานก็คือ เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์คับขัน ทันทีที่เซ็นเซอร์ของระบบช่วยเบรก BAS (Brake Assist) รับรู้ว่า มี
การเหยียบเบรกกระทันหัน หรือเมื่อระบบควบคุมเสถียรภาพ ลดการลื่นไถลทั้งในโค้ง ขณะออกตัว หรือเมื่อ
อยู่บนพื้นลื่น ESP ตรวจจับได้ว่ารถเริ่มสูญเสียการทรงตัว การทำงานของระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุต่างๆ
จะเริ่มขึ้นในเวลาเพียงเสี้ยววินาที
ขั้นแรกเข็มขัดนิรภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า แบบ Pretensioner & Load Limiter ผ่อนแรง และรั้งกลับ
อัตโนมัติ จะปรับตัวกระชับเข้ากับร่างกาย ผู้ขับขี่ ขณะเดียวกัน พนักพิงเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า จะถูกปรับให้
ตั้งตรงขึ้น ซันรูฟและกระจกหน้าต่างทุกบานจะเลื่อนปิดเองทันทีโดยอัตโนมัติอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกัน การหลุด
กระเด็นของผู้ขับขี่และผู้โดยสารออกไปนอกตัวรถ และพนักศีรษะของเบาะคู่หน้า Head Resistant จะเตรียมพร้อม
รองรับศีรษะของผู้ขับขี่กับผู้โดยสารตอนหน้า ทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันภายในเสี้ยววินาที
หากรถหยุดนิ่งสนิท ไฟฉุกเฉิน Hazzard Light ในชุดไฟเลี้ยวทั้ง 2 ฝั่ง จะติดขั้นเองโดยอัตโนมัติ เพื่อเตือนให้
รถคันข้างหลังที่ขับตามมา รู้ว่า คุณเพิ่งจะหยุดกระทันหัน ให้หักหลบ ไปก่อน อย่ามาชนตูดฉันต่อเลยนะ!
แต่ถ้าระบบเบรก ช่วยเหลือคุณไม่ทันละ? ไม่ต้องห่วง ยังมีโครงสร้างตัวถังนิรภัย ที่แข็งแรงปลอดภัย
ตามมาตรฐานของค่ายรถยนต์ตราดาวกันอยู่แล้วเช่นเคย B-Class ใหม่ ใช้เหล็กทั้งเกรด High-Tensile
และ Ultra High Tensile รวมกันแล้ว ประมาณ 67% ของโครงสร้างโลหะทั้งคันรถ นอกจากนี้ ยังมี
การออกแบบให้ คานโครงสร้างด้านหน้า มีระยะยุบตัว ยาว 435 มิลลิเมตร และถูกคำนวนมาอย่างดี
เพื่อให้การกระจายแรงปะทะ ไปยังโครงสร้างเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar และโครงสร้างด้านข้างตัวรถ
ก่อนกระจายไปยังพื้นที่ส่วนอื่นๆของตัวรถนั้น เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การ
นำอลูมีเนียม น้ำหนักเบา มาใช้ออกแบบชิ้นส่วนต่างๆ เช่นจุดยึดหม้อน้ำ ซึ่งต้องยุบตัวไปตามที่ได้
ออกแบบไว้ และต้องมีการลดแรงปะทะจากพื้นที่ส่วนหน้าของรถมาแล้วในระดับหนึ่ง เมื่อเกิดการชน
ด้วยการออกแบบโครงสร้างตัวถังดังกล่าว ทำให้ B-Class ใหม่ ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชนตามมาตรฐาน
ของโปรแกรม Euro NCAP โดยหน่วยงานด้านความปลอดภัยของรถยนต์ในสหภาพยุโรป ที่ระดับสูงสุด คือ
5 ดาว ประกอบด้วยการปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารผู้ใหญ่ ได้คะแนนสูงถึง 97% การปกป้องผู้โดยสารกลุ่ม
เด็ก บนเบาะนิรภัย ทำได้ 81% ปกป้องคนเดินถนนได้ 56% และ คะแนนการทำงานของระบบตัวช่วยด้าน
ความปลอดภัยจากในรถ 86% ประกาศผลเมื่อวันที่ 24 พฤษจิกายน 2011 ที่ผ่านมา รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก
เข้าไปอ่านได้ที่นี่ www.euroncap.com/results/mercedes_benz/b_class.aspx
********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********
ถึงแม้จะเป็นรถยนต์รุ่นแปลก ที่ไม่ค่อยมีใครถามไถ่ แต่ส่วนตัวผมใคร่อยากรู้ว่า Mercedes-Benz ขับล้อหน้า
รุ่นใหม่ๆ จะทำตัวเลขความประหยัดน้ำมันได้ดีขนาดไหน ดังนั้น เราก็เลยต้องยอมนอนดึกกันอีก 1 คืน เพื่อ
มาทำการทดลองให้คุณๆได้รับทราบกัน
เราเติมน้ำมันเบนซิน Techron 95 กันที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ถนนพหลโยธิน ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS
อารีย์ กันที่ปั้มเดิม หัวจ่ายเดิม และเด็กปั้ม ก็เป็นคนเดิม เติมให้เต็มถังน้ำมันความจุ 50 ลิตร แต่ในเมื่อรถรุ่นนี้
มีราคาเกิน 2 ล้านบาท และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ไม่ใช่คำถามหลักสำหรับใครที่คิดจะซื้อรถรุ่นนี้ ดังนั้นเรา
จึงตัดสินใจ ทำการทดลอง แบบ ปกติ คือเติมน้ำมัน เอาแค่หัวจ่ายตัดก็พอ “ไม่เขย่ารถ”
เติมน้ำมันเสร็จปั๊บ คาดเข็มขัดนิรภัย เซ็ต 0 บน Trip Meter เพื่อวัดระยะทาง จากมาตรวัด ติดเครื่องยนต์ แล้ว
เปิดแอร์ ตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 25 องศาเซลเซียส พัดลมเบอร์ต่ำสุด แล้วออกรถ ไปเลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน
หน้าปากซอยอารีสัมพันธ์ ไปเลี้่ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ แล้วลัดเลาะไปออกปากซอยโรงเรียนเรวดี เลี้ยวซ้ายไป
ตามถนนพระราม 6 ก่อนจะเลี้ยวขวาขึ้นทางด่วน มุ่งหน้าไปยังปลายทาง ด่านบางปะอิน ก่อนจะเลี้ยวกลับ
ขับย้อนมาขึ้นทางด่วนเส้นเดิม ฝั่งตรงข้าม กลับเข้ากรุงเทพฯ ด้วยมาตรฐานเดียวกันกับรถยนต์ทุกคันที่เรา
ทำรีวิว นั่นคือ “วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน”
ถึงทางลงอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพหลโยธิน มาเลี้ยวกลับรถที่หน้าโชว์รูมเบนซ์ ราชครู
เลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron อีกครั้ง ด้วยวิธีเดียวกันคือ
เติมแค่ หัวจ่ายตัดก็พอ
ได้เวลามาดูตัวเลขกันแล้วละครับ
ระยะทางที่แล่นมาทั้งหมด บนมาตรวัด Trip Meter 93.0 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 5.70 ลิตร
หารแล้ว ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 16.31 กิโลเมตร/ลิตร
เฮ้ยยย! มันประหยัดได้ขนาดนี้เลยเหรอ! นี่มันประหยัดเท่ากับรถยนต์ B-Segment Sub-Compact จำพวก
Ford Fiesta 1.6 ลิตร กันเลยนะ! ตัวเลขที่ออกมา นี่ สวยหรู น้องๆ บรรดา ECO Car 1.2 ลิตร เลยเถอะ!
บ้าไปแล้ว! Mercedes-Benz เครื่องเบนซิน แล้วทำได้ 16.31 กิโลเมตร/ลิตร! โว้วว!
แหงะละ ตัวช่วยทั้งหลาย ได้แก่ การออกแบบให้ตัวรถมีแรงเสียดทานอากาศต่ำมากๆ เครื่องยนต์ ก็มีการ
ปรับปรุงให้มีแรงเสียดทานในระบบต่ำลง เกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch กลับนำพาให้รถที่มีน้ำหนักตัวเปล่า
มากถึง 1,425 กิโลกรัม ทำตัวเลขออกมาได้ “สวยงามอร่ามหรูชมพู่ อารียา” ขนาดนี้ แถมในการขับขี่จริง
รวมทั้งการทำตัวเลขอัตราเร่งต่างๆ และการขับใช้งานในช่วง 3 วัน 2 คืน 370.6 กิโลเมตร ถังน้ำมัน 50 ลิตร
ก็ยังเหลือเชื้อเพลิงในถังอยู่อีกถึง 1 ใน 3 หมายความว่า ยังสามารถแล่นต่อไปได้อีกราวๆ 120 กิโลเมตร
แบบเนียนๆ โดยประมาณ เท่ากับว่า น้ำมันหนึ่งถัง น่าจะทำระยะทางได้ 500 กิโลเมตร สบายๆ อาจเกิน
มาได้อีกนิดนึง ไม่น่าจะมากเกิน 520 กิโลเมตร
********** สรุป **********
แปลกประหลาดเกือบทั้งคัน แต่ขับดีขนาดนี้ แล้วจะซื้อ C-Class กันไปทำไม?
“จิมมี่รู้ป่าว พี่ยังไม่ได้ขับเลย จิมมี่ได้ขับแล้วนะเนี่ย”
พี่ต้อม คมกฤช นงสวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด และสื่อสารองค์กรของ Mercedes-Benz Thailand
ที่เจอกันโดยบังเอิญ บอกกับผมมาแบบนี้ ระหว่างคืนรถ กับพี่ฝน PR คุณแม่ยังสาว บนพื้นที่จอดรถ
ของอาคารรัจนากร นิวาสถาน บ้านทรายทอง ของสำนักงานใหญ่ Mercedes-Benz Thailand ตั้งอยู่
แล้วพี่ต้อมอยากรู้ไหมละครับว่า Feedback ของผม กับรถคันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
ก่อนอื่น ผมละอยากจะขอบคุณพี่ป้อม จริงๆ ที่ส่ง รถคันสีแดงแปร๊ด คันนี้มาให้ลองขับกัน
เพราะนี่คือรถอีกคันที่ เปลี่ยนความคิดผมที่มีต่อ ตัวของมันเองไปเลย อย่างคาดไม่ถึงมาก่อน
ความใส่ใจในการพัฒนาให้ตัวรถ มีแรงเสียดทานน้อยลง มีเครื่องยนต์ ขนาดเล็ก ที่ทรงพลังขึ้นตาม
แนวทาง Down – Sizing ที่หลายค่ายรถยนต์ เริ่มทำกันมาตั้งแต่ 4 ปีก่อนหน้านี้ เริ่มเห็นผลแล้ว เพราะ
B200 Blue EFFICIENCY ให้สมรรถนะที่ดีเกินกว่าคาดคิดไว้เลยทีเดียว
การเซ็ตช่วงล่างที่นุ่มสบายกำลังดี สำหรับกลุ่มเป้าหมายทั่วไป (แม้จะมีอาการสะเทือนจากยางมากไป
จนหลอกความรู้สึกของหลายคนว่า ช่วงล่างแข็ง ทั้งที่จริงๆแล้ว ช่วงล่าง นุ่มกำลังดีแล้ว) พวงมาลัยที่มี
ระยะฟรีกำลังดี เอาใจคนชอบขับรถอย่างผมมากๆ (แต่ตอบสนองไวไปหน่อยสำหรับรถประเภทนี้)
รวมทั้งการทำงานของระบบเบรก ที่นุ่มนวล มั่นคง (หากไม่กระทืบหนักๆจากความเร็วสูงเกินเหตุ)
ไว้ใจได้ รวมทั้งเครื่องยนต์ ที่ให้อัตราเร่ง ดีในช่วงรอบกลางๆ 3,000 – 5,000 รอบ/นาที (แต่ด้อยไป
ในช่วงออกตัว และช่วงปลาย เป็นธรรมดา) กับความประหยัดที่เหนือความคาดหมาย
ทั้งหมดนี้ ทำให้ B-Class ใหม่ B200 BE กลายเป็น รถขนผ้าอ้อม แปะยี่ห้อตราดาว ออกแบบประหลาด
ต่างไปจาก รถตราดาวคันอื่นๆ ในหลายๆ ประเด็น ที่สามารถพาผมเข้าโค้งบนทางด่วน ในบางโค้ง ได้
ด้วยความเร็ว “ในโค้ง” ที่ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ! พาผมเดินทางไกล ด้วยอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงระดับ
16.31 กิโลเมตร/ลิตร อัตราเร่งของตัวเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร Turbo ลูกเล็กๆ ที่ออกแบบเพื่อสร้างแรงดึงใน
ช่วง Mid-Range ให้ขับทางไกลได้สนุกขึ้น กลับทำตัวเลขออกมาได้ดีเท่ากับ เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร NA
พร้อมเกียร์อัตโนมัติ ปกติเสียด้วยซ้ำ! แถมยังทำท็อปสปีดได้ 225 กิโลเมตร/ชั่วโมง นิ่งๆ ไม่หวาดเสียว
มากอย่างที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ (แต่กว่าจะถึงตัวเลขระดับนั้นได้ ลุ้นกันหืดจับ หลัง 208 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ที่เกียร์ 5 ไป ก็หมดเรี่ยวเหี่ยวแรงเสียแล้ว)
และที่สำคัญ รถ Benz นำเข้ารุ่นใหม่ อะไรกันวะเนี่ย ราคา 2,499,000 บาท? นี่คือราคาที่จ่ายภาษี
ให้ประเทศชาติ เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว เพราะทุกขั้นตอน มีการแจ้งราคาสำแดงจริง ไม่บิดเบือน
ไม่บิดพริ้ว (ลองบิดดูสิ ฝ่ายบัญชี และ Auditor จากเมืองนอก เฉ่งยับไล่บี้จนไล่ออกยกแผงกันพอดี
วัฒนธรรม เรื่องความซื่อสัตย์ และมีจริยธรรมกับความถูกต้อง โปร่งใส คิอเรื่องที่บริษัทนี้รณรงค์ใน
องค์กร พร้อมกันทั่วโลกอยู่ตอนนี้ อย่างเข้มข้นจริงๆ เห็นโปสเตอร์ แปะข้างฝาหน้าประตูลิฟต์แล้ว
สยองแทนคนที่คิดไม่ซื่อเลยจริงๆ! เพราะถ้า”สมมติ” CEO เกิดทำผิด เบิกค่าทางด่วนเกินมาจากที่
ได้แจ้งเรื่องไว้ นิดเดียว ก็จะโดนเด้งกลับ แถมโดน Auditor เมืองนอก เช็คสอบทานพร้อมสวดยับ
พอกับพนักงานธรรมดา ทั่วไปเลยนั่นแหละ!)
จริงอยู่ B-Class ยังไม่ถึงขั้นทำให้ผม ตกหลุมรักจนไม่อยากคืนกุญแจ แต่อย่างใด กระนั้น มันให้
ความบันเทิงใจในการขับขี่ได้ดีกว่าที่คุณจะจินตนาการได้ จากรูปร่างของมัน ไม่น้อยเลยทีเดียว!
นั่นคือข้อดีทั้งหมดของตัวรถ แล้วสิ่งที่อยากเห็นการปรับปรุงเพิ่มเติมละ?
ข้อแรก ฝากบอกวิศวกรชาวเยอรมันด้วยนะครับว่า ช่วยเอาคันเกียร์อัตโนมัติแบบปกติ ย้ายกลับมาอยู่ใน
ตำแหน่งเดิมด้วยเถอะ ตราบใดที่คุณไม่คิดจะทำ B-Class S-Class หรือ CL-Class ให้มีพื้นที่ตรงกลาง
ระหว่าง เบาะคู่หน้า ให้สามารถเดินทะลุถึงกันได้แบบ Walk Through เหมือนรถ Minivan ในญี่ปุ่นแล้ว
คุณก็ไม่จำเป็นต้องโชว์ศักยภาพในการออกแบบ ด้วยการลดขนาดของคันเกียร์ให้เล็กลงเหลือเพียงแค่
ก้านสวิชต์ เปลี่ยนเกียร์ แล้วย้ายมันไปอยู่ในตำแหน่งเดียวกับ ก้านไฟเลี้ยว สำหรับรถพวงมาลัยขวา
หรอกครับ มันใช้งานยาก ก่อความสับสน และอาจก่ออุบัติเหตุได้ สำหรับคนที่ไม่คุ้นชิน (ผมโดน
มาแล้ว)
ข้อต่อมา ขนาดของเบาะรองนั่งด้านหลัง ช่วยเพิ่มให้มันยาวกว่านี้อีกสักนิดเถิด มันสั้นไป ผู้ใหญ่
นั่งทางไกลไม่สบายช่วงขาเท่าที่ควร ต่อให้บอกว่า เน้นให้เด็กนั่ง แต่ การออกแบบรถยนต์ที่ดีนั้น
ควรจะรองรับความต้องการของผู้คนได้หลากหลายสรีระร่าง มิใช่หรือ? อย่าลืมเรื่อง Universal
Design กันสิครับ
การเก็บเสียงยางจากพื้นถนน บริเวณด้านหลัง อาจต้องเพิ่มวัสดุซับเสียงมากขึ้นอีก 1 ชั้น เพื่อช่วย
ลดเสียงเล็ดรอดเข้ามายังห้องโดยสาร แต่พอเข้าใจได้ว่า ถ้าจะเน้นความนุ่มเงียบ คงต้องเสียเรื่อง
การยึดเกาะถนนอันดีไปบ้าง ซึ่งก็ไม่ควรเป็นเช่นนั้นเท่าใดนัก ไม่เช่นนั้น อาจต้องหันไปหายาง
Continental ตระกูล Premium Contact หรือ Sport Contact กันไปเลย
เพราะ Bridgestone ทารันตุรา เอ้ย! Turanza T001 นี้ ไม่ได้เงียบเลย ดังกระหึ่ม สะเทือน
เลื่อนลั่น สนั่นโลกมากๆ แถมยังทำให้การเก็บแรงสะเทือนจากพื้นถนนช่วงความเร็วต่ำ ยังทำได้
ไม่ดีเท่าที่ควรอีกด้วย
อัตราเร่งในช่วงรอบปลายนั้น ยังไม่สำคัญเท่าไหร่ มันจะเหี่ยวแบบนี้ต่อไป ผมไม่ว่า แต่ในช่วง
ออกตัวนั้น อยากให้ Turbo ช่วยเพิ่มความเร็วในการบูสต์ อีกสักหน่อย ให้เริ่มมาถึงแถวๆระดับ
1,500 รอบ/นาที แล้วค่อยพบแรงดึงมากขึ้นในช่วง 2,000 ต่อเนืองไปจนถึง 4,500 รอบ/นาที
ได้จะดีกว่า เพราะนั่นจะยิ่งทำให้ B-Class เร้าใจในการพุ่งทะยานออกไปยิ่งกว่านี้ได้อีก
พวงมาลัย แม้จะเซ็ตมาในแบบที่ผมชอบ แต่คนส่วนใหญ่ อาจคิดว่า มันตอบสนองไวเกินไป
ถ้าหักเลี้ยวกระทันหัน มีหวังต้องพึ่งพาระบบ PRE-SAFE ช่วยกันโดยไม่จำเป็น ถ้าลดความไว
ลงมาอีกเพียงนิดเดียว พวงมาลัยจะลงตัวกำลังดีมากๆ ยิ่งกว่านี้ได้อีก
ท้ายสุด คือเรื่องของงออพชัน สำหรับประเทศไทย เครื่องปรับอากาศแบบแยกฝั่งซ้าย – ขวา ควรจะ
มีมาให้ได้แล้วในรถระดับราคานี้ แถมด้วยระบบนำทาง Navigation System พร้อมระบบควบคุม
COMMAND ONLINE เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ควรมีติดตั้งมาให้่ หรือเป็นออพชันสำหรับลูกค้า
จะเลือกได้แล้ว
แล้ว ใครกันละที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และคู่แข่งของ B-Class ในเมืองไทย?
แน่นอน ลูกค้ากลุ่มนี้ ส่วนใหญ่แล้ว เกือบทั้งหมด จะไม่มองรถยี่ห้ออื่นเลย นอกจากค่ายตราดาวเท่านั้น!
และแน่นอน ไม่ใช่สาวโสด สมาชิกสมาคมคานทองและผองเพื่อน เป็นแน่แท้ รถยนต์ 5 ประตู หน้าตาแบบนี้
เขาทำออกมาขายลูกค้ากลุ่ม Young(ster) Family ครอบครัวรุ่นใหม่ มีพ่อบ้านหรือแม่บ้าน เจ้าของกิจการ
ขนาดเล็ก SME ชี้ช่องจนเริ่มรวย อยากซื้อ Mercedes-Benz สักคัน ให้ชีวิต ชนิดมุ่งหน้าเดินแน่วแน่เข้า
โชว์รูมผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่แอบคิดไปว่า C-Class ดูเป็น รถเก๋งสไตล์ อนุรักษ์นิยมมากไปหน่อย
ไม่เข้าคู่กับรสนิยมสุด Modern ของตน ที่ต้อง Look Chic ไว้ก่อน แม้จะแต่งงาน ท้องป่อง ลูก 2 แล้วก็เถอะ!
B-Class เป็นตัวเลือกที่ดีของคนกลุ่มที่มีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่เหมือนใคร แต่บิดามารดา บุพการี
ฐานะดี นามสกุลใหญ่โต ยังอยากให้ซื้อรถ Benz มาใช้ มากกว่ารถยี่ห้ออื่นใดในสากลโลกนี้ มันจึงเป็น
รถที่เหมาะสำหรับการ “พบกันครึ่งทาง” ระหว่าง คุณลูกหัวสมัยใหม่ และผู้ใหญ่หัวสมัยเก่า ได้อย่าง
เกือบจะลงตัว (ขึ้นอยู่กับว่า ใครเป็นคนออกเงิน หรือใครจะเสียงดังกว่ากัน ระหว่างคุณลูก หรือคุณพ่อ)
ที่สำคัญ คือ ถึงจะเป็นพ่อบ้านแม่บ้าน มีครอบครัวของตัวเองแล้ว แต่ก็ยังชอบความสนุกในการขับขี่แบบ
พอประมาณ คือไม่ใช่กลุ่มคนบ้ารถมาก จนต้องมานั่งถกเถียงกันว่า รถยนต์ ควรจะขับเคลื่อนด้วยล้อไหน
ดีกว่ากัน ระหว่างล้อหน้าหรือล้อหลัง ชอบรถขับสนุก แต่ไม่ต้องถังกับออกตัวดังเอี๊ยดล้อฟรีทิ้งทุกสี่แยก
ไฟแดง (แม้ว่า B200 คันนี้ จะทำได้ก็เถอะ!)
เพราะในกลุ่มนี้ มองไปมองมา ผมหาคู่แข่งเป็นตัวเปรียบเทียบ สูสี ได้เพียงแค่ คันเดียว นั่นคือ BMW X1
ซึ่งในบ้านเรา ก็มาพร้อมเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เบนซิน ไม่มีระบบอัดอากาศใดๆ ราคา 2,149,000 บาท แม้จะ
ถูกกว่า แต่ห้องโดยสารก็เล็กกว่า เป็นรถยนต์คนละรูปแบบ (X1 เป็น Premium Compact SUV แต่ B-Class
เป็นรถยนตแบบ Premium 5-Seater Minivan) แถมลูกค้าที่ซื้อไปใช้ (หลังจากรอคิวนานตั้งแต่ชาติปางก่อน)
เริ่มบ่นว่า อัตราเร่ง อืดไปหน่อย ต้องเหยียบมากขึ้น จนกินน้ำมันเพิ่มขึ้น ขณะที่ B-Class ไม่ต้องเหยียบ
มาก ไม่ต้องเปลืองแรง แค่ครึ่งคันเร่ง ก็พุ่งแล้ว (ฟังดูคล้ายสโลแกน น้ำยาซักผ้า แค่ครึ่งฝา ผ้าก็สะอาดแล้ว)
ส่วน Volvo V60 ก็มาในแนวทาง Premium Sport Compact Station Wagon ไปเลย คนละแนวทางกัน
ขับสนุกใกล้เคียงกัน แต่สมรรถนะก็จะด้อยกว่ากันนิดเดียว ในแต่ละด้าน แถมห้องโดยสาร ไม่โปร่ง
สบายเท่า แต่ได้เบาะนั่งที่ดีกว่า และเชื่อได้เลยว่า ผุ้โดยสารเกือบทุกคน จะไม่บ่นกับเบาะนั่งของ Volvo
หรือจะมอง Skoda Superb Combi 2.2 ล้าน ได้รถยนต์ตรวจการ ที่ใหญ่พอกับ E-Class T-Model หรือ
5-Series Touring แน่นอน มันใหญ่กว่า B-Class นั่งสบายกว่า แต่การขับขี่ในเมือง ก็จะพอกันกับ
รถใหญ่ทั่วไป คือคล่องตัวในระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับมากมายเท่ารถเล็กอย่าง B-Class
ขณะที่ VW Golf GTi และ Scirocco มีระดับราคาพอกันเลย ก็คงต้องขึ้นอยู่กับว่า คุณอยากได้รถครอบครัว
ขับพอสนุก หรือรถเก๋งบ้านๆ ภาพลักษณ์ออกแนวดิบกว่าชัดเจน และขับสนุกกว่า แต่อาจจะมีศูนย์บริการที่น่า
เป็นห่วงกว่า
ส่วนคู่แข่งรายอื่น ถ้ามองในแง่ระดับราคาแล้ว…จะแข่งกับใครไปไม่ได้ นอกจาก C-Class ประกอบใน
ประเทศไทย พี่ชายร่วมค่ายด้วยกันเองนี่แหละ
ถ้าเช่นนั้น คำถามสุดท้ายก็คือ…แล้วถ้าจะต้องเลือกระหว่าง B-Class กับ C-Class คุณควรเลือกคันไหน?
คำตอบ อยู่ที่ความต้องการ และรูปแบบการใช้งานเป็นหลัก ถ้าคุณอยากได้รถเก๋ง บอกให้ผู้คนรู้ว่า คุณ
เริ่มมีเงินบ้างแล้วนะ อยากหาเครื่องประดับสถานะเกียรติยศให้กับชีวิตกับเขาบ้างสักคัน หรือใจคุณ
ยังชอบรถยนต Sedan มากกว่า เดินไปหา C-Class เลยครับ B-Class ไม่ใช่รถสำหรับคุณแน่ๆ
แต่ถ้าคุณเป็นคนเปิดกว้าง และอยากได้ รถ Benz ที่แปลกใหม่ไปจากรุปแบบที่คุ้นเคยกัน หรือที่บ้านมี
Mercedes-Benz อยู่แล้ว 1 – 2 คัน แต่อยากหารถใหม่ สำหรับขับในเมือง ประหยัดๆ พื้นที่ห้องโดยสาร
ใหญ่ๆ นั่งสบายๆ หลังคาโปร่งๆ ไว้ขับไปทำงาน หรือรับ – ส่งลูกเข้าโรงเรียน วิ่งออกต่างจังหวัดไปเที่ยว
ริมทะเล B-class คือตัวเลือกที่คุณควรจะมองไว้
ออพชันเป็นเรื่องรองลงมา ถ้าคุณจะเลือก C-Class ก็ต้องทำใจว่า ออพชันที่คุณได้ในรุ่นถูก เมื่อเทียบกับ
ราคาพอกันแล้ว B-Class จะคุ้มราคากว่า เพราะถ้าต้องการออพชันเยอะกว่านี้ คุณคงต้องมองไปที่ C-Class
รุ่นสูงกว่า 2.8 ล้านบาท ขึ้นไป ที่สำคัญ พื้นที่ของห้องโดยสาร จะเล็ก นั่งแล้วไม่สบายเท่า B-class แน่ๆ
เนื่องจากตัวรถ ออกแบบมาตอบโจทย์ลูกค้าที่มีวัตถุประสงค์ในการซื้อรถ และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน
แต่ถ้าเลือก B-Class คุณต้องทำใจว่า คุณอาจจะไม่ได้รถขับเคลื่อนล้อหลังแท้ๆ แบบ Mercedes-Benz
ที่คุณคุ้นเคย ซึ่งผมว่า นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย เพราะ B-Class ขับสนุก และพาคุณพุ่งโผนได้อย่าง
สนุกไม่เบา แถมเผลอๆ ยังจะมั่นใจกว่า C-Class นิดๆ ด้วยซ้ำเถอะ! แถมออพชันก็ถือว่า ไม่ถึงกับครบ
แต่ก็ไม่เลวร้ายเลย มันเพียงพอต่อการใช้งานในประเทศไทยแล้วด้วยซ้ำ ติแค่ว่า น่าจะติดตั้งระบบ
นำทาง Navigation System พร้อมระบบ COMMAND ONLINE มาให้ B-Class ได้แล้ว ก็ยังจะอุตส่าห์
แถมระบบ COMMAND รุ่นดั้งเดิม มาให้ทำไมก็ไม่รุ้?
แต่ทั้งหลายทั้งปวงแล้ว B-Class คืออีกตัวอย่างหนึ่ง ที่พิสูจน์ให้พวกเราได้เห็นกันแล้วว่า บางครั้ง
การตัดสินรถยนต์สักคัน จากเพียงแว่บแรก ที่เห็นหน้าตาของมัน อาจทำให้คุณ พลาดอะไรดีๆ
ที่อาจเข้ามาในชีวิตได้ ง่ายๆเลยทีเดียว
ดังนั้น…
อย่าตัดสินรถ จากแค่เพียงเห็นหน้าตาของมัน แต่จงเปิดประตูแล้วลองขับออกไปดูกันเลยดีกว่า!
เพราะ…รถขนผ้าอ้อม ขับสนุกใช้ได้เลย ขนาดนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ ในตลาดนะครับ!
———————-///———————–
ขอขอบคุณ
บริษัท Mercedes-Benz Thailand จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย เป็นผลงานของผู้เขียน
ยกเว้น ภาพถ่ายจากต่างประเทศ และภาพวาด เป็นลิขสิทธิ์ของ Daimler AG เยอรมัน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
29 กรกฎาคม 2012
Copyright (c) 2012 Text and Pictures Except some studio shot & Illustration
from Daimler AG.Use of such content either in part or in whole without permission
is prohibited.First publish in www.Headlightmag.com
July 29th,2012
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! Click Here!