เมื่อปีที่แล้ว บทความ Full Review รถยนต์ Proton ใน Headlightmag.com
ออกเผยแพร่สู่สายตาสาารณชน เป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้ง Website กันมา
หลายคนต่างพากันตกตะลึงในสมรรถนะ จากอัตราเร่ง ช่วงล่างที่นิ่งมากพอ จนทำให้
การขับขี่ที่ความเร็วสูงสุดบนมาตรวัด 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง นิ่งชนิดที่ว่า รถญี่ปุ่น
หลายคันยังสู้ไม่ได้ หลายคนถึงขั้นพากันยกให้มันเป็นเซอร์ไพรส์จากแดนเสือเหลือง
เลยทีเดียว
แน่ละครับ จากวิสัยทัศน์ “รถยนต์แห่งชาติมาเลเซีย” ของ ดร.มหาเธร์ มูฮัมหมัด เมื่อ
ปี 1986 พวกเขาเริ่มต้นจากการนำ Mitsubishi Lancer Champ มาดัดแปลงใหม่
เป็น Proton Saga มาวันนี้ 28 ปี ของ Proton พวกเขาเดินทางมาได้ไกลกว่าที่ใคร
จะคาดคิด
แม้จะล้มลุกคลุกคลาน และยังต้องมองหาพันธมิตร มาช่วยเสริมกำลังทัพและกำลังทรัพย์
แต่ตอนนี้ Proton บริษัทรถยนต์แห่งชาติมาเลเซีย ในเครือของกลุ่ม DRB-HICOM
ก็ยังคงเดินหน้าผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ออกขายให้ชาวโลกได้ คอยเฝ้าดูการเติบโตของ
พวกเขากันอยู่เรื่ยยๆ ราวๆ ปีละ 1 รุ่น โดยเฉลี่ย
วันนี้ ผลผลิตรุ่นใหม่ ของพวกเขา มาอยู่ในมือผมแล้วละ
สารภาพตามตรง ผมไม่คิดมาก่อน ว่าจะได้ลองขับ Preve ตัวถัง Hatchback
5 ประตู ในชื่อ Suprema S คันนี้ แม้จะเห็นหน้าค่าตามาก่อนแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่
ไปเดินเล่นในงาน Motor Expo 2013 เพราะร้อยู่เต็มอกว่า มันก็คือ Preve
ในตัวถัง Hatchback นั่นเอง
ถึงกระนั้น ก็ยังมีคุณผู้อ่านถามไถ่มาประราย ว่าอยากเห็นผมลองขับรถคันนี้
ล่าสุด ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีกระทู้หนึ่ง ตั้งถามใน Webboard ของเรา
ว่าอยากให้ผมลองขับรถคันนี้ ผมได้แต่ตอบไปว่า ผมไม่รู้จะติดต่อกับใครใน
Proton Thailand กันดี เพราะ น้องที่ช่วยประสานงานให้ ได้ลาออกไปแล้ว
เขียนตอบไปแค่นี้แหละครับ จู่ๆ ไม่กี่วันถัดมา ผมได้รับอีเมล์ จากคุณนก
เจ้าหน้าที่ของ Proton Thailand บอกมาว่า ขอเรียนเชิญมาทดลองขับรถคันนี้
โอ้! มากันอย่างนี้เลย…ได้ครับ ถ้าส่งอีเมล์มาขนาดนี้ ก็ยินดีละครับ
ยินดีที่จะได้กลับมาสัมผัสประสบการณ์จากอัตราเร่งในแบบเดียวกันกับ Preve
และยังได้แบ่งปันประสบการณ์นี้ ให้กับตาแพน Commander CHENG ของเรา
ได้ลองขับด้วย เพราะก่อนหน้านี้ เคยบอกกับเจ้าตัวไว้ว่า อาจยิม Preve มาถ่าย
ทำคลิป Heacdlightmag The Clip กัน
เพียงแต่…ผมก็ไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้าว่า นอกเหนือจากอัตราเร่ง ที่น่าชื่นชม
ผมยังต้องมาพบเจอด้านตรงข้ามของ Suprema S ที่แอบชวนให้หวนกลับไป
คิดถึง พี่ชายอย่าง Preve อยู่บ้างในบางประเด็น
จะเป็นเรื่องใด โปรดเลื่อนเมาส์ หรือลากนิ้วบนจอ Tablet ลงไปทัศนาต่อกันเลย!
Proton Suprema S ถือเป็นเวอร์ชันท้ายตัด (Hatchback) 5 ประตู ของ Proton Preve
Sedan รถยนต์นั่งในกลุ่ม C-Segment Compact Class ยุคใหม่ของ Proton ถูกพัฒนา
และสร้างขึ้นภายใต้รหัสโครงการ P3-22A (รหัสโครงการของ Preve คือ P3-21A)
Proton เปิดตัว Suprema S ครั้งแรกในโลก อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2013
ที่มาเลเซีย มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือ Executive และ Premium วางตำแหน่งการตลาด ไว้ให้
เป็นรถยนต์ครอบครัว สำหรับผู้ที่มองหาบุคลิกแนวสปอร์ต เพิ่มจากรุ่น Preve
สำหรับตลาดเมืองไทย Proton (Thailand) กับ PNA พระนครยนตรการ นำเข้า Suprema S
ผลิตจากโรงงานในมาเลเซีย ลงเรือมาเปิดตัวในบ้านเรา เป็นครั้งแรก ในงาน Motor Expo เมื่อ
ปลายเดือน พฤศจิกายน 2013
Suprema S มีตัวถังยาว 4,436 มิลลิเมตร กว้าง 1,786 มิลลิเมตร สูง 1,524 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อยาว 2,650 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า (Front Track) และความกว้าง
ช่วงล้อหลัง (Rear Track) เท่ากันเป๊ะ ที่ระดับ 1,542 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถนนจนถึง
ใต้ท้องรถ 155 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถเปล่า 1,375 มิลลิเมตร
เมือ่เปรียบเทียบกับ Preve Sedan ที่มีความตัวถัง 4,543 มิลลิเมตร กว้าง 1,786 มิลลิเมตร
สูง 1,524 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,650 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า (Front Track)
และความกว้างช่วงล้อหลัง (Rear Track) เท่ากัน ที่ระดับ 1,542 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้น
ถนนถึงใต้ท้องรถ 155 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถเปล่า 1,340 มิลลิเมตร จะพบว่า Suprema S
แตกต่างจาก Preve เพียงแค่มีตัวถังที่สั้นกว่า ถึง 107 มิลลิเมตร แต่ด้วยการออกแบบฝาประตู
ห้องเก็บของด้านหลัง และอะไหล่ต่างๆ บริเวณบั้นท้าย ที่ไม่เหมือนรุ่น Preve ทำให้น้ำหนักรถ
ตัวเปล่า เพิ่มขึ้นจาก Preve Sedan อีก 35 กิโลกรัม แต่ถ้ารวมน้ำหนักบรรทุก และปริมาณ
ของเหลวในระบบทั้งหมด เข้าไปด้วยแล้ว Suprema S จะหนักถึง 1,710 – 1,725 กิโลกรัม
ตามแต่ละรุ่นย่อยเลยทีเดียว!
ถือว่าหนักเอาการนะครับ สำหรับรถยนต์นั่ง พิกัด C-Segment แบบนี้
เส้นสายภายนอก เห็นได้ชัดว่า ดัดแปลงมาจาก Preve Sedan โดยเฉพาะการออกแบบ
ให้ใช้บานประตูทั้ง 4 ร่วมกันได้ ซึ่งแน่นอนว่า ช่วยให้ประหยัดต้นทุนการพัฒนาและ
ต้นทุนการผลิต ลงไปได้มากโข
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดการตกแต่ง ยังมีบางจุดที่พอมองเห็นความแตกต่างกันอยู่บ้าง
ทั้งชุดกระจังหน้า ที่เปลี่ยนลวดลายภายใน จากแบบซี่นอน ในรุ่น Preve มาเป็นลาย
รังผึ้ง แบบ Sport ขอบด้านล่างกระจังหน้าออกแบบให้มีส่วนโค้งมน มากยิ่งขึ้น ช่วย
ลดความแข็งกระด้างบริเวณด้านหน้าลงไปได้เยอะ
ชุดไฟหน้าเป็นแบบโปรเจ็กเตอร์ วางตำแหน่งไฟสูง และไฟหรี่ ไว้เหมือน Preve
แต่เปลี่ยนพื้นหลังในตัวโคมเป็นแบบ รมดำ ยังคงมีไฟ DRL – Daytime Running
Light มาให้เฉพาะรุ่น Premium พร้อมระบบ เปิด – ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
มือจับประตูเป็นแบบ Grip Type กระจกมองข้าง มีไฟเลี้ยว LED มาให้ ฐานยึดของ
กระจกมองข้าง มีครีบ 3 แถบ สำหรับจัดการกับกระแสลม ให้ไหลผ่านไปเพื่อช่วย
ลดเสียงรบกวนบริเวณกระจกมองข้างลงไป ทุกรุ่น มีใบปัดน้ำฝนหลัง ทำงานแบบ
ประหลาดๆ คือ ยกก้านสวิตช์ขึ้นเมื่อไหร่ ใบปัดจะหยุดทำงานทันที ไม่ว่ามันจะ
ค้างไว้ในตำแหน่งใดบนกระจกบังลมหลัง แบบมีไล่ฝ้าในตัว ก็ตาม
พูดกันตรงๆ บั้นท้ายของรถ ดัดแปลงจาก Preve Sedan ออกมาได้ “เชยมากๆ” เพราะ
เส้นสายเหมือนกับ บั้นท้ายของรถยนต์จากเกาหลีใต้ ยุคปี 1995 – 2000 ต่อให้พยายาม
ออกแบบสปอยเลอร์ด้านหลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 และเปลือกกันชนสไตล์สปอร์ต พร้อม
ไฟทับทิมสีแดงตรงกลาง เข้ามาช่วย ก็มิได้ลดทอนความเชยลงไปได้มากนัก
ล้ออัลลอย เป็นแบบปัดเงา ตามสมัยนิยม ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางขนาด 215/45R17
สีตัวถัง มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีขาว (Solid White),สีเงิน (Generic Silver) สีแดง
(Fire Red),สีดำ (Tranquitlity Black), และสีน้ำเงิน (Atlantic Blue) อันเป็นสีที่
ใช้ในการโปรโมท โฆษณาสำหรับรถยนต์รุ่นนี้
รีโมทกุญแจ หน้าตตาเหมือนกับใน Preve เปี๊ยบ เป็นแบบพับดอกกุญแจเก็บได้ แต่ยัง
ต้องกดปุ่มสั่งปลดล็อกและสั่งล็อก เหมือนรีโมทปกติ แถมยังมีปุ่ม Alarm กดไล่คนที่
ชอบมายืนพิงรถ เพราะเห็นว่า ไม่มีเจ้าของนั่งอยู่ หรือ ไล่คนที่มาด้อมๆมองๆตัวรถ
โดยเสียงของระบบกันขโมยในรถ พร้อมระบบ Immobilizer จากโรงงาน แต่ไม่มี
สวิตช์ เปิดฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง ถ้าความเร็ว เกิน 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง รถจะ
สั่งล็อกบานประตูเองอัตโนมัติ
การติดเครื่องยนต์ ใช้วิธีเดียวกับ Preve คือต้องเสียบรีโมทกุญแจ เข้าไปในช่อง แล้ว
ค่อยกดปุ่ม Push Start ที่อยู่ติดกัน มีลูกกุญแจสำรองมาให้ เผื่อในกรณีฉุกเฉิน เช่น
แบ็ตเตอรีอ่อน จนต้องใช้กุญแจไขเข้าไปในรถ
การเข้า – ออกจากบานประตูคู่หน้า ไม่แตกต่างไปจาก Preve เลย หากคุณตัวไม่สูงนัก
การหย่อนก้นลงบนเบาะ แล้วเหวี่ยงขาเข้าไป จะทำได้ง่ายดาย นั่นจะทำให้คุณยังคง
มองว่า การเข้าออกจาก Suprema S ก็เหมือน Preve นั่นละ คือ เข้า – ออก ง่ายดาย
แต่ถ้าคุณตัวสูง หรือว่ามีศีรษะโต เป็นลูกแตงโม นั่นจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคุณต้อง
ก้มหัวลงมากกว่าปกติ มิเช่นนั้น หัวจะโขกกับเสาโครงหลังคาได้ง่ายดายมากๆ เป็น
แบบเดียวกันนี้ ทั้งเบาะฝั่งซ้าย หรือขวา
แผงประตู ออกแบบมาในตำแหน่งที่วางแขนได้พอดี หน้าตาก็เหมือนแผงประตูของ
Preve มีช่องใส่ของด้านข้างมาให้ พอจะใส่ข้าวของ และขวดน้ำขนาด 7 บาท ในแนว
นอน ได้อยู่
ภายใน ของ Suprema S เปลี่ยนมาใช้วัสดุหุ้ม เป็นหนังสังเคราะห์ ซึ่งให้พื้นผิว
ลื่นดี คล้ายๆ เบาะของรถยนต์ระดับหรู แต่ก็ยังพอรู้อยู่ว่า ยังไม่ใช่หนังสังเคราะห์
ระดับสูงกว่านี้ ภายในตกแต่งด้วยสีดำ เป็นหลัก
เบาะนั่งคู่หน้า ติดตั้งมาในตำแหน่งสูงโย่ง แบบเดียวกับ Preve เปี๊ยบ ราวกับว่า
ไม่มีการปรับปรุงแก้ไขกันเลย ทั้งที่จริงๆแล้ว ต่อให้มีมีก้านปรับระดับสูง -ต่ำ ที่
ฝั่งคนขับมาให้ ตำแหน่งปรับต่ำสุด ก็ยังสูงเกินไปอยู่ดี จนต้องถามตัวเองว่า นี่
เรากำลังขับรถ Minivan อยู่ใช่ไหม? ตำแหน่งเบาะที่ต่ำที่สุด ควรจะต่ำลงกว่านี้
ได้อีกสัก 2 – 3 จังหวะ มันก่อความึดอัดในขณะขับขี่ อีกทั้ง ตำแหน่งนั่งขับ
ก็ไม่ถูกหลักสรีระศาสตร์เลย เมื่อต้องใช้งานร่วมกับพวงมาลัย ที่มีตำแหน่ง
ติดตั้งค่อนข้างเตี้ยไป ต่อให้ปรับในระดับสูงสุดแล้วก็ตาม
พนักพิงเบาะหน้า พอเปลี่ยนมาใช้หนังหุ้ม มันกลับค่อนข้างแข็ง แถมปีกข้าง
ก็ยังไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่สามารถล็อกตัวผมขณะเข้าโค้งไว้ได้ นั่งนานๆ
ก็เริ่มเมื่อย เพราะเบาะนั่ง ทั้งพนักพิง พนักศีรษะ และเบาะรองนั่ง ก็แข็งไป
เบาะรองนั่งเอง มีมุมเงยเยอะ แบบเดียวกับรถยุโรป แต่นั่งไม่สบายเอาเสียเลย
เข็มขัดนิรภัย แม้จะเป็นแบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบผ่อนแรงปะทะ และดึงกลับ
แบบอัตโนมัติ Pre-tensioner & Load Limiter แต่ กลับไม่สามารถปรับ
ระดับ สูง – ต่ำได้เลย เหมือน Preve ไม่มีผิด
การเข้า – ออกบานประตคู่หลังนั้น เหมือนกับ Preve ม่ผิดเพี้ยน เพราะทั้งง 2 รุ่น
ใช้บานประตู แบบเดียวกันเป๊ะ นั่นหมายความว่าคุณควรก้มศีรษะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ขณะหย่อนก้นลงไปนั่งบนเบาะหลัง ถ้าไม่อยากให้ ศีรษะของคุณ จะโขกกับขอบ
เสากรอบหลังคา
ส่วนการลุกออกจากรถ ทำได้สบายๆ ไม่ลำบากยากเข็น แถม ขาก็ยังไม่แกว่งไปโดน
พลาสติกบริเวณฐานของเสาหลังคากลาง B-Pillar อีกด้วย
แผงประตูด้านข้าง วางแขนได้สบายพอดีๆ แต่กระจกหน้าต่างไฟฟ้า เลื่อนลงได้ไม่สุด
ด้านหลังของกล่องคอนโซลกลาง จะพบว่า มีช่องเสียบจ่ายไฟ ให้กับ โทรศัพท์ หรือ
คอมพิวเตอร์ Notebook จนถึงเครื่องเล่นเกมต่างๆ เพิ่มจากบริเวณด้านหน้า เหมือน
ใน Preve
ความแตกต่างจาก Preve อยู่ตรงนี้ครับ
พื้นที่เหนือศีรษะด้านหลัง ยังมากพอ และมีพื้นที่มากกว่า Preve เล็กน้อย และ
พนักพิงเบาะหลัง ค่อนข้างแข็ง พอนั่งได้ แต่พนักศีรษะแบบ ตัว L คว่ำ นั้น
ไม่ว่าจะยกขึ้นใช้งาน หรือพับลงไป มันก็ตำต้นคอของคนที่มีสรีระ ตัวสูงเกิน
170 เซ็นติเมตร ขึ้นไปอยู่ดี ราวกับว่าจะออกแบบมาให้เด็กนั่งบนเบาหลังเป็น
หลักกันเลยหรืออย่างไร พนักพิงหลัง และพนักศีรษะ ถือเป็นอีกจุดที่สมควร
ปรับปรุง
พนักวางแขน แบบพับเก็บได มาพร้อมช่องวางแด้ว 2 ตำแหน่ง วางแขนได้
เกือบจะกำลังดี แต่ว่า ผมต้องโน้มข้อศอกลงไปนิดนึง จึงจะวางศอกได้ ดังนั้น
ตำแหน่งของมัน ผมมองว่า เตี้ยไปนิดหน่อย
เบาะรองนั่ง ยกชุดมาจาก Preve เลยก็ว่าได้ เพียงแต่เปลี่ยนมาหุ้มหนังเท่านั้น
ให้สัมผัสที่นุ่มสบายกำลังดี เหมือนนั่งบนโซฟานุ่มๆ แต่แน่นพอประมาณ ความยาว
ก็เท่ากันกับเบาะรองนั่งด้านหลังของ Preve คือ ขาดไปอีกเพียงแค่ นิดเดียว ไมกี่
มิลลิเมตรเท่านั้น แต่ภาพรวม ถือว่ารองก้นได้สบายมาก
เพดานหลังคา มีมือจับศาสดามาให้ 4 ตำแหน่ง และมีขอเกี่ยวแขวนเสื้อมาให้
ทั้งที่มือจับคู่หลัง และที่เสาหลังคากลาง B-illar ด้านหลัง
แน่นอนครับ ในเมื่อ เบาหลัง เหมือน Preve ดังนั้น พื้นที่วางขา จึงเยอะพอๆ
กันกับ Preve อีกทั้ง ถ้าคุณต้องการจะพับเบาะหลัง เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของ
ในอัตราส่วน 60 : 40 ก็ย่อมทำได้ โดยต้องออกแรง ดังเบาะรองนั่ง โน้มลงมา
ข้างหน้า อย่างในภาพข้างบนนี้เสียก่อน แล้วค่อย ปลดสลักล็อกบริเวณบ่าของ
พนักพิงหลัง พับเบาะลงมา เพื่อให้ ด้านหลังของพนักพิง ยาวต่อเนื่อง เป็นแนว
ระนาบเดียวกันกับพื้นห้องเก็บของด้านหลัง ตามสไตล์รถยุโรป
ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง ยกขึ้นได้ โดยมีช็อกอัพ ค้ำยันไว้ด้านหลัง 2 ต้น
ใช้กลอนไฟฟ้า และมีการเก็บรายละเอียดการประกอบที่ถือว่า พอรับได้
ข้อเสียก็คือ การเปิด – ปิด ต้องดึงสวิตช์ไฟฟ้าที่แผงประตูฝั่งคนขับเท่านั้น ไม่มี
สวิตช์บริเวณมือจับ เหนือป้ายทะเบียนมาให้เลย อีกทั้งไม่มีสวิตช์กดเปิดฝาท้าย
บนรีโมทกุญแจมาให้ ใช้งานไม่สะดวกเอาเสียเลย
พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังมีความจุ 309 ลิตร ตามมาตรฐาน ISO ภาพรวมแล้ว เล็ก
กว่า พื้นที่ห้องเก็บของในรุ่น Preve Sedan แต่มีแผงบังสัมภาระด้านหลัง พร้อมเชือก
เกี่ยวตะขอ ยึดไว้กับขอบด้านข้างของกระจกบังลมหลัง แบบมีไล่ฝ้าในตัว มาให้
แผงหน้าปัด และอุปกรณ์ “ทุกอย่าง” ยกชุดมาจาก Preve แบบไม่ต้องออกแบบใหม่
ให้เสียเวลา และเปลืองต้นทุน แน่นอนครับ มันยังคงดู “เชย” ไม่แพ้บั้นท้ายของตัวรถ
แต่การประดับตกแต่ง ด้วย Trim สีเงิน ร่วมสมัยนั้น ของจริง มันแอบดูดี สวยงาม
และเลอค่า เกินกว่าที่คุณจะเห็นได้จากแค่ในภาพถ่าย Trim สีเงินมันวาว ก็พอจะ
ทำให้รถ มีบุคลิกออกไปในแนว Sport Compact แบบ กล้อมแกล้ม ได้อยู่
วัสดุทำแผงหน้าปัดนั้น เหมือนจะ Look Cheap แต่ถ้าสัมผัสจริง ชนิดจอดข้างกัน
กับรถยนต์นั่ในพิกัดเดียวกัน จะพบเลยว่า วัสดุมันก็คล้ายกันนั่นแหละ แค่เพียงว่า ทีม
ออกแบบของ Proton ยังต้องทำการบ้านด้านงานออกแบบให้มากกว่านี้อีกหน่อย
แค่นั้นเอง
ทุกอุปกรณ์ ตั้งแต่ แผงสวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้าด้านข้างประตู พร้อมระบบ Jam
Protection และ Auto One Touch เฉพาะฝั่คนขับ กระจกมองข้าง ปรับและพับ
ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า สวิตช์ติดเครื่องยนต์ ช่องวางขวดน้ำ แบบลิ้นชักฝาปิด ที่ยังคงสั่น
โยกคลอนได้ง่ายอยู่ รวมทั้ง ก้านสวิตช์ ฝั่งซ้าย เป็นระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
และ Auto Wipers ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ที่ก้านสวิตช์ฝั่งขวา พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน
ขนาดเล็ก อวบอูม ปรับระดับสูง – ต่ำได้ ไม่มากนัก แต่ปรับระยะใกล้ – ห่างจากตัว
ผู้ขับไม่ได้ พร้อมสวิตช์ควบคุมชุดเครื่องเสียง บนก้านพวงมาลัยทั้ง 2 ฝั่ง ใช้งาน
ยาก และงุนงงนิดนึง ไม่เว้นแม้แต่ ชุดมาตรวัด และสวิตช์เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ
แบบสากๆ รวมทั้งสวิตช์ไฟฉุกเฉิน และสวิตช์สั่งล็อก หรือปลดล็อกประตู ใต้ไฟเตือน
การใช้ถุงลมนิรภัยฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าซ้าย ยังถูกยกมาจาก Preve ทั้งดุ้น โดย
แทบไม่ได้มีการแก้ไขปรับปรุงใดๆ
เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบอัตโนมัติ ข้อดีคือ เย็นฉ่ำสบาย รวดเร็วทันใจ จนแทบ
ต้องถามเลยว่า นี่เราอยู่กันในขั้วโลกเหนือใช่ไหม? และเช่นเดียวกันกับ Preve
การออกแบบสวิชต์ของมัน ยังคงมีพื้นผิวดูราวกับว่า เพิ่งโดน อาม่า เผลอทำยาล้าง
เล็บหกใส่ ตามเดิม!
ถ้าจะใส่สวิชต์แบบกดปุ่ม พร้อมหน้าจอแสดงตัวเลขแบบ Digital มาให้เลย แบบ
Nissan Sylphy ผมว่าจะช่วยให้แผงหน้าปัดของรถ ดูดียิ่งขึ้นกว่านี้ได้อีก
ช่องแอร์ตรงกลาง เหมือนกับ Preve ทุกประการ ยังคงดูเชย และล้าสมัยไปแล้ว
เมื่อเทียบกับบรรดารถยนต์ในยุคเดียวกัน
ความแตกต่างจาก Preve อีกจุดหนึ่ง อยู่ที่ การเปลี่ยนชุดเครื่องเสียงแบบใหม่ มาเป็น
เป็นวิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่นแผ่น CD/MP3 1 แผ่น ปรับ Equalizer ได้เมามัน
มีระบบนำทางผ่านดาวเทียม Navigation System แสดงผลบนหน้าจอมอนิเตอร์สี
แบบสัมผัส Touch Screen มาให้ มีช่องเสียบ USB ที่คอนโซลกลาง ใกล้กับปลั๊กไฟ
ต่อเชื่อมกับอุปกรณ์ Gadget ต่างๆ มีลำโพงมาให้เพิ่มขึ้นเป็น 6 ลำโพง (เพิ่มทวีตเตอร์
ที่เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar) พร้อมเชื่อมต่อกับ Bluetooth ได้อีกด้วย
คุณภาพเสียง ดีขึ้น ใสขึ้น กว่าชุดเครื่องเสียงของ Preve ชัดเจน ผมชอบมากขึ้นกว่า
รุ่น Preve อย่างไรก็ตาม ความล่าช้าในการทำงานของหน้าจอแบบ “จิก Screen”
ยังมีให้เห็นอยู่ แถมการใช้งานค่อนข้างลำบาก ต้องลดสายตาลงไปปรับเปลี่ยนหน้าจอ
ระบบนำทาง แสดงผล ดีขึ้น ไวขึ้น แต่ยังไม่ทันใจนัก ที่บ้าบอคอแตกเหมือนเดิมเลย
คือ เมื่อใดที่คุณเข้าเกียร์ถอยหลัง ไม่ว่าจะฟังเพลงอะไรอยู่ มันจะตัดการทำงานของ
ชุดเครื่องเสียง แล้วให้คุณตั้งอกตั้งใจกับการถอยรถเพียงอย่างเดียว
เฮ้ย!!! บ้าหรือเปล่า? จะคิดคำนึงถึงความปลอดภัยเกินเหตุไปไหม ถอยรถไป ก็ฟัง
เสียงเพลงไปได้นี่นา อย่าทำแบบนี้อีก ไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง ห่วยแตก!
อีกเรื่องที่เหมือน Preve คือ ทุกครั้งที่ติดเครื่องยนต์ใหม่ ต้องมาปรับตั้งหน้าจอของ
ชุดเครื่องเสียงกันใหม่ เลือกเพลงกันใหม่ ทำไมไม่สามารถเล่นไฟล์ ต่อเนื่องจาก
การใช้รถในครั้งก่อนได้? มันลำบาก ไม่เข้าท่า และไม่ Make sense เอาเสียเลย
ด้านข้างผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า มีช่องใส่แก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง และกล่องเก็บของ
พร้อมฝาปิด ที่บุผ้าแบบเดียวกับหนังหุ้มเบาะ เพื่อเป็นพื้นที่วางแขนในตัว ใช้งานได้จริง
วางแขนได้สบายพอดีๆ ในตำแหน่งที่ถูกต้องและเหมาะสม
ส่วนขนาดของกล่องเก็บของนั้น จุกล่อง CD ได้เยอะอยู่ แอบซ่อนข้าวของได้ดี แถมมี
ช่องใส่เหรียญมาให้ ยกชุดมาจาก Preve เลยทั้งดุ้น
ในเมื่อ Suprema S ใช้ชิ้นส่วนตัวถัง ตั้งแต่ ด้านหน้ารถ จนถึงบานประตูคู่หลัง
ร่วมกันกับ Preve ดังนั้น ทัศนวิสัยด้านหน้า จึงเหมือนกันกับ Preve ทุกประการ
สามารถหาอ่าน และดรูปภาพได้จาก Full Review ของ Preve จาก Link ที่อยู่
ด้านล่างสุดของบทความนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Suprema S จะมีบั้นท้าย ถูกออกแบบขึ้นรูปในลักษณะของ
รถยนต์ท้ายตัด จนทำให้พื้นที่กระจกบังลมหลัง ของ Suprema S เล็กลงไปนิดนึง
กระนั้น ความแตกต่าง เมื่อเปรียบเทียบกัน กลับไม่มากอย่างที่คิด การมองเห็น
รถคันข้างหลัง หรือมอเตอร์ไซค์ ที่แล่นตามหลังมาทางฝั่งซ้าย กลับให้ภาพที่
ใกล้เคียงกันมากๆ แตกต่างกันน้อยมากๆ
********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********
เปิดฝากระโปรงหน้าปุ๊บ…ผมยิ้มกริ่ม เห็นความสนุกรออยู่รำไร ไชโย เรากลับมาเจอกัน
อีกครั้งแล้วสินะ….
แหงละครับ ขุมพลังของ Suprema S มันไม่ใช่เครื่องยนต์ใดอื่นไกลเลย ผมเคยสัมผัส
อิทธิฤทธิ์ของมันมาแล้ว ใน Preve Sedan นั่นเอง! ไม่เพียงเท่านั้น เครื่องยนต์ลูกนี้
ยังเคยถูกนำมาติดตั้งใน Minivan รุ่น Exora Turbo มาแล้วอีกด้วย!
ถูกต้องแล้วครับ เป็นเครื่องยนต์ CamPro CFE (Charged Fuel Efficiency) รหัส
S4P-CFE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,561 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 76.0 x
86.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 8.9 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิกส์ พ่วงระบบอัด
อากาศ Turbocharger จาก Borg Warner รุ่น KP39 ซึ่งถูกออกแบบมาให้เน้น
แรงบิดรอบต่ำ และลดอาการ รอรอบ (หรืออากาศ Turbo Lag) ให้เหลือน้อยที่สุด
เท่าที่จะทำได้ มี Waste Gate ไฟฟ้า ชุดควบคุม Boost ของ Turbo แบบไฟฟ้า
เครื่องยนต์ S4P-CFE ยังคงให้กำลังสูงสุด 138 แรงม้า (PS) ที่ 5,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 205 นิวตันเมตร (20.88 กก.-ม.) ที่รอบเครื่องยนต์ระหว่าง 2,000 –
4,000 รอบ/นาที (Flat Torque) ตามเดิมโดย แรงบิดที่ได้จะมาถึงตั้งแต่ เข็มวัด
รอบเครื่องยนต์ชี้ที่เลข 2 แล้วต่อเนื่องไปจนถึง เลข 4 ในช่วงสั้นๆ ก่อนเริ่มเหี่ยวปลาย
ที่ 5,500 รอบ/นาที เหยียบคันเร่งยังไง รอบเครื่องยนต์ ก็จะไม่แตะ 6,000 รอบ/นาที
มาตรวัดรอบ เหมือนกันกับ Preve ไม่มีผิดเพี้ยน!
สามารถเติมน้ำมันเชื้อเพลิงได้ทั้ง เบนซิน 95 , แก็สโซฮอลล์ 95 (E10) จนถึง
E20 แต่เติม แก็สโซฮอลล์ E85 ไม่ได้
เครื่องยนต์ CamPro CFE ยังคงถ่ายทอดกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ
อัตราทดแปรผัน CVT 7 จังหวะ ProTronic พร้อมโหมด + / – ที่คันเกียร์ และแป้นเปลี่ยน
เกียร์ Paddle Shift ซึ่งติดตั้งอยู่ด้านหลังของพวงมาลัย
น้ำมันเกียร์ CVT ตามสเป็กระบุว่า ใช้ของ ESSO EZL 799 (A) ประมาณ 4.1 – 4.3 ลิตร
ส่วนน้ำมันชุดคลัชต์ ใช้ร่วมกับน้ำมันเบรกได้ ทั้งแบบ DOT3 และ DOT4 อัตราทดเกียร์
เมื่อแบ่งย่อยตามตำแหน่งล็อกอัตราทด (โหมด บวก/ลบ) บนพูเลย์แล้ว มีดังนี
เกียร์ 1 ………………………..2.41
เกียร์ 2 ………………………..1.56
เกียร์ 3 ………………………..1.07
เกียร์ 4 ………………………..0.81
เกียร์ 5 ………………………..0.64
เกียร์ 6 ………………………..0.54
เกียร์ 6 ………………………..0.45
เกียร์ถอยหลัง …………………2.68
อัตราทดเฟืองท้าย ……………5.76
แป้น Paddle Shift คราวนี้ เปลี่ยนมาใช้พลาสติกสีดำ เงา การใช้งานออกจะมึนๆ สักหน่อย
ถ้าคุณ ตบแป้นเพื่อสั่งเปลี่ยนเกียร์ เช่นที่ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แม้รอบเครื่องยนต์
เดิม จะอยู่แถวๆ 2,100 – 2,300 รอบ/นาที แต่ถ้าตบแป้นบวกปุ๊บ สมองกลจะสั่งให้เพิ่มรอบ
เครื่องยนต์อีกเล็กน้อยทันที เพื่อให้พร้อมต่อการเหยียบคันเร่ง เรียกแรงบิดของผู้ขับขี่
ถ้าต้องการเลิกใช้งาน ไม่สามารถตบแป้นบวก ค้างไว้ 2 วินาที เหมือนรถยนต์ทั่วๆไปได้
คุณต้องหันไปผลักคันเกียร์ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม ไปยังโหมด บวก-ลบ แล้ว
ค่อยตบกลับมายังเกียร์ D แป้น Paddle Shift จึงจะเลิกทำงาน
มันไม่ค่อย Make Sense เอาเสียเลยในการใช้งานจริง
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเผลอตบแป้น Paddle Shift อยู่ แต่ไม่ทำอะไรกับรถ ไม่เร่งเครื่องยนต์
เพิ่มเติม เกียร์จะถูกเปลี่ยนกลับไปเป็น D ให้เอง ในอีกราวๆ 5 วินาทีถัดมา
ในเมื่อเครื่องยนต์และเกียร์ เหมือนกันกับ Preve หลายคนคงอยากรู้ว่า อัตราเร่งของ
Suprema S จะเหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไร เราได้จับเวลา ในตอนกลางดึก โดย
ใช้มาตรฐานดั้งเดิม คือ คนขับ 1 คน ผู้โดยสาร 1 คน รวม 2 คน น้ำหนักรวมไม่เกิน
170 กิโลกรัม เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า และผลลัพธ์ที่ได้ มีดังนี้
ผลการจับเวลา จะเห็นว่า Suprema ทำตัวเลข ช้ากว่า Preve อยู่เล็กน้อย ราวๆ 0.5 วินาที
ส่วนหนึ่ง มาจาก หลักอากาศพลศาสตร์ และน้ำหนักตัวรถ เป็นธรรมดา ที่รถยนต์ Hatchback
มักทำตัวเลข ด้อยกว่ารถยนต์ Sedan เพราะตามปกติแล้ว อากาศหมุนวนท้ายรถยนต์แบบ
Hatchback มักเกิดขึ้น เยอะกว่ารถยนต์ Sedan อีกทั้งน้ำหนักตัวเปล่าของ Suprema S
รุ่น Premium คันนี้ ก็หนักถึง 1,395 กิโลกรัม มากกว่า Preve ซึ่งอยู่ที่ 1,340 กิโลกรัม
ดังนั้น อัตราเร่งที่ออกมาได้ขนาดนี้ ทั้งที่เครื่องยนต์ต้องแบกรับภาระจากน้ำหนักตัว ที่มากโข
กว่าเพื่อนพ้องในกลุ่ม C-Segment ด้วยกันอย่างนี้ ถือว่า ดีถมถืดแล้วละ
ถ้าเปรียบเทียบในกลุ่ม C-Segment Hatchback ด้วยกันแล้ว Suprema S อยู่ในอันดับ
ที่ 4 จากเพื่อนพ้องในตลาดทั้งหมด เป็นรองแค่เพียง Nissan Pulsar Turbo , Ford
Focus 2.0 GDi และตามหลัง Mazda 3 Hatchback รุ่นล่าสุดอยู่ แต่ก็ไม่มากนัก นั่น
แสดงให้เราเห็นว่า ศักยภาพของเครื่องยนต์ลูกนี้ ตามลำพัง ทำผลงานได้ดีเกินคาด
แต่ถ้ามีการลดน้ำหนักของตัวรถลง ขณะที่เพิ่มความแข็งแกร่งของโครงสร้างตัวถัง
ตามไป โอกาสที่ ตัวเลขอัตราเร่งจะแรงกว่านี้ ก็เป็นไปได้สูงมากๆ
ส่ววนความเร็วสูงสุด ถึงรุ่น Preve จะทำตัวเลขบนมาตรวัดได้ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แต่ Suprema S ทำตัวเลขบนมาตรวัดได้ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่รอบเครื่องยนต์
เท่ากันคือ 5,500 รอบ/นาที ขณะที่ตัวเลขจากการทดสอบของโรงงาน ระบุว่าทำได้
190 กิโลเมตร/ชั่วโมง แสดงว่า เข็มไมล์ในช่วงความเร็วสูงสุด ต้องเพี้ยน ราวๆ 10
กิโลเมตร/ชั่วโมง ทั้งที่ตามปกติ เมื่อวัดด้วยอุปกรณ์ GPS แล้ว หากใช้ความเร็ว 100
กิโลเมตร/ชั่วโมง บนมาตรวัด ความเร็วจริงจะอยู่ที่ 96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่อให้เพิ่ม
ขึ้นไปเป็น 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ความเร็วจริง จาก GPS ก็จะอยู่ที่ 106 กิโลเมตร/
ชั่วโมง
กว่าจะไต่ขึ้นไปถึงความเร็วระดับดังกล่าวได้ ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง ไม่เหมือน
Preve ที่คุณสามารถไล่ความเร็วขึ้นไปได้เรื่อยๆ หลังจาก 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขึ้นไปแล้ว Suprema S จะไต่ความเร็วขึ้นไปได้ช้ากว่า Preve นิดหน่อย และอาจ
ต้องใช้เนินส่งให้รถไหลลงมา เพื่อจะได้ความเร็วสูงในระดับดังกล่าว
ย้ำกันตรงนี้เหมือนเช่นเคยว่า เราทำการทดลองความเร็วสูงสุดให้ดูกัน ด้วยเหตุผลของ
การให้ความรู้ เพื่อการศึกษา ไม่ได้กดแช่กันยาว หรือมุดกันจนเสี่ยงอันตรายต่อผู้ร่วมใช้
เส้นทาง เราระมัดระวัง และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ และเราไม่อยากเห็นใครต้อง
เสี่ยงชีวิตมาทำตัวเลขแบบนี้กันเอาเอง ดังนั้น อย่าทำตามอย่างเป็นอันขาด เพราะหาก
พลาดพลั้งขึ้นมา อันตรายถึงชีวิตคุณเอง และเพื่อนร่วมทาง เราจะไม่รับผิดชอบในความ
ปลอดภัยของคุณแต่อย่างใดทั้งสิ้น! อีกทั้งเราไม่สนับสนุน ให้ใครมาทดลองทำความเร็ว
สูงสุด แบบนี้ เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมายจราจร
ในการขับขี่จริง ยอมรับว่า Suprema S ยังคงสืบทอด บุคลิก ปรู๊ดปร๊าดทันใจ จาก
Preve มาได้อย่างชัดเจน การตอบสนองของคันเร่ง ทำได้ดี ไว อาการ Lag เหลือ
อยู่บ้าง เพียงเบาบาง สไตล์การตอบสนองของคันเร่ง มาในแบบที่ชวนให้ผมนึก
ถึงคันเร่งของ Toyota Corolla Altis CVT ใหม่ แต่น้ำหนักคันเร่งจะหนืดเท้ากว่า
อย่างชัดเจน นั่นก็เพียงพอที่จะช่วยให้ผม เรียกอัตราเร่งมาได้ตามต้องการ อย่าง
ทันใจเอาเรื่อง ในช่วงเวลาที่ผมต้องการ แทบเรียกได้เลยว่า บุคลิกของ Preve
เป็นอย่างไร ผมแทบไม่ต้องอธิบายซ้ำ
เพียงแต่ ด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น การใส่ล้อ 17 นิ้ว และการเปลี่ยนบั้นท้ายมาเป็น
แบบ Hatchback ส่งผลให้ Suprema S ทำอัตราเร่ง ด้อยกว่าพี่ชาย อย่าง Preve
Preve ลงไปนิดหน่อย ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ
อีกทั้ การทำงานของเกียร์ นั้น แนะนำไว้ว่า ไม่ต้องไปเล่นกับ Paddle Shift ให้เสีย
เวลาทำมาหากินหรอกครับ เข้าเกียร์ ค้างไว้ที่ D แล้วกดคันเร่ง เอาตามต้องการ น่าจะ
ช่วยเรียกอัตราเร่งออกมาจากเครื่องยนต์ ได้ทันใจกว่าที่จะต้องไปรอให้โหมด บวก ลบ
ตอบสนองเสียด้วยซ้ำ
ถ้าคุณลากรอบเครื่องยนต์ ในโหมด บวก ลบ หรือ แป้น Paddle Shift จนถึงระดับ
5,700 รอบ/นาที เกียร์ จะตัดเปลี่ยนขึ้นเป็นเกียร์ที่สูงกว่า ให้ทันที ซึ่งบางทีผู้ขับขี่
อาจไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ขณะเร่งแซง ช่วงขับรถทางไกล
การเก็บเสียงนั้น ในช่วงความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถือว่าเงียบพอใช้ได้
เหมือนกันกับ Preve แต่ในช่วงความเร็วหลังจากนั้น การเก็บเสียงของรถคันที่เรา
นำมาทดลองขับ มันไม่ได้ดีเท่า Preve นอกเหนือจากเสียงกระแสลมที่ไหลผ่าน
ตัวถัง ซึ่งดังอึงคะนึง หลังพ้นความเร็ว 80 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไปแล้ว
ยังแอบมีเสียง ลมหวีดร้อง เล็ดรอดเข้ามาตามขอบประตูฝั่งคนขับ ในช่วงหลัง
ขึ้น 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป ทั้งที่ Preve คันที่เรานำมาทดลองเมื่อปีที่แล้ว
ไม่มีอาการนี้ นี่ยังไม่นับเสียงบริเวณซุ้มล้อหลัง ซึ่งดังพอสมควร แถมยังมีเสียง
จากการทำงานของระบบกันสะเทือน ในช่วงความเร็วต่ำ ที่ทำให้แอบหวั่นใจอยู่
ว่ามันจะดังตึงตังไปหน่อยไหม?
Proton ยังต้องทำการบ้านกับเรื่อง NVH (Noise,Vibration,Harshness)
หรือ เสียง การสั่นสะเทือน และการสั่นสะท้าน ให้มากยิ่งกว่านี้ อย่ากังวลกับเรื่อง
การลดต้นทุนมากจนเกินไป เหมือนเช่นที่ผู้ผลิตค่ายญี่ปุ่นเขาทำกันในตอนนี้
ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัย แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง ไฮโดรลิก
รัศมีวงเลี้ยว 5.3 เมตร ระยะฟรีปรับตั้งมาที่ 30 มิลลิเมตร น้ำมันเฟืองพวงมาลัย ใช้
ATF DEXRON หรือ DEXRON II ขนาด 0.8 ลิตร
พวงมาลัย ตอบสนอง เหมือนกับ Preve ไม่มีผิด คือ หนืด และค่อนข้างหนัก ในช่วง
ความเร็วต่ำ ขณะขับแบบคลานๆ แม้จะไม่หนักเท่า Proton รุ่นก่อนๆ แต่ก็หนักและ
หนืดน้องๆ Chevrolet Optra กับ MG 6 ใหม่ กันเลยทีเดียว ใช้นิ้วเดียว ลองหมุน
พวงมาลัย อาจต้องเกร็งนิ้ว ถึงขั้นทำให้กระดูกนิ้วหักได้ ต้องออกแรงหมุนเยอะ
กว่ารถยนต์รุ่นใหม่ๆทั่วไปนิดนึง ในขณะถอยเข้าจอด
ในย่านความเร็วสูง พวงมาลัย มีน้ำหนักพอกันกับเดิม เพียงแต่สัมผัสได้ชัดขึ้นว่า
On Center feeling ควรจะนิ่งกว่านี้ ดีกว่านี้ เพื่อให้การถือพวงมาลัยนิ่งๆ มั่นใจ
เพิ่มขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ภาพรวมแล้ว การใส่ล้อ 17 นิ้วเข้าไป ทำให้พวงมาลัยของ
Suprema S หนืดขึ้น หนักขึ้น และมั่นใจได้ในช่วงความเร็วสูงมากขึ้นจากรุ่น
Preve นิดหน่อย
ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลัง
เป็นแบบ มัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง ถูกปรับจูนเป็นพิเศษ โดยบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้าน
วิศวกรรมช่วงล่าง และแชสซีของรถ อย่าง Lotus ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถสปอร์ต Lotus ด้วย
และอยู่ในเครือของ DRB HICOM บริษัทแม่ของ Proton ในตอนนี้มาได้สักพักหนึ่งแล้ว
นั่นจึงเป็นที่มาของการแปะสติกเกอร์ไว้ ด้านหลังรถว่า “Handling By LOTUS” เป็น
การประทับตรารับรองว่า รถยนต์รุ่นนั้นๆ ได้ผ่านการปรับจูนช่วงล่างโดย Lotus จริงๆ
(ในอดีต รถยนต์ ที่แปะตรานี้ ส่วนใหญ่ เป็นรถยนต์ ในกลุ่ม GM ทั้ง Opel/Vauxhall
บางรุ่น ไปจนถึงรถเก๋ง และ SUV ของ Isuzu ที่ขายในญี่ปุ่น หลายรุ่น)
อย่างไรก็ตาม แม้ผมจะประทับใจช่วงล่างของ Preve แต่ Suprema S กลับไม่ได้
ทำให้ผมรู้สึกดีในแบบเดียวกันนัก
ในช่วงความเร็วต่ำ แม้จะมีความพยายามดูดซับแรงสะเทือนอยู่ แต่ในบางรูปแบบของ
หลุมบ่อ ฝาท่อ ลูกระนาด อาการสะเทือน จะเกิดขึ้นชัดเจนกว่า Preve ขณะเดียวกัน
ในการเข้าโค้งนั้น หากคุณพารถอัดเข้าโค้งยาวๆ ต่อเนื่อง ตัวถังรถจะพยายามรักษา
การทรงตัวเอาไว้ได้ดีอย่างต่อเนื่อง ทว่า ถ้าต้องเล่นโค้ง ซิกแซก หรือเปลี่ยนเลนแบบ
กระทันหัน Suprema S จะออกอาการแปลกๆ คือ ด้านหน้ารถนั้น พยายามจะจิกกับ
พื้นถนนให้อยู่ แต่ยางล้อรถมันไม่ค่อยสมัครสมานสามัคคีเท่าไหร่นัก ขณะเดียวกัน
ช่วงล่างด้านหลังหนะเอาไม่ค่อยจะอยู่ และบั้นท้าย พร้อมจะกวาดออกได้ง่าย หนำซ้ำ
ยางก็อยากจะพยายามดึงรั้งบั้นท้ายรถเอาไว้ เท่าที่มันพอจะทำได้
ช่วงความเร็วสูง การทรงตัว ยังคงดีพอ ในระดับเดียวกันกับ Preve ถ้าตั้งศูนย์ล้อให้ตรง
ไม่กินซ้าย เหมือนในรถคันที่เาลองขับ ผมมั่นใจเลยว่า คุณแทบจะไม่รู้สึกหวาดเสียวกับ
การขับ Suprema S บนทางตรงยาวๆ ด้วยความเร็วสูงๆ ในค่ำคืนที่ปราศจากรถยนต์
บนถนน เลยละ!
ระบบห้ามล้อ เป็น ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ โดยตู่หน้ามีรูระบายความร้อนมาให้ มาพร้อมทั้ง
ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Brake Lock System) ระบบกระจายแรงเบรก
ตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบเสริม
แรงเบรก ในภาวะฉุกเฉิน Brake Assist ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีช่วงออกตัว TCL
Traction Control พร้อมระบบควบคุมการทรงตัว ตัดแรงบิด และเพิ่มแรงเบรกในล้อ
ที่จำเป็นขณะเข้าโค้ง ESC (Electronic Stability control) มีสวิตช์ปิดการทำงาน
บนแผงควบคุมกลาง ของแผงหน้าปัด
แป้นเบรก ตอบสนองได้ ไม่ดีเท่ากับ Preve ผู้พี่ คุณต้องเหยียบลงไปถึง 30 – 40 %
ของระยะเหยียบทั้งหมด กว่าที่จะสัมผัสได้ว่า ระบบเบรก เริ่มทำงาน กะระยะในการเบรก
ค่อนข้างยากอยู่ การหน่วงความเร็วลงมา ทำได้ดีแบบปานกลาง และยังต้องกดแป้นเบรก
ให้เหมาะสมด้วย ถ้ากดลึกไป เบรกก็จะทำงานมาก จนทำให้ถึงขั้นหน้าทิ่มหัวคะมำได้
อย่างไรก็ตาม การหน่วงความเร็ว ในช่วงความเร็วต่ำ คลานไปตามสภาพการจราจรติดขัด
ยังคงสั่งให้เบรกได้นุ่มนวลเหมือน Preve เพียงแต่คุณต้องเรียนรู้ และคุมน้ำหนักเหยียบ
ลงบนแป้นเบรกให้ดีๆ
ด้านความปลอดภัย Suprema S ใส่ข้าวของมาให้ เยอะ ไม่แพ้พี่ชายอย่าง Preve
ทั้ง ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้างเบาะนั่งคู่หน้า และม่านถุงลมนิรภัย รวมถึง
6 ใบ กระจกหน้าต่างไฟฟ้า แบบดีดกลับได้เมื่อมีสิ่งกีดขวาง (Proton เขาเรียกมันว่า
Anti-Trap ซึ่งถือว่า สมัยนี้ รถยนต์ 98% จะให้หน้าต่างแบบนี้ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
เฉพาะฝั่งคนขับ กันหมดแล้ว ) และในรุ่น Premium จะมี เซ็นเซอร์กะระยะขณะถอย
เข้าจอด บริเวณกันชนหน้า เสริมการทำงานกับกล้องมองภาพ บริเวณหลังรถ
********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********
หลายคนคงอยากทราบว่า การเปลี่ยนบั้นท้ายใหม่ โดยใช้เครื่องยนต์และระบบส่ง
กำลังแบบเดิมนั้น จะยังทำให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แตกต่างไปจาก Preve เดิม
มากน้อยแค่ไหน
เราจึงทำการทดลองหาอัตราสิ้นเปลืงเชื้อเพลิงเฉลี่ย กันตามมาตรฐานเดิม นั่นคือ
เติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ถนนพหลโยธิน ฝั่ง
เยื้องและตรงข้ามซอยอารีย์สัมพันธ์ ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์
สักขีพยานและผู้ร่วมทดลองยังคงเป็น น้อง Joke V10ThLnD สมาชิก The Coup
Team ของเรา รวมทั้งยังคงต้องเติมน้ำมันแบบเขย่ารถ เหมือนเช่นรุ่น Preve เพื่อ
ให้เป็นไปตามมาตรฐานของเรา ที่จะต้องเขย่าอัดกรอกน้ำมันลงไปในถัง เพื่อลดปริมาณ
อากาศในถังน้ำมัน เพื่อให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เป็นไปตามความจริงมากที่สุด เพราะ
รถคันนี้ อยู่ในพิกัดไม่เกิน 2,000 ซีซี และเป็นรถยนต์ระดับราคาที่ผู้คนสามารถซื้อหาได้
อยู่ในกลุ่ม C-Segment Compact Class ที่ผู้บริโภคซีเรียสเรื่องการบริโภคน้ำมันมาก
เมื่อเติมน้ำมันเสร็จแล้ว เราก็พร้อมออกรถ คาดเข็มขัด ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ไว้
เบอร์ 1 อุณหภูมิ 25 องศาเซลสเซียส ทั้ง 2 ฝั่ง เซ็ตมาตรวัดระยะทาง Trip Meter A
เป็น 0 รวมทั้งเซ็ตมาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เป็น 0 ก่อนออกรถ แล้วมุ่งหน้า
ไปเลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน ผ่านโชว์รม Proton ที่ปิดปรับปรุงชั่วคราว เลี้ยวซ้าย
เข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะไปออกปากซอยโรงเรียนเรวดี ขึ้นทางด่วนที่ด่านพระราม 6
มุ่งหน้าออกไปยังปลายสุดทางด่วนอุดรรัถยา (เส้นเชียงราก) ที่ด่านบางปะอิน แล้ว
เลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วนสายเดิม มุ่งหน้ากลับมาทางเดิม โดยใช้ความเร็วมาตรฐาน
คือ วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน (แต่ไม่เปิดระบบ Cruise Control)
ลงจากทางด่วน ที่ด่านอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนพหลโยธินอีกครั้ง
เลี้ยวกลับที่สถานีรถไฟฟ้า BTS แล้วเข้าไปเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ที่สถานี
บริการน้ำมัน Caltex เหมือนเดิม หัวจ่ายเดิม เติมแบบเขย่า เหมือนเดิม
เรามาดูตัวเลขกันดีกว่า
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บนมาตรวัด Trip Meter A 92.5 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.34 ลิตร
คำนวนแล้ว ได้ อัตราสิ่นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 14.58 กิโลเมตร/ลิตร
บอกเลยว่า เป็นการทดลองที่เหนื่อยมาก เพราะเราต้องทำการทดลองถึง 2 รอบ
ความแตกต่างที่เกิดขึ้นจาก Preve ส่วนหนึ่ง ผมคงต้องบอกว่า มาจากคอถังที่
น่าจะก่อให้เกิดความเพี้ยนในการเติมน้ำมันอยู่ในระดับหนึ่ง อีกทั้ง รถคันนี้
เป็นรถที่ทาง Proton ตัดมาให้เรา ใหม่เอี่ยม แล่นมาได้แค่ 100 กิโลเมตร ซึ่ง
ต่างจาก Preve ที่แล่นมาแล้วด้วยระยะทางค่อนข้างมาก จึงทำให้ตัวเลขต่างกัน
ในแบบนี้
แต่ถ้าใครสงสัยว่า น้ำมัน 1 ถัง แล่นได้ไกลแค่ไหน บอกได้เลยว่า ครึ่งถังแรก
ผ่านไป ระยะทางบน Trip Meter A อย่ที่ 286 กิโลเมตร และในวันคืนรถ ตัวเลข
มาตรวัดอยู่ที่ 336 กิโลเมตร และน้ำมันหดหายไป เหือ 3 ขีดใหญ่ หรือราวๆ
1 ใน 3 ของถังความจุ 50 ลิตร ไม่รวมคอถัง
ลองไปพิจารณากันดูเอาเองครับ
********** สรุป **********
Preve ในตัวถัง Hatchback ท้ายตัด แต่ทำผลงานได้ไมดีเท่าพี่ชายของมัน
เป็นเรื่องแปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่ผมรู้สึกว่า อยากคืนกุญแจรถคันนี้ไปเร็วๆ ทันทีที่
ลงจาก Suprema S ทั้งที่ผม เคยประทับใจกับ พี่ชายของมันอย่าง Preve
เมื่อมานั่งไตร่ตรองดูก็พบว่า อันที่จริง หากมองย้อนกลับไปยังอดีตที่ผ่านมา จนถึง
ทุกวันนี้ 28 ปีผ่านไป พัฒนาการของ Proton นั้น ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนผมยอมรับ
ได้ในระดับหนึ่ง
ลองนึกดูครับ 30 ปีแรก ของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น พวกเขาทำรถยนต์แบบไหนออกมา
30 ปีแรก ของบริาทรถยนต์เกาหลีใต้ พวกเขาทำรถยนต์แบบไหนออกมา และเมื่อ
เทียบกับ 30 ปีแรก ของบริษัทรถยนต์จาก มาเลเซีย พวกเขาทำรถยนต์แบบนี้ออกมา
เราควรปรบมือให้เขาได้แล้ว
ถือไดว่า Proton ใช้ความพยายามอย่างมาก ในการตะเกียกตะกาย จากการเป็นเพียง
บริาทรถยนต์แห่งชาติ กลายมาเป็น บริษัทรถยนต์ระดับนานาชาติ แม้ยังจะต้องการ
เวลาอีกพักใหญ่ แต่วันนี้ พวกเขาทำได้ดีเลยทีเดียว
กระนั้น ถ้าหันกลับมามองความจริงอีกด้าน เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์นั่งในพิกัด
C-Segment ที่ทำตลาดในบ้านเราอยู่ทุกวันนี้ สิ่งที่ทำให้ Suprema S ยังคงพอจะ
เหลือจุดขายของตนไว้ ก็คือ อัตราเร่งที่ทันอกทันใจ เหมาะกับคนบ้าพลัง ที่ชอบ
ขับรถเร็วๆ เรียกแรงบิดมาใช้อย่างคุ้มค่า เรียกม้าทุกตัวมาใช้อย่างไม่รู้จักเหนื่อย
มันแรงครับ แต่ขับไม่สนุก ไม่ได้ชวนให้รู้สึกอยากจะขับมันต่อ มันไม่ได้สร้าง
ความรู้สกเติมเต็มให้กับทุกวันในชีวิต มันดีอย่างเดียว คือแรง
นอกนั้น สิ่งที่ผมเคยบอกให้ Proton ปรับปรุงไปใน Preve จนถึงวันนี้ พวกเขา
ยังไม่ได้ทำอะไรกับมันมากนัก
ใช่แล้วครับ ทุกสิ่งที่ผมเคยตำหนิไป มันยังคงโผล่มาให้ผมพบเห็นอยู่ในเจ้า
Suprema S คันนี้ อย่างครบครัน
ตั้งแต่ประเด็นเรื่อง เบาะนั่งยังคงสูงโด่งเป็นยอดเสากระโดงเรือ นั่งไม่สบาย
เอาเสียเลย แข็งชะมัด ทั้งเบาะหน้า และเบาะหลัง ยกเว้นเบาะรองก้น ด้านหลัง
ที่นุ่มสุดแล้ว พวงมาลัยยังคงหนักและหนืดในช่วงความเร็วต่ำไปนิดนึง ช่วงล่าง
ดูดซับแรงสะเทือนช่วงความเร็วต่ำได้ไม่ดีเมื่อเทียบกับพี่ชายของมัน และอาจ
ต้องเพิ่มความระมัดระวัง เมื่อเปลี่ยนเลนอย่างกระทันหัน ระบบห้ามล้อ ที่ยัง
ทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร ต้องเหยียบลงไปถึง 40% จากระยะเหยียบทั้งหมด
ระบบเบรกจึงจะเริ่มทำงาน ระยะเหยียบของแป้นเบรกพอดีแล้ว แต่ระยะ
เหยียบจาก 0 จนถึงจุดที่เบรกเริ่มจับ มากเกินไป แถมการทำงานของเกียร์
ก็ยังมี Logic แปลกๆ การเข้าเกียร์ถอยหลัง แล้วตัดเสียงเพลง ออกไป เป็น
เรื่องประหลาด
นี่ยังไม่นับ การออกแบบที่ไม่ดึงดูดใจให้เป็นเจ้าของ ทั้งภายในและภายนอก
ยังไม่นับการเก็บเสียงรบกวนที่ยังทำได้ไม่ดี Proton ยังต้องไปเรียนรู้ในด้าน
NVH เยอะกว่านี้ เพื่อทำรถให้เก็บเสียงได้ดีกว่านี้ อย่างน้อยๆ วิ่งด้วยความเร็ว
120 -130 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต้องเงียบกว่านี้ ฯลฯ
ดูเหมือน Proton ยังต้องทำการบ้านอีกเยอะในการปรับปรุงให้ C-Segment
Compact Sedan และ Hatchback ของพวกเขา ก้าวเข้าสู่ระดับขึ้่น World
Class ได้อย่างดียิ่งกว่าที่เป็นอยู่ ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้า กล้าที่จะควักกระเป๋า
จ่ายเงิน 779,000 บาท และ 829,000 บาท เพื่อแลกมากับ Suprema S รุ่น
Executive กับ Premium ตามลำดับ ได้มากกว่าที่เป็นอยู่
แต่นั่นยังไม่เทียบเท่ากับการปรับปรุงด้านบริการหลังการขาย ที่หลายคน
ยังคงประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ ตราบใดที่ Proton ยังคงใช้บริการ กลุ่ม PNA
อย่างนี้ อย่างที่เราท่านคงทราบกันดี และผมคงไม่ต้องเขียนถึงซ้ำอีก
เพราะรู้ว่า เขียนไปอย่างไร ทุกอย่าง มันก็จะยังคงไม่ดีขึ้นไปกว่านี้
หนทางข้างหน้ายังอีกไกล กว่าที่ Proton จะก้าวขึ้นมาเป็นที่ยอมรับของ
ลูกค้าชาวไทยมากกว่านี้ ผมเชื่อว่าคนไทย ยังพร้อมให้โอกาส Proton เสมอ
แต่ Proton ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองมากกว่านี้ ด้วยการแก้ไขทุกสิ่งที่ผมบอกไป
เพื่อที่ คนไทย จะได้กล้าเปิดใจ ลองอุดหนุน รถยนต์แห่งชาติ มาเลเซีย
อย่างเต็มใจกว่านี้ กันเสียที
————————————–///————————————
ขอขอบคุณ / Special Thanks to:
บริษัท Proton Motors (Thailand) จำกัด
และ บริษัท พระนคร โอโต้ เซลส์ จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ และการประสานงานอย่างดียิ่ง
————————————————————-
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในไทย เป็นผลงานของ ผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพวาด Illustration เป็นของ บริษัท Proton Motors (Thailand) จำกัด
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
7 ตุลาคม 2014
Copyright (c) 2014 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
October 7th, 2014
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE