” ถ้าเกิดคุณอยากขับรถไปในทะเลทราย แล้วขับกลับออกมาได้ด้วย ให้เอา Land Cruiser ไป ”
นี่เป็นคำกล่าวดั้งเดิม ของชาวออสเตรเลียผู้อาศัยอยู่ในแถบ Outback ทะเลทรายเวิ้งว้างขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นถิ่นทุรกันดาร และ ระบบสาธารณูปโภคไม่อาจเข้าถึงได้ ในพื้นที่เช่นนี้ รถยนต์ที่ใช้จะต้องมีความทนทาน สมบุกสมบัน และ สามารถเดินทางไปยังพื้นที่ทุกที่ได้ แม้ว่าจะไม่มีถนนก็ตาม และ นี่ทำให้ชาวออสเตรเลีย นิยม Toyota Land Cruiser มากเสียจนครองตลาด Outback ไปได้ นับตั้งแต่เปิดทำตลาดครั้งแรก และ ยังได้รับความนิยมในท้องถิ่นทุรกันดาร อื่นๆทั่วโลกอีกด้วย
Toyota Land Cruiser Prado ก็เป็นหนึ่งในการแบ่งรุ่นของ Land Cruiser ในยุค 80 แบ่งเป็นรุ่น J60 รถที่เน้นทำตลาดรถ Off-Road สมบุกสมบัน ซึ่งยังคงทำตลาดมาจนถึงปัจจุบัน และ รุ่น Land Cruiser V8 ซึ่งเป็นรถที่เน้นความสะดวกสบายในการโดยสาร หลังจากนั้นถูกพัฒนาต่อมาเป็น SUV หรูหราที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน และ Land Cruiser Prado ซึ่งเป็น Land Cruiser ที่มีขนาดเล็ก กะทัดรัดกว่า แต่ยังคงความหรูหราเอาไว้
Land Cruiser Prado รุ่นปัจจุบันนั้น ถูกทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2009 และ ได้รับการปรับโฉม Minorchange ครั้งใหญ่ไปแล้วในปี 2013 และ มาวันนี้ Toyota ก็ได้เปิดตัว Land Cruiser Prado Minorchange รอบที่ 2 ในงาน Frankfurt International Motorshow
ภายนอกนั้น ส่วนที่ปรับเปลี่ยนชัดเจนมากที่สุดคือ ดีไซน์ด้านหน้าที่เปลี่ยนใหม่ทั้งหมด โดดเด่นด้วยไฟหน้า Projectors Lens พร้อม Daytime Running Lights ที่มีความโฉบเฉี่ยว และ สมส่วนมากกว่ารุ่นเดิม
กระจังหน้าทรง 6 เหลี่ยมหน้าชัน ลายตั้ง, เปลือกกันชนหน้า, ไฟตัดหมอกเปลี่ยนทรงเป็นสี่เหลี่ยมคางหมู และ มีการเพิ่มเส้นสายเหลี่ยมสันที่บึกบึนมากขึ้น อีกทั้งยังคำนึงถึงความสามารถในการลุยน้ำอีกด้วย เพราะสุดท้ายแล้ว แม้ว่า Land Cruiser Prado จะหรูหราขึ้นเพียงใด แต่ความสามารถในการลุยนั้นก็ยังคงเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการออกแบบ
ด้านท้าย มาพร้อมกับไฟท้าย LED ทรงใหม่ หลุมสำหรับป้ายทะเบียนที่ถูกออกแบบใหม่ให้เล็กลง และ เปลือกกันชนใหม่
ล้ออัลลอย เป็นลายใหม่ทั้งหมด มีตั้งแต่ขนาด 17 นิ้ว, 18 นิ้ว ไปจนถึง 19 นิ้ว และ สีตัวถังภายนอก มีให้เลือกถึง 10 สีด้วยกัน โดยมีใหม่เพิ่มมาอีก 2 สี คือ
- สีน้ำเงิน Midnight Emerald Blue
- สีทอง Avant-Garde Bronze Metallic
มิติตัวรถโดยรวม มีขนาดยาวขึ้นจากเดิมเล็กน้อย เป็นผลมาจากการเพิ่มความยาว Overhang ของตัวรถ แต่เพื่อให้ความสามารถในการปีนป่ายนั้นยังคงทำได้ดี มุมของกันชนได้มีการออกแบบให้ชันขึ้น สามารถปีนขึ้นเนินที่มีองศาสูงมากขึ้นจากเดิมได้
ภายในห้องโดยสาร มีการปรับเปลี่ยนในหลายๆจุดด้วยกัน ถึงแม้แผงประตู และ ช่องแอร์ซ้ายขวา จะไม่ต่างจากเดิม แต่ส่วนอื่นๆ เช่น ชุดมาตรวัด แดชบอร์ดหน้า, หน้าจอเครื่องเสียง, แผงควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศ รวมไปถึงพวงมาลัย 4 ก้าน ทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วถูกเปลี่ยนไปจากเดิม โดยการออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจาก Toyota Land Cruiser V8 รุ่นใหญ่ ทำให้ภายในของ Land Cruiser Prado ใหม่นี้ มีความหรูหราไม่น้อยเลยทีเดียว
แผงควบคุมระบบปรับอากาศ ถูกปรับให้เป็นแบบปุ่มกดทั้งหมด สวิตซ์ควบคุมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ถูกขยายขนาดใหญ่ขึ้น กดได้ง่ายขึ้น อีกทั้งชุดเครื่องเสียง ยังมาพร้อมกับหน้าจอระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว
ชุดมาตรวัดดีไซน์ใหม่ เป็นแบบเรืองแสง Optitron การจัดวางตัวเลขเป็นแบบโค้งไปตามขอบมาตรวัด แทรกด้วยหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID แบบ สี TFT ขนาด 4.2 นิ้ว เพื่อบอกข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับตัวรถ เชื่อมโยงเข้ากับระบบ Infotainment สามารถแสดงข้อมูลเกี่ยวกับ วิทยุ, เครื่องเล่นเพลง, ระบบนำทาง, อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง, โหมดของระบบขับเคลื่อน และอื่นๆอีกมากมาย
นอกจากนี้ Toyota ยังได้มีการติดตั้งระบบ Toyota Safety Sense ซึ่งเป็นการรวมระบบความปลอดภัยต่างๆเอาไว้ให้กับรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ที่เป็นรุ่นสูงสุด โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ระบบการเตือนก่อนเกิดการชน Pre-Collision System (PCS) พร้อมกับระบบตรวจจับคนเดินถนน
- ระบบควบคุมความเร็ว Adaptive Cruise Control (ACC)
- ระบบการเตือนเมื่อรถหลุดออกจากเลน Lane Departure Alert (LDA)
- ระบบไฟหน้าอัตโนมัติ Automatic High Beam (AHB)
- ระบบเตือนจุดบอด Blind Spot Monitoring (BSM) พร้อม Rear Cross Traffic Alert
- ระบบตรวจจับลมยาง Tyre Pressue Warning System (TPWS)
ขุมพลังของ Toyota Land Cruiser Prado เวอร์ชั่นยุโรป จะมีให้เลือกด้วยกัน 3 แบบ
ดีเซล 2.8 ลิตร
เครื่องยนต์ดีเซล รหัส 1GD-FTV 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน ขนาด 2,755 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 92.0 x 103.6 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.6 : 1 หัวฉีด Commonrail พ่วงระบบอัดอากาศแปรผัน Variable Nozzle Turbocharger และ Intercooler แรงม้าสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full time 4WD (transfer with Torsen ⓇLSD)
เบนซิน 2.7 ลิตร
เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2TR-FE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน Dual VVT-i ขนาด 2,694 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 95.0 x 95.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.6 : 1 หัวฉีด Multipoint EFi แรงม้าสูงสุด 161 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 246 นิวตันเมตร ที่ 3,900 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full time 4WD (transfer with Torsen ⓇLSD)
เบนซิน V6 4.0 ลิตร
เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 1GR-FE V6 สูบ DOHC 24 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน Dual VVT-i ขนาด 3,956 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 94.0 x 95.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.4 : 1 หัวฉีด Multipoint EFi กำลังสูงสุด 249 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 381 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full time 4WD (transfer with Torsen ⓇLSD)
ในฝั่งยุโรป ยังไม่มีการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ แต่ในอีกฟากหนึ่งที่ญี่ปุ่น มีการเปิดตัวเช่นเดียวกัน มีให้เลือกเพียง 2 เครื่องยนต์คือ เบนซิน 2.7 ลิตร และ ดีเซล 2.8 ลิตร (ไม่มีเบนซิน V6 4.0 ลิตร เหมือนอย่างฝั่งยุโรป) มีให้เลือกทั้งแบบ 5 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง
- เบนซิน 2.7 ลิตร ราคาอยู่ระหว่าง 3,538,080 – 4,202,280 เยน (ประมาณ 1,064,000 – 1,264,000 บาท) *ยังไม่รวมภาษีของประเทศไทย
- ดีเซล 2.8 ลิตร ราคาอยู่ระหว่าง 4,152,600 – 5,363,280 เยน (ประมาณ 1,249,000 – 1,613,000 บาท) *ยังไม่รวมภาษีของประเทศไทย
ที่มา : Toyota Europe, Toyota Japan