โดยปกติแบรนด์ Mazda อยู่ในตำแหน่งที่สามารถตั้งราคาได้สูงกว่ารถตลาดปกติได้เนื่องจากการวางตำแหน่งให้เป็นแบรนด์รถสปอร์ตสร้างความประทับใจทั้งรูปลักษณ์และการขับขี่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจนลูกค้าไม่สนใจราคาเท่าไรนัก แต่ขอเพียงแค่ Mazda จัดสเปคให้น่าพอใจและราคาสมเหตุสมผลก็เพียงพอแล้ว

ยอดขาย Mazda 2 ระหว่างปี 2009-2010 ก็ชี้ชัดแล้วว่าลูกค้ามีพฤติกรรมซื้อรถรุ่นย่อยกลางถึงบนสุดเป็นหลัก แตกต่างจากคู่แข่งซับคอมแพคท์บางแบรนด์และอีโคคาร์ที่ลูกค้าส่วนใหญ่ยังมองเรื่องความคุ้มค่าเป็นหลัก แต่วันนี้สถานการณ์การแข่งขันรถยนต์ขนาดเล็กเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น คู่แข่งหน้าใหม่ก็สามารถแจ้งเกิดได้หลายราย อีกทั้งก็ยังมีคู่แข่งหน้าใหม่พร้อมแจ้งเกิดอีกไม่น้อย Mazda จึงต้องเร่งปกป้องตลาดและสร้างความแข็งแกร่งในใจลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

ถึงแม้ยอดขายรถยนต์ในกลุ่ม B-Car มีส่วนแบ่งการตลาด 27% ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2011 เติบโตขึ้น 2% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวของปีที่แล้ว แต่ Mazda ไม่นิ่งนอนใจปล่อยให้คู่แข่งมาตีตื้นง่าย ๆ ด้วยการเปิดตัว Mazda 2 รุ่นอัพเดทรุ่นปี 2011 เพิ่มความคุ้มค่าให้มากขึ้น (

เชื่อหรือไม่ว่า ความจริงแล้ว Mazda เคยคิดจะเปิดตัว Mazda 2 รุ่นอัพเดทปี 2011 ในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2011 แต่ก็เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จึงจำเป็นต้องเลื่อนมาเปิดตัววันที่ 15 สิงหาคม 2011 แทน และนั่นก็เป็นวันที่ทุกคนต้องจดจำว่า Toyota ถึงขั้นจัดงานเปิดตัวพรีเซนเตอร์คนใหม่ให้กับ Vios กะทันหันในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่จะสกัดได้แค่ไหนต้องมาดูฤทธิ์เดชกัน

หัวใจหลักของ Mazda 2 MY2011 คือการนำเสนอคุณค่าใหม่อันเป็นส่วนผสม “ใหม่” จากเดิมที่เน้นขายรูปลักษณ์ความโฉบเฉี่ยว สวยงามโดดเด่นบนท้องถนน, สมรรถนะของรถจำพวกอัตราเร่งหรือการบังคับควบคุม จนสามารถสร้างความแตกต่างให้กับลูกค้าได้

ส่วนผสมคุณค่าใหม่ที่จะแนะนำในวันนี้คือ “ความคุ้มค่า” อุปกรณ์มาตรฐานรุ่นล่างให้ข้าวของครบครันไม่แตกต่างจากรุ่นกลางและบน !! และเมื่อนำส่วนผสมทั้ง 3 อย่างมารวมกันก็กลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมาก ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้าแบบฉับพลัน

คุณผู้อ่านลองคิดดูว่าถ้าเราอยากได้รถเล็กขนาด 1.5 ลิตรที่มีถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ABS+EBD, ล้อแมกซ์ครบ ๆ คุณก็จะต้องจ่ายราคา 6 แสนบาทขึ้นไป แต่วันนี้คุณสามารถเลือก Mazda 2 MY2011 ได้ในราคาต่ำกว่า 6 แสนบาทเพียงเท่านั้น และเมื่อรวมปัจจัยอันโดดเด่นผนวกกัน ใคร ๆ ก็ต้องชงักเมื่อจะซื้อรถคู่แข่งบ้างล่ะ (แต่เราขอเรียนตามตรงว่าเกมนี้เป็นเกมดึงยอดขาย Toyota Vios เกรด J และ E เข้ามาหา Mazda 2 มากขึ้น)

และอีกสาเหตุสำคัญที่จะต้องเปิดตัว Mazda MY2011 ในเดือนสิงหาคมก็คือ Mazda ต้องการเร่งยอดขายในช่วงปลายปีนี้อย่างหนักหน่วง อันเนื่องจากเสียเวลาและเสียโอกาสในการขายช่วงแผ่นดินไหวในญี่ปุ่นเดือนมีนาคมเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ Mazda ยังประกาศชื่อรุ่นตัวถัง Mazda 2 แยกย่อยอย่างเป็นทางการ Mazda 2 แฮทช์แบคมาในชื่อ Mazda 2 Sports (มีตัว s ลงท้าย) พร้อมพรีเซนเตอร์ เป้ อารักษ์ และตัวถังซีดานจะมาในชื่อ Mazda 2 Elegance พร้อมพรีเซนเตอร์ แบรี่ ณเดชน์ เช่นเคย

อุปกรณ์มาตรฐานสุดคุ้มค่าที่ติดตั้งใน Mazda 2 Sports ทุกรุ่น ได้แก่
-เบาะหลังพับแยกได้ 60:40
-ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
-กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า
-ล้ออัลลอยด์และยางตามขนาด โดยเฉพาะรุ่นล่าง Groove ให้ล้ออัลลอยด์ขนาด 15 นิ้วจากรุ่นท๊อปของรุ่นปีที่แล้วมาติดตั้งแทนล้อกระทะ

Mazda 2 Sports เกรด Spirit เปลี่ยนล้ออัลลอยด์ขนาด 16 นิ้วพร้อมยาง 195/45 R16 และ Mazda 2 Sports เกรด Maxx ติดตั้งชุด DVD จอสัมผัส 7 นิ้ว, ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ Bluetooth, ช่องเชื่อมต่อ USB และ SDcard

อุปกรณ์มาตรฐานสำหรับ Mazda 2 Elegance ตัวถังซีดานทุกรุ่น ได้แก่
-เบาะหลังพับแยกได้ 60:40
-ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
-กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า
-ล้ออัลลอยด์และยางตามขนาด โดยเฉพาะรุ่นล่าง Groove ให้ล้ออัลลอยด์ขนาด 15 นิ้ว

Mazda 2 Elegance เกรด Spirit ติดตั้งล้ออัลลอยด์พร้อมยางขนาด 16 นิ้ว, ช่วงล่างแบบสปอร์ต, กันชนหน้าและกระจังหน้าสไตล์สปอร์ต (ยกชุดจากตัวถังแฮทช์แบค), สเกิร์ตข้าง, สปอยเลอร์ท้าย, ไฟตัดหมอกหน้า

Mazda 2 Elegance เกรด Maxx ติดตั้งชุด DVD จอสัมผัส 7 นิ้ว, ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ Bluetooth, ช่องเชื่อมต่อ USB และ SDcard

ราคาในแต่ละรุ่นของมาสด้า2 รุ่นปรับโฉมใหม่ปี 2011 ประกอบด้วย

Mazda เตรียมปล่อยแคมเปญการตลาด Mazda 2 MY2011 นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ I’m Watching You รวมทั้งการใช้สื่อออนไลน์และออฟไลน์ครบครัน

การเปิดตัว Mazda 2 MY2011 จะช่วยทำให้ยอดขาย Mazda 2 ภายในปีนี้ทะลุ 26,000 คันได้อย่างราบรื่นและส่งผลให้ยอดขายรวม Mazda แตะ 4 หมื่นคันภายในปีนี้ได้