วันที่ 3 พฤศจิกายน
ผมตื่นตั้งแต่ตีสาม เพื่อนั่งรถแท็กซี่มาสนามบินสุวรรณภูมิให้ทันเที่ยวบินไปลงนาริตะ
รอบเช้าของสายการบิน All Nippon Airways ..ทำไมถึงบินกับ NH แล้วไม่บิน TG?
ไม่รักชาติหรือเปล่า? ผมขอตอบเลยว่าเปล่าครับ แต่หลังจากเดินหาตั๋วในงานไทยเที่ยวนอก
ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ ก็พบว่าตั๋วราคา 16,400 บาทของ NH มันดูแล้วคุ้มกว่าของ TG
เพราะผมเดินทางคนเดียว ถ้าอยากได้ราคานี้ TG ต้องเดินทางสองคนไงครับ อันที่จริงในใจผม
ไม่ได้ภักดีกับสายการบินใดเป็นพิเศษ (ซึ่งก็เหมือนกับค่ายรถซึ่งผมไม่ได้ชอบค่ายไหนมากแบบ
สุดโต่ง อาจจะมีชอบมากกว่าปกติ ซึ่งท้ายสุดมันก็แล้วแต่ผลงานที่ค่ายนั้นทำออกมานั่นแหละ
ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ) การเลือกสายการบินของผม ผมขอแค่มีบริการที่สุภาพ สมเหตุสมผล
มีประวัติการรักษาเวลาที่ดี มีเก้าอี้ที่สบายพอ มีระบบการจองที่นั่งและเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ดี
แค่นั้นก็พอ ที่เหลือก็คือราคาตั๋วนั่นแหละ ใครถูกสุดผมก็ซื้อตั๋วของคนนั้น
เสียอย่างเดียวคือผมอยากนั่งไอ้เจ้าเครื่องบินใหม่ 787 Dreamliner แต่เจ้ากรรม ทั้งเที่ยวบิน
รอบเช้าตรู่ของผม และเที่ยวบินขากลับที่ออกจากนาริตะตอนเย็นนั้นล้วนเป็น 777-200ER
เจ้าเก่าทั้งคู่ ผมเลยแอบเซ็งหน่อยๆ
อย่างที่ได้เรียนให้ทราบไปแล้วว่าทริปนี้ ผมเดินทางคนเดียว เป็นการเดินทางไปต่างประเทศ
โดยตัวคนเดียวครั้งแรกในชีวิต ซึ่งหลายคนจะเข้าใจว่าผมคงอกหักหรือเป็นโรคทางประสาท
อะไรสักอย่างถึงอยากปลีกวิเวกไปคนเดียว เปล่าเลย อันที่จริงมีเด็กวัยรุ่นไทยอายุน้อยกว่าผม
เป็นสิบปี เป็นผู้หญิง เดินทางเที่ยวไปยังประเทศต่างๆรอบโลกตั้งหลายคนมาแล้ว ชายวัยกลางคน
หัวหงอก 1/4 เป็นสกังค์สไตล์แบบผมอยากไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่สำคัญ การเที่ยวคนเดียว
มันคืออิสระ ระหว่างทริปที่ไป Free กับทริปที่ไม่ Free แต่มี Freedom ในการจัดตารางเลือกเที่ยว
ตามใจตัวเอง ผมเลือกอย่างหลัง และเลือกที่จะไม่เที่ยวแบบ “แข่งกันใช้เงินน้อย” แบบที่
วัยรุ่นเขานิยมกัน ผมชอบการเที่ยวแบบที่มีความสะดวก สมดุลย์กันระหว่างงบประมาณ, ความเสี่ยง
และความสุขมากกว่า
การเดินทางค่อนข้างเรียบร้อย ใน Boeing 777 นี่ ผมค้นจากเว็บไซต์ Seatguru แล้วเลือก
ที่นั่งหมายเลข 41 A เพราะในช่วงท้ายๆลำของเครื่องบิน แถวที่นั่งจะเปลี่ยนจาก 3-3-3
กลายเป็น 2-3-2 ทำให้แม้เราเลือกนั่งริมหน้าต่างแล้วเกิดปวดท้องกระทันหันระหว่างบิน
เราก็แค่เบียด เหยียบ อัด ถู ผู้โดยสารที่นั่งริมทางเดิน 1 คนแทนที่จะเป็น 2 และผมไม่ชอบ
นั่งริมทางเดินเพราะบางทีคนเดินไปเดินมาหรือรถเข็นอาหารชอบมาชน ไหล่ผมมันไม่ได้
แคบเท่ามนุษย์ปกติเสียด้วย ดังนั้นการเลือกนั่งริ่มหน้าต่าง นอกจากจะได้วิวแล้ว ผมยัง
สามารถเทตัวเอียงไปชิดทางหน้าต่างได้ ไม่เอาไหล่ไปเบียดเบียนเนื้อที่ของคนนั่งข้างๆ
เพราะขี้เกียจโดนเอาไปเขียนบ่นลง Social Network ว่าเป็นไอ้อ้วนที่ก่อความรำคาญ
กับผู้โดยสารคนอื่น
อีกวิธีนึงที่ผมใช้ในการขอสัมปทาน “เนื้อที่ในการเบียด” คนข้างๆคือยิ้มให้ คอยหยิบ
ของที่เขาทำหล่นให้ และยิ้มให้ คนที่นั่งข้างผมเป็นฝรั่งมาจากอเมริกาตะวันออก
พอรู้ว่าผมพูดภาษาอังกฤษได้เลยพูดคุยกันออกรส หัวข้อที่มันส์ที่สุดคือเม้าธ์สายการบิน
United Airlines ซึ่งผมเคยนั่งเมื่อปี 2013 และตาฝรั่งนายนี้จะต้องนั่งจากโตเกียว
กลับไปอเมริกาต่อ เราเห็นตรงกันทุกอย่างครับทั้งเรื่องความคับแคบของที่นั่ง การบริหาร
บริการ และสิ่งง่ายๆที่เรียกว่า “การพูดจา” ของพนักงานในเครื่อง ผมยกตัวอย่างวิธีการ
เตือนให้ปิดมือถือก่อนเครื่องขึ้นหรือลงจอด กับ ANA หรือ TG พนักงานจะขอให้ผมปิด
มือถืออย่างสุภาพ ยิ่งถ้าเป็น ANA นี่จะมีโค้งตัวให้ดูงามเรียบร้อย แต่ถ้าเป็น UA น่ะเหรอ
พนักงานจะเอานิ้วมาเคาะตรงหน้าจอมือถือ จากนั้นก็โบกนิ้วไปมาทำนองว่าไม่ให้เล่น
นี่คือสิ่งที่พบกับตัวเองมาแล้วในการเดินทางครั้งก่อน
ผมนึกว่ามันอาจจะเป็นเพราะวัฒนธรรมญี่ปุ่น กับอเมริกันที่แตกต่างกัน แต่ฝรั่งที่นั่งข้างผม
เขาก็บอกว่าวัฒนธรรมที่แตกต่างกับการเลือกที่จะไม่สุภาพนี่มันไม่ได้แยกออกจากกัน
ยากขนาดนั้น พอรู้ตัวอีกทีเราก็นั่งจิบเครื่องดื่มเบียดขาเบียดไหล่คุยกันได้เป็นปกติแล้ว
เที่ยวบินวันนี้ถึงนาริตะไวกว่ากำหนดเกือบครึ่งชั่วโมง กัปตันเล่นปรับบูสท์ดันรางเฆี่ยน
เจ้า 777 2 เครื่องยนต์ด้วยความเร็ว 1,020 กม./ชม.มาตลอดครึ่งหลังของการเดินทาง
พอลงถึงสนามบิน ผมก็จับกล้องถ่ายภาพเครื่องบินเล่นไปเรื่อยๆ ตามประสาคนเดินทางคนเดียว
ไม่ต้องแคร์อะไร กองตรวจคนเข้าเมืองก็ยังทำงานกันอย่างสุภาพและรวดเร็วเหมือนเคย
ชนิดที่ตาลุงคุมคิวแกจะสอดส่ายสายตามองตลอด “อย่าให้กูเห็นนะ ว่าตรงไหนมีคนรอ..
ถ้ามีคนยืนรอ กูจับหาที่ให้เข้าตรวจหมด” ..ตรงนี้เป็นความรู้สึกดีที่แตกต่างจากฮ่องกงกับ
ไต้หวันมากครับ
รับกระเป๋ามาเสร็จ ก็ถึงด่านตรวจศุลกากร ผมยืนเล็งอยู่นานว่าจะเข้าช่องไหนดี ช่องพี่
เจ้าหน้าที่หน้าโหดนั่นไม่น่าจะเวิร์ก เข้าช่องปีกซ้ายนี่แหละ เป็นไอ้แว่นหน้าเหมือนคิคุจิ
ในการ์ตูน GTO แต่ดูเนิร์ดๆยิ้มแหยๆ เอาละวุ้ยช่องนี้แหละ กูรอดแน่..ปรากฏว่าคิดผิดครับ
ตาแว่นนี่แกขาวๆยิ้มๆตาตี่ๆจริง แต่พอดูหนังสือเดินทางผมเสร็จ แกซักชนิดเกือบถึงชื่อพ่อ
ว่ามาโตเกียว มาทำอะไร [ผมมา Tokyo Motorshow ครับ] พักที่ไหน [Ueno New Izu ครับ]
คุณทำอาชีพอะไร [เป็น Freelance Journalist ครับ] นอกจากนั้นมีถามด้วยว่าทำงานที่ไหน
ผมก็ชูนามบัตรให้ดู (แหม..ดีนะว่าพกติดมา) จากนั้นก็เปิดดูกระเป๋าทีละใบ ค้นชนิดทุกซอก
เอาออกมาดูแม้กระทั่ง USB Drive หรือปลั๊กเสียบและสายชาร์จต่างๆ
แต่ตลอดการค้น พี่แว่นแกยิ้มตลอด และใช้วาจาสุภาพมาก เช่น “ขอเปิดช่องนี้ได้ไหมครับ”
“ในนี้มีอะไรครับ” “ของชิ้นนี้คืออะไรครับ” มีตื่นเต้นหน่อยตอนเจอแพ็คขวดยามหาหิงค์
3 ขวดที่ผมเอามาฝากลูกน้อยวัยทารกของเหมียว (รุ่นน้องที่แต่งงานกับทหารอากาศอเมริกัน
แล้วมาอยู่ที่ญี่ปุ่นนี่) ผมพยายามอธิบายว่ามันเป็นยาสูตรโบราณ เป็นโลชั่น ญี่ปุ่นเปิดขวดดม
แล้วก็ทำหน้าเหมือนพบปะถังขี้ ผมจึงบอกว่ามันเอาไว้ใช้ทาท้องเด็ก เด็กทาแล้วจะ Fart (ตด)
“Fart?!?” ตาแว่นยิ่งทำหน้างง ผมเลยตัดบทด้วยการบอกว่า “It’s prescripted from hospital”
แล้วก็ชูใบเสร็จให้ดูว่าเป็นยาที่ซื้อจากโรงพยาบาลหัวเฉียว พี่แว่นถึงยอมปล่อยมา
ผมไม่รู้ว่าตั้งแต่เปิดเสรี No Visa ให้คนไทยเข้าญี่ปุ่นนั้น พวกเราไปสร้างชื่อเสียงอะไร
ไว้กับทางตม.ญี่ปุ่นหรือเปล่า ผมไปญี่ปุ่นมาหลายรอบ รอบนี้คือรอบที่โดนค้นหนักที่สุด
ดังนั้นใครจะเดินทางมาช่วงนี้ ..ของประเภทที่เขาห้ามเอาเข้าประเทศ ก็อย่าลักไก่นะครับ
จากสนามบินนาริตะ เดินทางเข้าโตเกียวนั้นมีหลายวิธี ปกติผมจะใช้บริการรถบัส
Friendly Airport Limousine ซึ่งต้องนั่งไปลงในเมืองและเสียค่าแท็กซี่ไปลงโรงแรม
ต่ออีกทอด รวมแล้วเป็นเงินราว 4,500 เยนได้ มาคราวนี้ผมจึงลองนั่งรถไฟ Keisei Skyliner
ซึ่งมีปลายทางอยู่ที่สถานี Ueno ซึ่งที่พักของผมก็อยู่บริเวณนั้นพอดี สามารถเดินถึงกันได้
ค่าตั๋ว 2,470 เยน เมื่อได้ตั๋วมา คนขายจะบอกว่าโบกี้ (Car No.) ที่เท่าไหร่ และที่นั่งอะไร
จากนั้นก็หอบกระเป๋าเดินลงชั้นล่าง (สำหรับ ANA ซึ่งอยู่อาคาร Terminal 1 South Wing
สถานีรถไฟจะอยู่ข้างใต้อาคารสนามบิน) โดยต้องเดินลงไปไกลพอสมควร และเกือบเดิน
ไปผิดแทร็ค เพราะป้ายบอกทางมันเยอะเหลือเกินครับ สุดท้ายเลยเดินไปหาเจ้าหน้าที่
โดยพูด สุมิมาเซ็ง เอาตั๋วยื่นให้เขาดู แล้วถามว่า Where to go? (อย่าลืมครับ คุยภาษาอังกฤษ
กับคนญี่ปุ่น ให้ใช้ภาษาที่สั้น ง่าย และไม่ต้องมืออาชีพด้านสำเนียงมาก) เขาก็ชี้ทางไปให้
จนในที่สุดก็ขึ้นรถได้สำเร็จ
ข้อดีสำหรับคนอยู่ Ueno หรือ Nippori คือ รถไฟของ Keisei (อ่านว่า เคเซ ไม่ใช่ไคไซ)
Skyliner จะวิ่งเข้ามาเส้นเดียวกับพวกรถไฟ JR ดังนั้นจึงสามารถลากกระเป๋าเดินไปที่พักได้
แม้ว่าจะค่อนข้างลำบากพอสมควร ไม่เหมาะกับคนแก่ คนมีปัญหากับมือ ข้อ และหลังที่เอา
กระเป๋าหนักๆติดตัวมาเยอะ แต่ผมมีกระเป๋า 19 โล ใบเดียวกับกระเป๋าสะพายติดตัวเลยไม่มีปัญหา
นอกจากนี้ Keisei Skyliner ใช้เวลาวิ่งจากนาริตะถึง Ueno แค่ราว 40 นาทีครับ เร็วมาก
และสบายมากด้วยเพราะเป็นที่นั่งแบบจองเลข ของใครของมัน ไม่มีใครมาเบียด และต่อให้
เป็นช่วงเวลา 4 โมงเย็น ตัวรถก็ยังว่างมาก เพราะพวกทัวร์ไทยทัวร์จีนส่วนมากจะชอบนั่งรถไฟ
สายที่ราคาถูกกว่า
ถึงสถานี Keisei Ueno ก็ลากกระเป๋าเดินออกมาที่ถนน ข้ามถนนตามชาวบ้านเขามามั่วๆ
จากนั้นก็เห็นสะพานลอย พอขึ้นสะพานลอยไปก็หันกลับมาถ่ายรูปที่เห็นข้างบนนี้ ตรงกลาง
จะเห็นรางรถไฟของ JR ซึ่งจะมีสายเขียว Yamanote กับสายสีฟ้า Keihin Tohoku วิ่งผ่าน
ทางซ้ายของภาพเป็นร้านอาหาร, ร้านขายของ และที่เกือบชิดรางรถไฟนั่นเป็นร้านของเล่น
ชื่อดังของย่านนี้ครับ ส่วน JR Ueno Station จะอยู่ทางขวามือ ตรงที่เขียนว่า Atre นั่นล่ะครับ
ผมเลือกพักโรงแรม Ueno New Izu Hotel หลังจากที่ค้นหาและเปรียบเทียบ
กับโรงแรมอื่นๆใน Agoda อยู่นาน เนื่องจากไม่เคยมาพักแถวนี้เลย จึงต้องคิด
วิเคราะห์จากเสียงรีวิวใน Agoda เอาเอง โรงแรมนี้โดนด่าน้อยสุดแล้วครับ ราคาที่
จองผ่าน Agoda ตั้งแต่เดือนกันยายนนั้นอยู่ที่คืนละประมาณ 2,400 บาท สำหรับ
ห้องนอนคนเดียวอย่างในภาพ โรงแรมจะอยู่ในซอยเล็กๆที่พื้นปูด้วยอิฐตัวหนอน
อยู่เยื้องกับโรงพยาบาล มีร้านสะดวกซื้อ Lawson ขนาดเล็กอยู่ชั้น 1 ห้องจะแคบ
ไม่เหมาะสำหรับคนของเยอะ (รูปนี่ถ่ายตอนเปิดประตูเข้าไป) แต่สำหรับผมถือว่า
สบายพอใช้ (โรงแรม Tokyu Stay Suidobashi ห้องจะกว้างกว่าแต่แพงกว่าเล็กน้อย)
สำหรับราคานี้ ผมถือว่าดีทุกอย่าง อยู่ห่างสถานี JR Ueno ไม่มาก คนอ้วนแบบผมเดิน
แล้วไม่เหนื่อย คนผอมก็อย่าบ่น แถวๆโรงแรมเป็นโรงพยาบาล มีอะไรฉุกเฉินขอให้มีตังค์
ก็หายห่วง และที่สำคัญคือเงียบ ไม่มีเสียงรถซิ่งหรือคาราโอเกะอึกทึก จะมีข้อเสียอย่างเดียว
ก็คือระบบปรับอากาศจะปรับได้แค่แรงลม เราปรับอุณหภูมิไม่ได้ วันไหนร้อนมันจะเป็นแอร์
วันไหนหนาวมันก็จะออกมาเป็นลมร้อน และบางทีมันก็ออกร้อนเย็นแบบมั่วๆ คืนแรกผม
ไม่รู้วิธีใช้ปุ่มก็เลยปิดทุกอย่าง นอนหนาวสั่นทั้งคืนจนต้องเอากางเกงขายาวและเสื้อ
มาใส่นอน พอตอนหลังไปถามเจ้าหน้าที่ที่ Front Desk โดยถ่ายรูปสวิตช์อันนั้นไปถาม
ว่า “Hot or Cold” Front Desk เป็นชายแว่นวัย 30 ต้นก็ตอบว่า “Not Hot” แต่สักพัก
ก็ขอเปลี่ยนเป็น “Not Cool” แล้วก็เปลี่ยนเป็น “Not Hot” เล่นเอางงตาแตกจนผมเข้าใจ
ว่าห้องตัวเองไม่มีฮีทเตอร์..ต้องให้คนไทยที่เป็น Facebook Friend กับผมนี่ล่ะครับมาเฉลย
ตอนหลังว่ามันเป็นระบบปรับตามใจตัวมัน ผมจึงกล้าใช้และคืนหลังๆก็นอนสบายขึ้น
สรุปคือในสายตาผม ราคาระดับนี้ (ช่วงเดือนพ.ย.ราคาจะแรงมากถ้าไม่รีบจอง)
Ueno New Izu ตำแหน่งที่ตั้งดี ใกล้ตลาด Ameyoko มีร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ มีตู้กดน้ำ กาแฟ
เบียร์ ตลอดทาง เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดห้องจนผมต้องขอให้เว้นบางวัน เปลี่ยนผ้าเช็ดตัวให้ทุกวัน
ผมว่าคุ้มครับ แต่ถ้าคุณขี้หนาว ขี้ร้อน sensitive กับอุณหภูมิ ขอให้ลองชั่งใจให้ดีครับ
และช่วง Drive Through ในวันนี้ขอเสนอ..
เดี๋ยว นั่นมันช่วงในรายการ Drive by Shooting ของจิมมี่นี่หว่า ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่า
เดินทางไปไหนผมก็ต้องหาที่กินให้หนำใจ คราวที่แล้วปี 2013 ได้กินเศษเดนซูชิไม่กี่ชิ้น
คราวนี้จึงเปรียบเสมือนมีแค้นต้องชำระ มันบังเอิ๊ญ บังเอิญด้วยที่คุณผู้อ่านและเพื่อนผม
คุณนัทชัย กับคุณอ้วน แกมาคุมทัวร์ญี่ปุ่นเพิ่งเสร็จ แล้วก็ว่างพอดี เลยมานัดเจอกันที่
สถานี Ueno แล้วก็ตกลงว่าจะลองร้านซูชิ ชื่อร้าน Miuramisakikou Ueno ซึ่งเป็นร้าน
ซูชิสายพาน (Conveyor Belt Sushi) ที่มีคนไทยหลายคนไปกินแล้วโพสท์แชร์กันบนเว็บ
มีหลายคนบอกอร่อย หลายคนบอกงั้นๆแต่คุ้มราคา บางคนบอกหมาไม่dag คนก็ยิ่งไม่dag
ผมเลยต้องเข้าไปลองซะหน่อย ตัวร้านอยู่ในตลาด Ameyoko ครับ เห็นในภาพข้างบนมั้ย?
ซอยที่มีรถสีขาวจอดอยู่แล้วอยู่ติดกับรางรถไฟ มีร้าน Uniqlo อยู่ข้างหน้า นั่นแหละ
เดินเข้าไปเลย
เดินเข้าซอยไป ร้านจะอยู่ขวามือ..ในรูปนี้ดูเหมือนอยู่ซ้ายเพราะผมเล่นเดินเลยร้านไป
แล้วค่อยถ่ายย้อนกลับมา..คิวหน้าร้านตอนผมมาถึงยาวมากครับ แถมต่อคิวไป 30 นาที
แล้วเพิ่งจะทราบว่าต้องไปลงชื่อ กับจำนวนคนไว้ที่สมุดที่เขาวางไว้หน้าร้านด้วย
คุณอ้วนแกเลยไปลงชื่อไว้ว่า “Yamada, 3 ที่นั่ง” แล้วก็รอต่ออีกเกือบครึ่งชั่วโมงถึงจะ
ได้ที่นั่ง..อันที่จริงเขาก็เขียนไว้ครับว่าให้ลงชื่อในสมุด แต่มันกวนตีนตรงที่เขียนไว้บนเก้าอี้
ซึ่งบนเก้าอี้ก็มีคนอื่นนั่งทับอยู่ แล้วใครจะไปทราบได้วะ ว่าต้องลงชื่อจองด้วย?
ที่คิวมันยาว เพราะในร้านมีที่นั่งน้อยมากครับ พอเข้านั่งเสร็จก็เอากระปุกฝาขาวๆ
ที่อยู่ตรงหน้ามาเปิด ตักชาเขียวผงใส่แก้ว แล้วก็กดน้ำร้อนที่ก๊อกทรงโค้งๆตรงหน้า
บริการตัวเองกันตามสบาย อยากกินซูชิจานไหนก็ดูราคาตามสีจาน ถูกสุดคือ 100 เยน
(30 บาท) แพงสุดคือ 660 เยน (ประมาณ 200 บาท) นอกเหนือจากนี้ไปให้เปิดเมนู
สั่งเอา คุณสามารถขอเมนูภาษาอังกฤษเขาได้ครับ ผมก็ขอมั่วๆไป “English Menu Kudasai”
แล้วก็จิ้มนิ้วสั่งเอาได้เลย
นี่คือตัวอย่างที่ผมลองเอามาให้ดูเล่นๆ ซ้ายบนคือซูชิไข่ Salmon (อิคุระซุฉิ)
รสชาติมันเค็มคาวใช้ได้ ถือว่าอร่อย 7.5/10 ส่วนซาบะดองนั้นจะค่อนข้าง
เปรี้ยว มัน และนุ่มลื่น (บ้านเราส่วนมากเนื้อซาบะดองจะแห้งจนเหมือนปลาทูทอด)
ปลาหมึกรสชาติปานกลาง (ถือว่ายังไม่สดสะแด่วนัก) ส่วนกุ้งหวานนั่น ให้มาชนิดที่
ไม่รู้จะคีบเข้าปากยังไง ต้องทลายหอคอยกุ้งแล้วเอามือหยิบเข้าปากสถานเดียว
สำหรับรูปล่างซ้ายที่ผมเอานาฬิกามาเทียบนี่คือให้ดูขนาด เห็นเนื้อแดงๆนั่นคือปลาโอครับ
เขาเอาปลาโอส่วนที่เป็นเนื้อติดก้างรอทิ้งมาขูดๆปั้นเป็นก้อน (ตามคติญี่ปุ่นว่าอย่าให้เสียของ)
อร่อยดีและราคาแค่จานละ 100 เยน ส่วนล่างขวานั้นเป็นทูน่า 3 แบบซึ่งผมลองเบิ้ลสองจาน
แล้วคิดว่า 200 บาทไทยได้แค่ไหนก็แค่นั้น รสชาติไม่ได้น่าจดจำมากมายอะไร ส่วนครีบ
ปลาตาเดียว (ไม่ได้ถ่ายมา) ให้เยอะมากจนล้น แต่ครีบปลาตาเดียวจะมันเยิ้มมาก กินแล้ว
จะเลี่ยนมัน ผมลองไปชิ้นเดียวก็จอดเลยครับ
โดยรวม จุดเด่นของซูชิสายพานร้าน Miuramisakikou นี้อยู่ที่ปริมาณเครื่องโรยหน้าซูชิ
มันค่อนข้างเยอะ บางอย่างให้จนล้นเวอร์เลยครับ แถมราคาเช็คบิลออกมายิ้มแป้น เพราะขนาด
ผม, คุณนัท และน้องอ้วน กินกันแบบอิ่มหมีพีมัน เช็คบิลออกมาแค่ 6,220 เยน หรือ 1,866 บาท
จ่ายกันคนละหกร้อย พูดถึงซูชิที่เมืองไทย จะมีที่ไหนได้แบบนี้ในงบเท่านี้ ผมนึกไม่ออกครับ
แต่จุดอ่อนของเขาคือข้าวที่ใช้ทำซูชิครับ..มันร่วนมาก เอาตะเกียบคืบแล้วมือสั่นหน่อยเดียว
ข้าวก็แตกออกเป็นสองเสี่ยง สู้ร้านเมืองไทยหลายร้านยังไม่ได้เลย และถ้าหยิบซูชิจากบนสายพาน
บางทีมันทำไว้นานแล้วเลยไม่ค่อยอร่อย ต่อให้มันมีรายการนั้นอยู่บนสายพาน บางทีผมก็สั่งเชฟ
ให้ทำใหม่สดๆ รสชาติจะต่างกันมากอย่างไม่น่าเชื่อครับ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เรา 3 คนก็แยกย้ายกัน ผมกลับห้องเพื่อไปทำธุรกิจส่งออก
และเตรียมข้าวของสำหรับการเดินทางไป Tokyo Motorshow ในวันรุ่งขึ้น
ผมทราบดีแล้วว่าการเดินมอเตอร์โชว์ในรอบคนทั่วไปนั้นมันไม่สะดวก ถ่ายภาพก็ยาก
บางคนก็เยาะเย้ยผมไว้ตั้งแต่ก่อนออกจากเมืองไทยแล้วว่า “ไปแล้วไม่ชอบหรอก เดี๋ยวคอยดู”
ก็ทำไงได้ละครับ ผมมีนัดสำคัญ วันที่ 30 ตุลาคมไปจนถึงวันที่ 1 จะให้ผมบินไปบินกลับ
ให้เวียนหัวเล่น บังเอิญผมไม่มีเงินให้ผลาญเยอะขนาดนั้นด้วยสิครับ
4 พฤศจิกายน
เนื่องจากมื้อเช้าของโรงแรมราคา 857 เยน ผมจึงหัวหมอพยายามประหยัดด้วยการซื้อขนม
และกาแฟจากร้าน Lawson ชั้นล่างมากินเป็นมือเช้า เพิ่งมารู้ตอนหลังว่าราคาขนมกับกาแฟ
ที่ซื้อมานั่นอีก 300 เยนก็กินอาหารเช้าของทางโรงแรมได้แล้ว แต่ช่างมันเถอะ ขนมปัง
ช็อคโกแลตนี่รสชาติดีครับ ไม่หวานไม่แสบคอเกินไป ส่วนกาแฟเด้าเธอร์ since 1962 นั่น
ออกจะจืดจางบาง ดีว่าดีกว่ากาแฟของยี่ห้อ Boss ครับ แต่เข้มข้นสู้ Birdy บ้านเราไม่ได้เลย
เช้านี้อากาศค่อนข้างดี จะไปไหนมาไหนก็แค่กางเกงยีนส์ เสื้อยืดสองชั้นกับ
แจ็คเก็ตตัวเดียว..ขี้คร้านจะร้อนไปเสียด้วยซ้ำ สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องส้วม (เช่นผม)
โดยเฉพาะพวกที่ขาดกาแฟไม่ได้แต่พอกินกาแฟแล้วจะเกิดอาการปวดมวนท้อง
ผมแนะนำว่า 2 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง กินข้าวเช้ากับกาแฟให้เรียบร้อยครับ
และให้ทานอาหารแข็งก่อนกินกาแฟเสมอ หลังจากนั้นถ้าจะปวดท้องมันก็จะปวด
ก่อนเราออกเดินทาง แต่วิธีนี้ ท่านที่ไปกับทัวร์แล้วเริ่มโปรแกรมเดินทางตั้งแต่
7 โมงเช้า แบบนี้อาจจะตื่นมาดื่มกาแฟก่อนไม่ไหว
ผมให้เวลากับท้องไส้ตัวเองเต็มที่ เพราะจำได้ว่าการไปเข้าห้องน้ำตามงานโชว์
นิทรรศการอะไรก็ตามของญี่ปุ่นที่คนเยอะ คิวห้องน้ำผู้ชาย ยาวกว่าคิวห้องน้ำหญิง
ที่เราเห็นตามห้างดังๆเสียอีกครับ
จากนั้นเมื่อพร้อม ก็สะพายกระเป๋าแล้วค่อยๆเดินจากที่พัก มาจับรถไฟ JR ที่สถานี Ueno
สำหรับคนที่คิดจะเดินทางโดยรถไฟเป็นหลัก นอกจากควรจะพิมพ์แผนที่การเดินรถไฟของ
JR ติดตัวไว้ด้วยแล้ว ท่านที่มีสมาร์ทโฟนก็ควรใช้ Google Map ให้เป็นประโยชน์ เวลาจะเดินทาง
จากที่ไหนไปจุดอื่น ก็ใส่ตำแหน่งที่ต้องการไป จากนั้นเวลาเลือกโหมดการเดินทาง มันจะมี
โหมดรถยนต์ รถไฟ และเดินเท้า ถ้าเราเลือกโหมดรถไฟ มันจะบอกสถานีและค่าโดยสารให้
เสร็จสรรพ ที่สำคัญคือให้สังเกตเวลาของเที่ยวรถไฟให้ดีนะครับ พยายามขึ้นให้ตรงตามที่มันบอก
เพราะบางครั้งรถไฟสีเดียวกัน ชื่อสายเดียวกัน แต่ปลายทางไปสุดไม่เท่ากัน หรือหยุดบางสถานี
ไม่เหมือนกัน จะใช้เทคโนโลยีทั้งทีต้องรอบคอบครับ ถ้ามันบอกให้ขึ้นรถไฟเที่ยว 10.50 น. ก็อย่า
เผลอไปขึ้นเที่ยว 10.47 หรือ 10.53 เป็นอันขาด นอกจากนี้ จำตำแหน่งสถานีสำคัญๆเช่น Tokyo
กับ Akihabara ให้ได้ครับ เพราะสถานีรถไฟบางแห่ง จะไม่มีป้ายแผนที่รถไฟภาษาอังกฤษ
แต่ถ้าเราจำได้ว่า Tokyo อยู่ไหน Shinjuku อยู่ไหน เรื่องมันจะง่ายขึ้น
ผมนั่ง JR จาก Ueno มาลงสถานี Shimbashi ซึ่งอยู่แถวๆ Ginza จากนั้นให้มองหาป้าย
นำทางที่พาไปหา “Yurikamome” เอาไว้ครับ
อาคารที่เป็นสถานีต้นทางของรถโมโนเรล Yurikamome จะอยู่ที่ Shimbashi เนี่ยล่ะ
แต่ต้องเดินออกมาภายนอกสถานี JR ก่อนก็จะเห็นตัวตึก มีบันไดเลื่อนยาวๆให้ขึ้นไป
โชคดีว่าหูผมได้ยินเสียงคนตะโกนภาษาญี่ปุ่น มีคำว่า “โตเกียวมอเตอร์โชว์” อยู่ด้วย
แล้วก็เห็นคนต่อคิวยาวอยู่ตรงทางขึ้นสถานี Yurikamome นั่นเอง ก็เลยเกิดสงสัย
ไปยืนต่อคิวกับเขาด้วย พยายามถามพวกเจ้าหน้าที่แถวนั้นว่า “Tokyo Motorshow
Ticketodeska?” เขาก็พยักหน้าหงึกๆ ก็เลยต่อคิวไปเรื่อยๆ พบว่าสิ่งที่คนต่อคิวซื้อกัน
มันคือตั๋วสำหรับเข้างาน ราคา 1,600 เยน และมาพร้อมกับตั๋ว 1-Day Pass สำหรับ
รถโมโนเรล Yurikamome (ใช้ได้ทั้งวัน) ทั้งหมดราคา 2,000 เยน ถือว่าคุ้มครับ
เพราะถ้าผมซื้อตั๋วขาไปและกลับเอง ก็หมดเงินไป 720 เยนแล้ว ดังนั้นก็ถือว่าประหยัด
เงินไป 320 เยน (90 กว่าบาทแหละ)
Yurikamome เป็นรถไฟที่วิ่งเลียบขอบอ่าวโตเกียว แล้วไปตัดเข้าเกาะ Odaiba
เวลารถคันนึงออกไป คันใหม่จะมาเพียงไม่กี่นาทีครับ ดังนั้นถ้าคุณพบว่าคนเยอะแล้ว
คุณต่อคิวเป็นคนท้ายๆ ก็ไม่ต้องต่อครับ รอคนชุดนึงขึ้นรถไป รอรถออก จากนั้นก็ไปยืน
ต่อคิวเป็นคนแรกเก๋ๆ จะได้ที่นั่งด้วย แต่ผมพลาดตรงที่ไปนั่งบริเวณซึ่งเป็นที่นั่งแบบ
หันหน้าชนกัน และลุงฝั่งตรงข้ามแกนั่งได้แกก็ฟอร์มหลับเลย ผมขยับขาเข้าไปนั่ง
ตรงข้ามแกก็ไม่ได้ ที่นั่งที่เหลือก็ไม่กว้างพอให้คนนั่ง ไอ้เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆมันคง
นึกด่าผมในใจเหมือนกันที่ไม่เผื่อแผ่ที่ให้คนอื่น ผมต้องรอผ่านไปหลายสถานี ลุงแก
เริ่มขยับตัว ผมก็ค่อยๆแซะเข้าไปทีละนิดจนเหลือที่นั่งให้เจ้าหนุ่มที่ยืนอยู่เอาตูดมาแปะ
ลงข้างผมได้บ้าง
สถานที่จัดงาน Tokyo Motorshow คือที่ Tokyo Big Sight ซึ่งอยู่ใกล้กับ
สถานี Kokusai-tenijijo-seimon (ผมจำย่อๆว่า Kokusai) อันที่จริงถ้าใคร
ไม่ชอบการชมวิว ก็สามารถขึ้นรถไฟภาคพื้นดินสาย Rinkai Line มาลงสถานี
ใกล้ Big Sight ได้เหมือนกัน ประหยัดเวลาไป 20 นาที แต่ค่าโดยสารแพงกว่า
และพอลงแล้วต้องเดินไกลกว่าจะมาถึง Tokyo Big Sight ในขณะที่ถ้านั่ง
Yurikamome มานั้น ลงจากสถานีก็มีทางลอยฟ้าเดินเข้าถึงบริเวณงานได้ทันที ในภาพรวม
ผมแนะนำว่าอุดหนุนนัง Yuri มันเถอะครับ เซฟแรงทีนไว้เดินในงานดีกว่า
ตึกทรงแปลกนั่นแหละครับ Tokyo Big Sight
ผมโชคดีมากที่ซื้อตั๋วเข้างานมาจากสถานี Shimbashi เพราะแม้วันนี้จะเป็นวันธรรมดา
ไม่ใช่วันหยุดเทศกาลพิเศษ แต่คนมาเยอะมากครับ เหมือนกับคนทั้งจังหวัดตั้งหน้ามา
ปิคนิกกันที่นี่ คิวซื้อตั๋วเข้างานยาวยังกะ Boeing 787 แล้วก็มี 5-6 แถวตามแต่ละเคาน์เตอร์
ถ้าใครรอซื้อตั๋วตรงนี้ มีครึ่งชั่วโมงได้แน่ๆ ในขณะที่ผมเดินถือตั๋วตัวปลิวเข้างานได้อย่างสบาย
ดังนั้นถ้าในอนาคตใครคิดจะมางาน Tokyo Motorshow เชื่อผมเถอะ..อย่ามาซื้อหน้างาน!
แผนผังอธิบายง่ายๆว่าค่ายไหนอยู่ Hall ไหน ดูแล้วเกลื่อนกลาดดี เหมือนกับ
ผู้จัดงานต้องการให้รถญี่ปุ่นกับยุโรปอยู่แบบคละกัน กันไม่ให้คนเลือกเดินแค่บาง Hall
ส่วนแต่ละ Hall ใหญ่โตขนาดไหนนั้น..ก็เอาเป็นว่าแค่ East Hall ซีกบนก็ใหญ่เท่างาน
มอเตอร์โชว์บ้านเราทั้งงานแล้วครับ เดินกันชนิดข้อเท้าปวด ฝ่าเท้าพองเลยทีเดียว
เนื่องจากมีเวลาเดินแค่วันเดียว ผมจึงตัดสินใจเดินชมเท่าที่เท้าจะสามารถพาไปไหว
ตอนแรกกะจะแยกเดิน 2 วัน แต่มาคิดอีกที เหมาให้จบวันเดียวแล้วเซฟวันนึงไว้ไป
เดินเล่นโชว์รูมรถหรือไปเยี่ยมลูกน้อยเบบี้ที่เพิ่งเกิดใหม่ของเจ้าเหมียวจะดีกว่า
คำเตือนสำหรับคนที่จะมาชม Tokyo Motorshow รอบคนทั่วไป
1. ถ้าคิดจะมาล่าโบรชัวร์รถแต่ละรุ่นในรอบคนทั่วไป ลืมไปได้เลยครับ เขามีแจกแต่
โบรชัวร์แบบรวมๆเล่มบางๆสำหรับประชาสัมพันธ์บูธในภาพรวมเท่านั้น..อกหักโคตรดังครับ
2. รถคันไหนที่คนสนใจกันมาก เขาจะเข้าคิวกันแล้วเข้าไปดูทีละคนหรือทีละกลุ่มครับ
ถ้าเราไม่ทันสังเกตแล้วจู่ๆเดินตัดหน้าเข้าไปเลย ก็จะโดนด่าได้ เราต้องใช้ไหวพริบ
สังเกตเอาเองว่ามีการต่อคิวหรือเปล่า บางบูธต่อคิวเป็นแถวยาว บางบูธจะห่อเป็นคิว
กลมๆรอบตัวรถ
3. ของที่ระลึกของค่ายรถแต่ละค่าย งานนี้ที่ผมเจอมา เขาไม่ขายในบูธครับ เพราะมันยุ่ง
แต่เขาจะใช้วิธีตั้งบูธพิเศษเอาไว้สักแห่งในงาน แล้วเอาของที่ระลึกของทุกค่ายไปรวมกัน
ไว้ที่นั่น เลือกซื้อและจ่ายเงินที่เดียวเลย ..แน่นอน คิวยาวโคตรครับ
บูธแรกที่เดินเข้าไปชมใน East Hall เลยก็คือ Isuzu แม้ว่ารถที่มาโชว์ส่วนใหญ่
จะเป็นรถบรรทุก แต่ก็มีรถกระบะแดนไทยอย่าง D-max ไปโชว์ตัวกับเขาด้วย
(ถ่ายกระจกมาให้ดูเลยว่ามีตรา มอก.) ในโบรชัวร์ ระบุว่าเป็น D-MAX X-Series
Hi-Lander เครื่อง 2.5 ลิตร 136 แรงม้า ก็อย่างที่บอกว่ามันคือรถจากบ้านเรา
นี่ล่ะครับ อาจจะดูธรรมดาในสายตาคนไทย แต่จะบอกว่าตลอดเวลาที่ผมอยู่ใกล้ๆ
รถคันนี้ มีชาวต่างชาติ ทั้งหน้าตาเอเชียๆ ไปจนถึงฝรั่ง และแม้แต่ชาวอินเดีย มาแวะดู
อยู่ตลอด โดยเฉพาะพวกเอเชียนี่มีถึงขั้นเอา GoPro ส่องถ่ายใต้ท้องรถ คว้าฟิลเลอร์เกจ
ออกมาวัดความห่างส่วนต่างๆของตัวรถเลยทีเดียว บางคนก็เดินเอามือเคาะๆส่วนต่างๆ
ของรถ เป็น Knuckle Engineering เหมือนมนุษย์ลุงประเทศไทยเด๊ะ
บูธต่อมาเป็น Hino ครับ
..โทษทีลืมถ่ายรถ
ขอบอกว่าน้องคนนี้ดูแล้วถูกใจผมมากที่สุดแล้วล่ะครับ ตากล้องสายหื่นที่นิยม
การถ่ายพริตตี้ พยายามเก็บเงินไว้ไปมอเตอร์โชว์ไทย หรือไม่ก็ Tokyo Autosalon ดีกว่า
เพราะพริตตี้ในงาน Tokyo Motorshow ส่วนมาก หน้าตาและทรวดทรงจะเหมือนสาว
ทั่วไปที่เราเจอในชีวิตประจำวันนี่แหละครับ และบางคนก็ออกจะน่าเกรงขามมากกว่าน่ารัก
ซึ่งในสายตาบางท่าน ก็บอกว่าดีแล้ว อยากมางานโชว์รถดูรถมากกว่า ไม่ใช่มางานที่
มีแต่คนแย่งกันถ่ายพริตตี้จนไม่เป็นอันดูรถ..อันนี้แล้วแต่จะคิด ส่วนของผม..นโบายคือ
มีให้ถ่ายกูก็ถ่าย ไม่มีกูก็ถ่ายอย่างอื่น แค่นั้นเองครับ
Mercedes-Benz F015 Luxury in Motion
สมมติว่าเรายิงคำถามไปที่ Mercedes-Benz ว่า “คุณคิดว่ารถหรูในปี 2030 จะมีลักษณะ
เป็นอย่างไร?” คำตอบของพวกเขาก็คือ F015 นี่ล่ะครับ มันคือรถต้นแบบขับเคลื่อนด้วยพลัง
Battery และ Fuel-cell ซึ่งสามารถวิ่งได้ 200 กม. ด้วยพลังไฟฟ้าล้วน และอีก 900 กม.จาก
ระบบ Fuel-cell
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาตัวรถให้เป็นแบบ Autonomous Driving คือสามารถขับเคลื่อน
ตัวมันเองไปยังที่ที่คุณต้องการได้อย่างปลอดภัย และในเมื่อเป็นรถที่เน้นความผ่อนคลาย
การออกแบบภายในจึงทำมารองรับ “การเดินทางแบบที่ไม่ต้องมีคนขับ” เก้าอี้ทั้ง 4 สามารถ
หมุนเข้าหากันได้ แผงประตูเป็นจอทัชสกรีนในตัว สามารถฉายแบบขนาดใหญ่และทำงาน
เป็นระบบมัลติมีเดียไปในตัวได้ด้วย จุดที่ดูขัดๆก็คงมีอยู่แค่พื้นรถที่เป็นไม้วอลนัท ทั้งๆที่
ส่วนอื่นของตัวรถล้ำหน้าไปไกลกว่าที่ Doc Emmett Brown จะคาดถึงเสียอีก
Mercedes-Benz Vision Tokyo
เป็นรถที่สร้างขึ้นในแนวคิด “ยานยนต์ขับเคลื่อนตัวเอง” เช่นเดียวกับ F015 แต่มันถูก
ทำมาเป็นพิเศษสำหรับงาน Tokyo Motorshow โดยเฉพาะ ขนาดตัวรถนั้นยาวเท่า
E-Class และสูงพอๆกับ B-Class ออกแบบภายในเป็นเบาะโซฟา 5 ที่นั่งรูปตัว L
โดยที่เบาะคนขับสามารถปรับหันเข้า-ออกได้ ให้เลือกได้ว่าจะคุยกับเพื่อนหรือถ้า
เพื่อนคุยเรื่องที่น่าเบื่อ ก็หันกลับไปขับรถแล้วคุยกับถนนกับพวงมาลัยต่อก็ได้
SMART fortwo และ forfour
เริ่มที่ตัว fortwo กันก่อนแล้วกัน สำหรับเจนเนอเรชั่นปัจจุบันนั้นนับเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว
รหัสตัวถัง C453 เป็นรถเครื่องวางหลัง ขับเคลื่อนล้อหลัง 3 ประตู 2 ที่นั่งขนาดตัว
เล็กมาก fortwo นั้นมีความยาวตัวถังแค่ 2,755 มม. หรือยาวกว่าฐานล้อของ Nissan Sylphy
แค่ราว 5 ซม. เท่านั้นเอง แต่ใช้วิธีการจัดการพื้นที่ตัวถังที่พอให้คนตัวผอมถึงคนอ้วนขั้น
สมัครเล่นสามารถนั่งได้สบายพอสมควร เวอร์ชั่นญี่ปุ่นใช้เครื่อง 1.0 ลิตร 71 แรงม้า
ในขณะที่ตลาดยุโรปจะมีเครื่องเทอร์โบ 89 แรงม้าให้เลือกด้วย
ส่วนรุ่น forfour นั้น มีรหัสตัวถังว่า W453 และนับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 หน้าตาของมัน
เหมือนกับ Renault Twingo ซึ่งก็ไม่แปลกหรอกเพราะใช้ชิ้นส่วนตัวถังร่วมกันถึง 70%
ความยาวตัวถังอยู่ที่ 3,495 มม. กว้าง 1,665 มม. เท่า fortwo และสเป็คญี่ปุ่นใช้เครื่อง
1.0 ลิตร 71 แรงม้าตัวเดียวกัน
ความเห็นของผม: แม้จะเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2014 แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตัวจริงของมัน
เดินๆดูอยู่ 3-4 นาทีก็ย้ายไปดูคันอื่น เพราะสำหรับผมแล้ว ความโดดเด่นในการออกแบบ
และลูกเล่นที่ “น่ารักแต่แอบดุ” ซึ่งเป็นดีไซน์ที่น่าชื่นชมใน Smart รุ่นก่อนๆหน้านี้
มันหายไปหมดแล้ว ทุกวันนี้มันดูเหมือนรถบ้าน Renault ที่ถูก Winzip ให้ขนาดเล็กลง
แค่นั้น
Mercedes-AMG GT3
รถแข่งคลาส GT3 ซึ่งจะถูกใช้แทน AMG SLS GT3 ในการแข่ง นอกจากภายใน
จะถูกถอดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกหมดแล้ว เครื่องยนต์ก็หันกลับมาใช้บล็อค M159 V8
6,208 ซี.ซี. NA แบบเดียวกับ SLS แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 600 แรงม้า
Tobias Moer CEO ของ AMG บอกว่าจะมีการทำเวอร์ชั่นขายจริงออกมาอีกแต่
จะไม่ได้ใช้ชื่อว่า GT3 และไม่ได้เรียกว่ารุ่น Black เขาบอกเพียงแค่ว่ามันจะเป็น
คู่แข่งสายตรงกับ 911 GT3 และมีความเป็นไปได้ที่จะใช้เครื่อง V8 เทอร์โบที่มี
พื้นฐานมาจาก AMG GT-S แทน แต่แรงม้าอาจจะพุ่งไปอยู่ที่ราว 600 ตัวเช่นเดียว
กับเวอร์ชั่นรถแข่ง
AMG C63S
คันจริงดูสวยกว่าในภาพมากครับ น่าจะเป็น C-Class ที่แต่งมาแล้วดูลงตัวพอดีที่สุด
ไม่โหดเกินและไม่รกตาเกินไป เครื่องยนต์ที่ใช้ก็เป็นบล็อคเดียวกับ AMG GT-S คือ
4.0 ลิตร V8 เทอร์โบ Hot-in-vee แรงม้าสูงสุดเท่ากับ AMG GT-S คือ 510PS (503BHP)
ส่วนที่แตกต่างกันคือตัวเครื่อง C63S จะไม่ได้ใช้อ่างน้ำมันเครื่องแบบแห้ง และระบบ
ส่งกำลังจะเป็นเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ไม่ได้ใช้คลัตช์คู่แบบ AMG GT-S
ต่อมา เดินตัดข้ามไปที่บูธ Honda เพราะรู้มาจากเจ้า Moo Teerapat แล้วว่างานนี้
Honda เอา Civic Type-R มาให้ลองนั่งเล่นกันได้ แม้จะไม่ใช่การขับจริงก็ตาม
(เอาวะขอเป็นคนไทยคนนึงที่ได้ลองนั่งแล้วกัน)
Civic Type-R Production Version พวงมาลัยขวา จำหน่ายในญี่ปุ่นด้วยราคา
4,280,000 เยน มีสีตัวรถให้เลือกเพียง 2 สี คือขาวกับดำ รหัสตัวถังของ Type-R
บอดี้นี้คือ “FK2” เป็นรถที่ประกอบจากอังกฤษแล้วส่งไปขายที่ญี่ปุ่น น้ำหนักตัวถัง
ของสเป็คญี่ปุ่นอยู่ที่ 1,380 กิโลกรัม
เครื่องยนต์ของ Civic Type-R เป็นเครื่องรหัส K20C1 ซึ่งท่อนล่างจะเป็นคนละแบบ
กับ K20A ที่ใช้ในรุ่นก่อนๆ เพราะช่วงชักถูกลดจาก 86.0 มม. ลงมาเหลือ 85.9 ม.ม.
ความจุลดจาก 1,998 ลงมาเหลือ 1,995 ซี.ซี. แต่เพิ่มกำลังด้วยเทอร์โบ (FK2 เป็น
Honda Type-R ที่มีแรงม้ากับแรงบิดเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ Type-R ทุกรุ่น และเป็น
R รุ่นแรกที่ใช้เครื่องเทอร์โบ) พลังแรงม้า 310PS ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด
400Nm ที่ 2,500-4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะสู่ล้อหน้า
ช่วงล่างหน้าแบบอิสระ ด้านหลังแบบคานบิด โช้คแยกเบ้ากับสปริง และยังสามารถทำเวลา
วิ่งรอบสนาม Nurburgring Nordschleife ได้ 7.50.63 นาที ซึ่งเร็วกว่า NSX Type-R (NA2)
ที่ทำไว้ 7.56.73 นาที เร็วกว่า Ferrari F430 และ Lamborghini Gallardo LP560-4
อย่างเหลือเชื่อ
ที่สำคัญ พละกำลัง 310 แรงม้าที่เครื่อง K20C ทำได้นั้น ไม่ได้ใช้น้ำมันญี่ปุ่นออคเทน 100
แต่เป็นน้ำมันยุโรป 95RON ครับ
ทีนี้ นอกจากรถโชว์บนแท่นแล้ว ทาง Honda ยังจัดรถสีขาวอีกคันมาเอาไว้ให้
ผู้เข้าชมงานลองนั่ง ลองเปิดดูได้ แต่ต้องเข้าคิวรอ และแต่ละคนจะมีเวลาเล่นกับรถได้
ไม่เกิน 2 นาที (ผมลองจับเวลาดู คนส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่เกินนี้ครับ) ด้วยความที่อยากลอง
และด้วยความที่ขายังเหลือแรงอีกมาก เลยลงทุนยืนรอคิวไปเรื่อยๆ เห็นหางคิวสั้นแค่ราว
15-20 คน แต่ก็ใช้เวลารอไปทั้งหมด 34 นาทีกว่าจะได้นั่ง
คนอื่นๆที่เขามานั่ง ส่วนมากจะเป็นผู้ชายวัยรุ่น มาเดี่ยว ไม่ก็มากับแฟน ลองขึ้นไปจับๆ
คลำๆแล้วก็ยื่นสมาร์ทโฟนให้เจ้าหน้าที่ช่วยถ่ายรูป ทำท่าโมะเอะกัน หรือถ้าเป็นลุงอายุ
50 ก็จะทำหน้าบึ้งๆ ลองนั่ง ลองปรับ ลองจับทุกอย่างแล้วพยักหน้าเหมือนจะพอใจแต่ก็
ทำหน้าเป็นตูดไปทั้งๆที่ปากแอบยิ้ม..พอถึงคิวผม ผมก็โยนกระเป๋าใส่ตะกร้าที่เขาเตรียมไว้
เจ้าหน้าที่ประจำรถถอยเบาะไว้ให้หน่อยนึง พอหันมาเห็นร่างหมีจรจัดหนัก 148 กิโลยืนอยู่
เขาก็รีบจัดแจงถอยเบาะไปจนสุด และปรับพวงมาลัยขึ้นสูงสุดให้ กะว่าผมเข้านั่งไม่ได้แน่
แต่ปรากฏว่าได้ครับ
บรรยากาศในห้องโดยสารเวลาจอดนิ่งๆ อย่าไปคิดถึงซูเปอร์คาร์หรือรถสปอร์ตแบบ BRZ ครับ
ให้มองว่ามันคือ Civic Hatchback ที่ใส่เบาะซิ่งและพวงมาลัยสปอร์ตวงเล็ก แค่นั้น
ถ้าคุณบอกว่า Subaru WRX วัสดุในห้องโดยสารห่วย คุณยิ่งไม่ควรมายุ่งกับ Civic Type-R
เพราะสัมผัสวัสดุดีกว่า Civic FB บ้านเราแค่นิดเดียว เขาไม่ได้สนใจสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับ
ความแรงเลยครับดูท่า..มาตรวัดแบบสองชั้น ที่จริงจะมีจอ Shiftlight และจอ LCD ด้านซ้าย
ที่สามารถปรับให้โชว์บูสท์ แรงดันน้ำมันเครื่อง อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง และอุณหภูมิน้ำได้
(นี่สิถูกใจนักซิ่ง!) ผมลองเหยียบคลัตช์แล้ว row เกียร์ 1-2-3-4 อย่างเร็ว คนญี่ปุ่นที่ยืนอยู่
อุทานหง่อวววกัน ไม่รู้ว่าตกใจหรือหมั่นไส้ แต่ผมพบว่าคันเกียร์ของ Honda เครื่อง K ฝาแดง
ไม่มีการพัฒนาไปเลยในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา ผมว่าคันเกียร์ของ EP3 Type R จะแอบเข้าคล่องกว่า
ด้วยซ้ำ คันเกียร์ของ FK2 ออกจะหลวม เวลาเข้า 4 ไป 5 จะมีโอกาสติดขัดร่องเกียร์ถอยหลัง
จะว่าไปแล้วฟีลเข้าเกียร์จะเหมือน CR-Z มาก
ตัวเบาะซิ่งสีแดงปรับเอนได้ ปีกข้างจะโอบรัดแบบที่เบาะซิ่งควรเป็น ซึ่งก็เหมาะกับ
ลักษณะของรถดีแล้ว พนักพิงศรีษะจะไม่มีการดันหัวเลย ในทางตรงกันข้ามคุณไม่สามารถ
นั่งขับแบบผ่อนคลายโดยเอาหัวพิงพนักพิงไว้ได้ เพราะมันลู่ไปข้างหลังครับ แต่ถ้าหากคุณ
ใส่หมวกกันน็อคตอนขับ ก็จะกลายเป็นว่ารองรับศรีษะได้เกือบพอดี รถคันนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมา
เพื่อความหรู และผ่อนคลายแม้แต่น้อย แต่ก็อย่าคิดว่าจะได้ฟีลรถสปอร์ตเตี้ยๆ เนื้อแท้ของ
Civic Type-R ก็ยังเป็นรถเก๋งที่ถูกตกแต่งให้ดุดัน และมันก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่
..รถซิ่งขวัญใจวัยรุ่นนั่นล่ะ.. (แต่มันแปลกตรงที่มีผู้ชายวัย 40-50 มาต่อคิวดูมันเยอะมาก)
มองลอดล้อ 19 นิ้วไป เห็นจานเบรกหลังของ Type-R มั้ยครับ? เป็นจานขนาดไม่ได้โต
และเป็นดิสค์เบรกแบบไม่มีร่องระบายความร้อนด้วยซ้ำ ทั้งนี้เพราะรถขับเคลื่อนล้อหน้า
เวลาเบรกน้ำหนักก็ตกหน้าเยอะอยู่แล้ว เบรกหลังไม่ได้มีบทบาทมากขนาดนั้น..นี่ขนาด
รถซิ่งที่วิ่ง 7.50 นาทีใน Nurburgring นะครับ เวลาซื้อรถบ้านขับหน้าเครื่องพันห้า ถ้าเจอ
เบรกหลังเป็นดรัม..ก็อย่าไปใส่ใจมากจนเวอร์ ไปดูเบรกหน้าเถอะ จานโตมั้ย ผ้าเบรกดีมั้ย
จอดอยู่ห่างๆอย่างเงียบๆ คือ Honda Jade รถสเตชั่นแวก้อนยุคใหม่ที่มีทั้งขุมพลัง
ไฮบริดและ 1.5 เบนซินเทอร์โบ ..ไม่มีคิวครับคันนี้อยากนั่งก็นั่งได้เลย ผมนั่งแล้วกลับ
รู้สึกได้ว่าตัวเองแก่ลง..เพราะผมชอบมันมากกว่า Type-R เสียอีก..ผมคงพ้นช่วงวัยรุ่นมาแล้ว
งานนี้เดี๋ยวจะมีภาพอย่างละเอียดตามมาอีกที เพราะผมตัดสินใจไปดูตัวจริงอีกรอบที่
Honda Welcome Plaza ครับ ไว้จะมาเขียนเล่าให้ฟังอีกที
Project 2&4 คันนี้ เป็นรถต้นแบบลูกครึ่งระหว่างมอเตอร์ไซค์กับรถ มันเป็นผลงานโชว์
ความคิดสร้างสรรค์ที่ชนะเลิศจากทีมอื่นภายในองค์กรของ Honda คนที่ออกแบบคือ
Martin Petersson ปกติทำงานเป็นนักออกแบบมอเตอร์ไซค์ โดยวิธีการร่างแบบ
เริ่มต้นด้วยการใช้เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ RCV V4 สูบ 212 แรงม้า หมุน 14,000 รอบ
จากนั้นค่อยออกแบบส่วนอื่นๆล้อมรอบเครื่องยนต์ น้ำหนักรถทั้งคันเบาหวิวแค่ 405 กก.
ใช้โช้ค Ohlins กับเบรกจากซูเปอร์ไบค์ แต่ใช้เกียร์คลัตช์คู่และเพลาขับของรถยนต์
เวลานั่งลงไปก็มีแค่เบาะเป็นแผ่นรองบางๆ จากตรงนั้นไปก็จะเป็นคาร์บอนไฟเบอร์
แล้วก็พื้นโลกเลย มีการออกแบบเปิดร่องรับความร้อนจากไอเสียเต็มๆ ซึ่งน่าจะให้
ความรู้สึกของซูเปอร์ไบค์..แต่ดันมี 4 ล้อ แค่นั้น ปัจจุบันยังไม่ผลิตขาย แต่ถ้ามีคนไซโค
Honda มากๆ พวกเขาอาจจะบ้าจี้ทำขายก็ได้
Honda NSX [Prototype Model]
เผยโฉมจริงในชื่อ Acura ตั้งแต่มกราคม 2015 แล้วไปโชว์ที่งาน Geneva มาแล้ว ท้ายสุด
ก็มาถึงญี่ปุ่นและใช้แบรนด์ Honda ในการทำตลาด (ดูโลโก้ที่ฝากระโปรงหน้าก็ได้)
ข้อมูลทางเทคนิคก็คงทราบกันไปเยอะแล้ว แต่จะ Rerun ให้อีกรอบว่าเป็นรถบอดี้
สเปซเฟรมอะลูมิเนียม บวกกับโครงสร้างบางส่วนที่เป็นเหล็กกล้า High-tensile steel
ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์แบบ 3.5 ลิตร V6 ทำมุม 75 องศา(ซึ่งแปลกดีเคยเจอแต่ 60 กับ 90)
พกเทอร์โบสองลูก พลังจากเครื่องยนต์อย่างเดียวมี 507PS แต่ NSX ยังมีมอเตอร์ท้ายเกียร์
กับที่ล้อหน้าแต่ละข้าง ทำให้กลายเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อแบบไฮบริดที่มีพละกำลังรวมถึง
581 แรงม้า (PS)
แม้จะมีสัญชาติเป็นญี่ปุ่น แต่ความจริง NSX ใหม่เปรียบได้กับคนญี่ปุ่นที่เกิด โต และเรียน
ในอเมริกา เพราะหัวหน้าโครงการพัฒนา NSX คือคุณ Ted Klaus มาจาก Honda USA
และเป็นคนที่ทำงานกับ Honda ด้วยอารมณ์พาไป กล่าวคือ Ted ไปเห็นตัวจริงของ NSX
สีแดงที่งานโชว์รถยนต์ใน Detroit ปี 1990 แล้วหลงรัก จึงเข้าทำงานกับ Honda และ 20 ปี
ต่อมาเขาก็มาคุมโครงการ NSX ตัวใหม่และยังเป็นหัวหน้าทีมวิศวกร (Chief Engineer) อีกด้วย
นอกจากนี้ NSX ยังเป็นรถที่พิสูจน์ศักยภาพในการออกแบบของสุภาพสตรีอีกด้วย เพราะว่า
หัวหน้าทีมออกแบบภายนอก เป็นสุภาพสตรีสาวสวยชื่อ Michelle Christensen
NSX ทุกคันจะประกอบที่เมือง Marysville รัฐ Ohio สหรัฐอเมริกา ส่วนเครื่องยนต์นั้นจะ
ไปประกอบกันที่โรงงานเมือง Anna รัฐ Ohio เช่นกัน
ความเห็นเพิ่มเติมของผู้เขียน:
NSX เห็นในภาพสวยเท่าไหร่ ของจริงจะเห็นรายละเอียดแสงเงาที่ทำให้ตัวถังดู
สวยงามขึ้นไปอีก ผมว่าการมีสุภาพสตรีกุมบังเหียนให้กับทีมออกแบบในยุคนี้เป็นเรื่องที่ดี
เพราะพวกเธอมักจะรู้วิธีการผสมระหว่างความดุดันและเซ็กซี่ได้ดี ดูอย่าง BMW Z4 สิครับ
Honda S660 Tokyo Motorshow Special
ไม่มีอะไรมาก มันก็คือ S660 ที่เป็นสีเทาด้านนั่นเอง เป็นรถเปิดประทุนขนาดเล็ก
เครื่องวางกลางลำ เปรียบได้กับผู้สืบสานตำนานของ Honda Beat จากยุค 90s ได้เป๊ะ
S660 แม้จะใช้เครื่องวางกลางลำ แต่ที่จริงแพลทฟอร์มของมันก็แชร์กับ Kei Car
ขับหน้าอย่าง Honda N-One ตัวเก๋นั่นล่ะครับ ใช้เครื่อง 660 ซี.ซี. 63 แรงม้า รหัส S07A
น้ำหนักตัวเกียร์ธรรมดาอยู่ที่ราว 830 กก. อารมณ์อัตราเร่ง ถ้าเทียบม้าต่อน้ำหนัก
ก็น่าจะใกล้เคียงกับรถบ้าน 1.5-1.6 ลิตร แต่แนวทางการออกแบบและการประชาสัมพันธ์
เน้นไปที่สปอร์ต ขับสนุก เล็กและคล่อง
หัวหน้าทีมพัฒนา S660 คือคุณ Ryo Mukumoto ซึ่งน่าสนใจตรงที่เขาไม่ใชเด็กวิศวะ
สายตรง มีความรู้ทางด้านวิศวกรรมไม่มากเท่าเด็กช่างแท้ๆ แต่กลับได้รับคัดเลือก
ให้เป็นผู้ชนะในการคุมโครงการ S660 ทั้งที่กรรมการมีคนอื่นให้เลือกอีกตั้ง 400 คน
ตอนได้รับเลือกเขาอายุแค่ 22 เท่านั้น และ Honda ให้เวลา 5 ปีในการพัฒนาโครงการให้เสร็จ
บางสิ่งบางอย่างกำลังพลิกผันในองค์กรญี่ปุ่นแล้วล่ะ..ปกติสังคมญี่ปุ่นนั้น
“แก่กว่า ดังกว่า ได้ก่อน” มาตลอด รถคันนี้ผมไม่ได้ลองนั่งในงานเพราะดูท่าน่าจะลำบาก
ผมจะไปคิดบัญชีอีกรอบที่ Honda Welcome Plaza วันหลัง
Honda Clarity Fuel Cell
จะมีขายจริงมั้ย? เอาง่ายๆว่าในโบรชัวร์ประชาสัมพันธ์ของ Honda เขาเขียนไว้เลยว่า
“Commercially Available Soon” ดังนั้นถ้าคุณรักโลก ชอบไฮโดรเจน แต่ไม่ชอบ
Toyota (จะมีแบบนั้นกี่คนวะ?) คุณก็จะได้ขี่ Clarity ตัวใหม่ในเร็ววันเร็วปีนี้ ขนาดตัวถัง
ของมันดูใหญ่ยาวเมื่อได้เห็นตัวจริง ซึ่งก็ไม่แปลกหรอกครับ ก็ยาว 4,895 มม. พอๆกับ
รถ D-Segment ในปัจจุบันนั่นล่ะ ความโดดเด่นของมันนั้น นอกจากเรื่องการใช้
ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงแล้ว มันก็อยู่ที่ไอ้ตัวเก็บ Hydrogen Stack นี่ล่ะครับ ทีมวิศวกร
เขาพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงกว่าของเดิมใน FCX Clarity อีก 33% แต่สามารถจุพลัง
ต่อหน่วยได้มากขึ้น ทำให้ Clarity ตัวใหม่สามารถวิ่งได้ไกลถึง 696 กม. ซึ่งไกลกว่า
ที่ Toyota เคลมกับ Mirai เสียอีก (480 กม.)
และไอ้ Hydrogen Stack นี่ ขนาดของมันก็เล็กลงมากจนใส่ไว้ใต้ฝากระโปรงหน้า
และขับเคลื่อนล้อหน้าได้ เป็นรถ Fuel Cell คันแรกของโลกที่สามารถติดตั้ง Stack
ไว้ใต้ฝากระโปรงหน้าได้
ความเห็นส่วนตัว: รถคันนี้จะกลับกันกับ NSX คือมองในโบรชัวร์กับในภาพแล้ว
โคตรล้ำยุค ของจริงมันดูตลก..เหมือนกับเอาดีไซน์เนอร์ของ Honda, Audi, Citroen
มาตบกันด้วยสมุดสเก็ทช์ภาพ นี่ถ้าได้ดีไซน์เนอร์ Lexus มาช่วยออกแบบหน้ากับท้าย
รถทั้งคันคงดูเหมือนกองผ้ายับๆกองนึง..แต่ชื่นชมในความสามารถการพัฒนาพลังงาน
ทางเลือกครับ เจ๋ง และมีพัฒนาการที่ดี
Suzuki Ignis
ตอนแรกเอาชื่อไปค้น เจอแต่รถหน้าตาน่าเบื่อ ถึงได้รู้ว่าที่จริงชื่อ Ignis นี่
เคยถูกใช้มาก่อนแล้วรถในรุ่นเก่า ทรงประมาณ Daihatsu Terios+Toyota Avanza
หน้าตานี่ไม่บอกไม่รู้ว่าเป็นบรรพบุรุษซึ่งกันและกันเพราะ Ignis ตัวใหม่นี่
เมื่อแรกได้เห็นหน้า บอกได้เลยว่า เก๋มากกก คิดว่าคนออกแบบน่าจะดูการ์ตูน
เรื่อง The Incredible แล้วเอาดีไซน์หน้ากากกับตัวการ์ตูนนั้นมาใช้เป็นแรงบันดาลใจ
Ignis เป็นรถขนาด A-Segment แต่ออกแบบให้ตัวสูงดูเหมือน Crossover
ความยาวตัวถัง 3,700 มม. กว้าง 1,660 มม. สูง 1,595 มม. ใช้เครื่องยนต์ Dualjet
1.2 ลิตรผสมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า (Mild Hybrid- ใช้มอเตอร์เพื่อเสริมแรงขับเคลื่อน
แต่ไม่สามารถวิ่งด้วยพลังมอเตอร์ล้วนๆได้..นึกถึง Honda CR-Z ไว้) มีทั้งระบบ
ขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่มีเกียร์ CVT เพียงแบบเดียว
ตอนแรกเห็นด้านหน้านี่ใจละลาย พอเดินมาดูท้ายรถปุ๊บ โฮ๊ะ…
ความรู้สึกประหนึ่งเห็นคนผมยาวขาวสวย กำลังเพ้อขั้นสูงสุด..แล้วเธอก็เดินเข้าห้องน้ำชาย
ด้านหน้า น่ารักปนดุ โอเคครับ แต่ด้านท้ายนี่ดูเหมือนจู่ๆพี่แกอยากจะอินดี้ ก็อินดี้เลย
ยิ่งไฟท้ายนี่เห็นแล้วนึกถึงรถดัดแปลงของไทยรุ่งในช่วงสิบปีก่อนมากๆ
ผมคิดว่าด้วยฝีมือขององค์กรที่ลงทุนส่งคนไปใช้ชีวิตในอิตาลีเพื่อออกแบบ Swift น่ะ
น่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่สำหรับคนที่ชอบรถมาดลุยๆ เปรียบเป็นนาฬิกาก็เหมือน Casio G-Shock
คนเหล่านั้นน่าจะชอบสไตล์ที่แตกต่างแบบนี้ (ไอ้ผมมันแก่เกินบางแคมาหลายโลแล้ว)
การบ้านจาก J!MMY: จงลองนั่งภายใน Ignis!
ลองมาแล้วครับ บอกได้เลยว่าเซอร์ไพรส์ เพราะขนาดตัวรถมันชวนให้นึกถึง Swift ซึ่ง
กำลังดีสำหรับคนทั่วไป..แต่แคบไปสำหรับผม ส่วน Ignis นี่ตำแหน่งที่นั่ง ความแข็ง
ของตัวเบาะ ความโปร่งของส่วนหัว ตำแหน่งการเหยียบคันเร่ง มันเหมือน Nissan Tiida
ที่ผมขับอยู่ทุกวันนี้มากครับ ผมถือว่าจัดพื้นที่ได้สบายลงตัวแบบญี่ปุ่นๆ ส่วนเรื่อง
การออกแบบ ผมกลับรู้สึกเฉยๆเมื่อเทียบกับรถเล็กๆที่ Suzuki เคยออกแบบมา คุณลอง
เอาหน้าปัด เอาแผงแอร์ออโต้กับจอกลางออกสิครับ แทบไม่เหลือความสวยอะไรเลย
แต่เพราะการออกแบบให้คอนโซลส่วนล่างลีบแบบนี้แหละทำให้แหกขาได้กว้างขึ้น
ส่วน Suzuki Baleno นี่ ก็เอาชื่อเก่า Recycle กลับมาใช้ใหม่
Baleno ใหม่ในชาตินี้ ทาง Suzuki เขาเรียกมันว่า “The New Compact Hatchback
with Elegance and Power” นี่เอามาจากในแผ่นพับเลยนะครับ ขนาดตัวถังยาว
3,995 มม. (ยาวกว่า Honda Jazz 4 ซม.) แต่ตัวถังกว้าง 1,745 มม. นี่ทำให้สงสัยเหลือเกินว่า
ถ้าขายในญี่ปุ่นราคาน่าจะแรง เพราะตัวถังกว้างเกิน 1.7 เมตร การที่ Baleno มาสัดส่วน
ตัวถังแบบนี้ ก็เพราะทาง Suzuki เขาพยายามทำให้มันดูมีพลัง ธีมออกแบบคือ
“Liquid Flow” ซึ่งฟังแล้วนึกถึงน้ำยาลบคำผิดแต่ที่จริงเขาหมายถึง “การเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
อย่างมีพลังและมีทิศทางที่แน่วแน่” ส่วนกระจังหน้า V-Shape นั้นก็จะเป็นธีมการออกแบบใหม่
ที่ใช้ใน Suzuki รุ่นที่ตามมาหลังจากนี้ต่อไป
เครื่องยนต์ก็เป็นของใหม่ ชื่อ BoosterJet ขนาด 1.0 ลิตร 3 สูบ เทอร์โบ ไม่บอกแรงม้าแรงบิด
แต่ไปค้นเจอเองภายหลังว่า 110 แรงม้า ส่วนแรงบิดก็ราว 170Nm มีเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
กับอัตโนมัติ 6 จังหวะ ที่ไม่ใช่ CVT แน่นอน
ความเห็นส่วนตัว: ต้องรอดูเรื่องการขับขี่กับลองนั่งภายใน เพราะคันที่โชว์ในงานนี่ล็อคประตู
ส่วนเรื่องดีไซน์ผมมองว่าเป็นการก้าวถอยหลังจาก Swift รุ่นปัจจุบัน แม้ว่ากระจังหน้ากับไฟหน้า
จะดูโอเคและเส้นโป่งด้านข้างจะได้มิติ แต่การออกแบบส่วนซีกบนของรถกับไฟท้ายนั้น
น่าจะทำได้ Sexy กว่านี้ ตอนนี้รถมันดูเทาๆ ค่อมๆ เห็นแล้วนึกถึงแมวไทยโคราชกำลังหมอบ
THE NEW OUTLANDER PHEV (Plug-in Hybrid)
ที่จริงมันไม่ใช่รถใหม่ New Model หรอกครับ เพราะตัวถังนี้ขายกันมาตั้งแต่ปี 2013 แล้ว
แต่ได้รับการแต่งหน้าทาปากใหม่ใส่กระจังหน้าธีม Dynamic Shield ในปี 2015 นี้เอง
ในรถรุ่นปกติจะมีเครื่อง 2.0 และ 2.4 ลิตรส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT ของ Jatco แต่สำหรับ
ตัว PHEV จะใช้ขุมพลังไฮบริด เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรวางด้านหน้าคู่กับมอเตอร์และตัวปั่นไฟ
ส่วนด้านหลังก็จะมีมอเตอร์แยกอีกตัว รวมเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ S-AWC
Super All Wheel Control
แนวคิดที่แปลกก็คือ ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติใดๆที่ทำให้ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงพื้นที่นั้นๆ ถ้าคุณมี
Outlander PHEV ที่มีน้ำมันเต็มถังอยู่ ตัวรถนั้นสามารถจ่ายไฟผ่านซ็อคเก็ต 1500W 100V AC
เข้าสู่เครื่องใช้ไฟฟ้าตามบ้านเรือนได้ และสามารถมอบพลังไฟให้กับบ้านแบบครอบครัวญี่ปุ่น
ให้มีชีวิตสุขีไปได้ถึง 10 วัน เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอบริษัทรถที่เอาเรื่องนี้มาประชาสัมพันธ์นี่ล่ะครับ
(แต่ไฟฟ้าบ้านเรา 220V น่ะสิ)
การบ้านจาก J!MMY: ให้ลองดู Outlander PHEV ว่าถ้ามาขายในไทยจะOK มั้ย?
ในสายตาผม ขึ้นอยู่กับราคารถครับ ส่วนหนึ่งเพราะสังคมไทย ไม่ใช่สังคมที่ตื่นตัว
เรื่องมลภาวะกับสิ่งแวดล้อม หรือถึงแม้จะห่วงสิ่งแวดล้อม คนไทยจะซื้อรถที่ตัวเอง
เอื้อมถึงแบบไม่ลำบากมากกว่า ผมดูรถ Outlander PHEV ทั้งคันแล้ว รู้สึกว่า
นอกเหนือจากการเป็นรถไฮบริดเสียบปลั๊กชาร์จไฟที่บ้านได้ และหน้าปัดกับจอกลาง
ที่ดูล้ำยุคแล้ว ส่วนอื่นของรถมันก็คือ SUV ขนาดกลางธรรมดาๆ เหมือน X-Trail
เหมือน CR-V นั่นล่ะครับ พวงมาลัยหน้าตาเหมือน Pajero Sport และภายในของ
Outlander นั้นจะมีการใช้วัสดุที่สัมผัสแล้วรู้สึกดีมากกว่าอยู่หน่อย ดังนั้นถ้าขายใน
ราคา “โคตรเหลือเชื่อ” แบบ 1.8-1.9 ล้านโดยใช้วิธี SKD เพื่อลดภาษี ผมว่ามันขายได้
แต่ถ้านำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งคัน ราคาก็จะโดดไป 2.5 หรือ 3 ล้าน ผมคิดแบบโลกไม่สวยว่า
คนที่ “ทำงานแทบตายกว่าจะได้ 3 ล้าน” นั้น เขาคงไปออก Pajero Sport ตัวท้อป
แล้วเอาเงินที่เหลือไว้เติมน้ำมันได้อีกเป็นชาติ ส่วนคนประเภทที่ “นอนอยู่เฉยๆก็มีเงิน
3 ล้านเข้าบัญชี” ผมว่าเขาคงมองรถอย่าง i8 หรือ Tesla มากกว่าครับ
ต้องไม่ลืมด้วยว่าคนไทยที่ซื้อรถ SUV/PPV ส่วนนึง มีความต้องการให้รถตัวเอง
บุกฝ่าน้ำท่วมสูงๆได้ดีกว่ารถทั่วไป แม้ Outlander PHEV จะเป็นรถทรงสูงแต่การที่
มีระบบไฟฟ้าเยอะทำให้บางคนรู้สึกกลัว..คนที่ไม่กลัวก็คงเป็นคนที่ใช้รถอย่าง Lexus NX
หรือ RX Hybrid แต่คนเหล่านั้นกี่คนที่จะเปิดโอกาสในใจให้ Outlander ถ้าราคามันต่างกัน
ไม่ถึงล้านบาท?
แต่ในยุโรป..เรื่องแบบนี้จะกลับกัน..เพราะช่วงปี 2014 ในบรรดา Outlander ที่จำหน่าย
ในทวีปยุโรป ..51.7% จากรถที่ขายได้เป็น PHEV ครับ และในปัจจุบัน Mitsubishi
ก็ขาย Outlander PHEV ไปราว 70,000 คันแล้วในทั่วโลก ถือเป็นรถประเภท Plug-in
ที่ขายดีติดอันดับ Top Five ของโลก
ALPINA
เป็นสำนักแต่ง BMW ที่มีชื่อเสียงมานาน ก่อตั้งโดยนาย Burkard Bovensiepen
แต่เดิมนั้นบริษัท Alpina ตั้งแต่รุ่นพ่อของเขาประกอบและขายเครื่องพิมพ์ดีดครับ
จนกระทั่งปี 1965 ก็ยุบกิจการพิมพ์ดีดแล้วไปทำพวกเครื่องทอแทน ส่วน Burkard เอง
ก็พยายามตั้งสำนักรับจูน BMW จนประสบความสำเร็จ และสร้างชื่อได้จากการแข่งขัน
จนในปี 1983 กระทรวงคมนาคมของเยอรมัน อนุญาตให้ชื่อ Alpina เปรียบเสมือนยี่ห้อ
รถยี่ห้อหนึ่งในการจดทะเบียน เป็นชื่อทางการค้าที่แยกจาก BMW (เช่น เวลาจดในเล่ม ฯ
ก็จะเขียนว่า ยี่ห้อ Alpina ไม่ใช่ BMW) แต่ทั้งนี้ เวลาจะซื้อ ก็ซื้อได้ที่ดีลเลอร์ BMW
และเวลาจะเคลมอะไหล่ ก็ไปติดต่อที่ดีลเลอร์ BMW ได้เหมือนกัน แม้จะดูเหมือน
Alpina มีการแข่งขันทับซ้อนกันกับ M-Division ของ BMW เอง แต่ถ้าสังเกตดีๆจะพบว่า
รถของ Alpina จะเน้นเรื่องความหรูหราภายใน และชอบทำรถเกียร์อัตโนมัติมากกว่า
จับตลาดลูกค้าที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่า M-Division
ในงาน Tokyo Motorshow ปีนี้ ก็ครบรอบวาระ 50 ปีของ Alpina พอดี จึงมีการเอา
ซีรีส์ 6 เปิดประทุนมาทำเป็นรุ่นพิเศษ Alpina B6 Biturbo Cabrio Edition 50 ออกมา
ใช้เครื่อง V8 4.4 ลิตรตัวเดียวกับ M6 แต่ปรับจูนให้มีแรงม้า 600PS และแรงบิด 800Nm
ส่วนคันสีน้ำเงินคือ B3 Biturbo เครื่อง 3.0 ลิตรเบนซินทวินเทอร์โบ 410PS
แรงบิด 610Nm..สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เล่น Alpina วิธีดูชื่อรุ่นมันค่อนข้างง่ายครับ
รถที่เป็นเครื่องดีเซล จะมีตัวอักษร D นำหน้า ถ้าเครื่องเบนซิน ก็จะเป็นตัว B-Benzene
นำหน้า เช่นถ้าเห็น D3 ก็คือเอาบอดี้ซีรีส์ 3 เครื่องดีเซลมาทำ XD3 ก็คือ X3 เครื่องดีเซล
ส่วน D5 ก็คือซีรีส์ 5 เครื่องดีเซลแบบนี้เป็นต้น นี่จำง่ายมากแล้วครับ ถ้าเป็นยุคก่อน
ชื่อจะมั่วมากเพราะอย่างบอดี้ E30 ก็มีทั้ง B3 และ B6 และซีรีส์ 5 รุ่นเก่าๆก็มีทั้ง B7, B9
B10 ต้องรอหลังพ้นปี 2000 นั่นล่ะถึงค่อยๆจัดชื่อโมเดลใหม่ให้จำง่ายขึ้น
เดินข้ามมาบูธ BMW ก็ได้พบของที่ไม่นึกว่าจะพบ มันคือ M4 GTS
ซึ่งนับเป็น BMW ที่น่าจะทำเวลารอบสนาม Nurburgring ได้เร็วที่สุดในปัจจุบัน
ด้วยเวลา 7 นาที 28 วิ ซึ่งเร็วกว่า M4 ตัวธรรมดา 24 วินาที และเร็วเท่า Porsche
Carrera GT โดย M4 GTS นี้เผยโฉมเป็นครั้งแรกที่งาน Tokyo Motorshow นี้
และจะมีการผลิตจำกัดจำนวนทั้งโลกแค่ 700 คันเท่านั้น
ความพิเศษของ M4 GTS มีตั้งแต่หัวยันท้าย เอาเครื่องยนต์ก่อนเลยละกัน
มันก็ยังเป็นเครื่อง 6 สูบเรียง ใช้เทอร์โบธรรมดาไม่เป็น Twin Scroll 2 ลูก
ความจุ 3.0 ลิตร แต่มีการติดตั้งระบบฉีดน้ำเข้าเครื่อง [Water Injection System]
บางคนอาจจะหาว่าบ้า ฉีดน้ำเข้าเครื่องเครื่องก็พังดิ..ไปเรียนทางไกลกับ Google
มาสักหน่อยเถอะครับ..ไอ้น้ำที่ฉีดเข้าเครื่องนี่เข้าฉีดเป็นละอองฝอยละเอียดมาก
ไม่ใช่ฉีดเป็นสายแบบขวดยาล้างจานครับ พอน้ำฉีดเป็นฝอยเข้าไป ประโยชน์ของมัน
ก็คืออุณหภูมิการเผาไหม้ลดลง สามารถจัดไฟจุดระเบิดแก่ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องกลัว
ว่าจะมีการชิงจุดระเบิด ผลพวงจาก Water Injection System บวกกับท่อไอเสีย
ไทเทเนี่ยมอย่างโหดกับการจูนเก็บงานขั้นท้ายสุดนี่ทำให้แรงม้าเพิ่มจาก 431PS
เป็น 500PS แรงบิดเพิ่มจาก 550 เป็น 600Nm
น้ำหนักตัว เบาลงกว่าเดิม 100 กก. เหลือเพียง 1.51 ตัน ทั้งๆที่ต้องแบกถังน้ำ
สำหรับฉีดใส่เข้าเครื่องไว้ด้านท้ายอีก 5 ลิตร ถ้าน้ำหมด ก็ไม่ต้องกลัว Sensor
ที่ถังจะบอกกล่อง ECU ว่าน้ำหมดแล้วโว้ย ECU ก็จะปรับน้ำมันกับไฟและลดบูสท์
กลายเป็น MAP ธรรมดา
นอกจากนี้ BMW ยังปรับโปรแกรมการล็อคความเร็ว ย้ายจาก 250 ไปเป็น 304 กม./ชม.
แทน ที่บอกว่าย้าย..เพราะไม่ได้ปลด เพราะถ้าปลดและเรียงอัตราทดดีๆ 500 ม้านี่พอ
ให้วิ่งได้ 320 แน่ๆ แต่เขาไม่เอา พอแค่นี้ ส่วนระบบส่งกำลังนั้นมีเพียงแบบเดียวคือ
คลัตช์คู่ 6 จังหวะ
ล้อหน้า 19 นิ้ว ล้อหลัง 20 นิ้ว ยาง Michelin CUP2 ช่วงล่างแบบสตรัทปรับสไลด์เกลียว
ปรับความหนืดได้มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เบรกคาร์บอนเซรามิกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ส่วน X-Bar สีส้มในรถ ถ้าอยากได้ ขอ BMW ดีๆ เขาก็จะให้มาฟรี (จริง!) ตัวรถมี
ให้เลือกแค่ 3 สี คือ เทาแต้มส้ม ดำแต้มส้ม และขาวแต้มส้ม..นี่ BMW ติดเชื้อรสนิยม
สีสันรถแบบ Greyscale ไปจากประเทศเราหรือไง (วะ)
Jaguar ขน F-Pace มาโชว์ตัว เพิ่งเผยโฉมไปที่เจนีวาไม่นานมานี้
และยังไม่มีรายละเอียดอะไรมากนัก ตัวรถนั้นล็อค ไม่สามารถเปิดดูอะไรได้
ทรวดทรงภายนอก พูดง่ายๆว่าซีกล่าง มันคือ SUV ที่ล้อโตมาก แต่ซีกบนเปรียว
เหมือนรถเก๋ง F-Pace จะประกอบขึ้นที่โรงงานเมือง Solihull ในอังกฤษเช่นเดียวกับ XE
และมีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 แบบ คือ 2.0 ลิตรเทอร์โบดีเซล Ingenium 178 แรงม้า
ตามมาด้วยเครื่องดีเซล 3.0 V6 เทอร์โบ 296 แรงม้า และเบนซินเทอร์โบ 375 แรงม้า
ส่วน XE เป็นรุ่นเล็กสุดของ Jaguar ณ ปัจจุบันที่ทำออกมาเพื่อ “แก้มือ” สิ่งที่เคยทำ
ผิดพลาดไว้สมัยเป็น X-Type หน้าตาตัวจริง ให้คุณนึกไว้เลยว่ามันดูแบนและเตี้ยกว่า
3-Series มาก สมัยก่อนผมเคยบ่นว่า 3-Series นี่รถยาวใหญ่เสียเปล่าแต่เข้าออกยาก
(สำหรับคนไซส์ผม) พอเป็น F30 ปุ๊บ คราวนี้เข้าออกง่ายขึ้น แต่ XE นี่ความเตี้ยของหลังคา
ทำให้เข้าออกจากกว่าซีรีส์ 3 สมัยเป็นบอดี้ E90 เสียอีก แต่ถ้าเรื่องความสวยงาม
ไม่เถียงครับ มันดูแล้วเป็น Jaguar และเปรียวแบบที่เสือตัวเล็กควรจะเป็น
ความเห็นส่วนตัว: อะไรเอ่ยที่ NP300 Navara กับ XE และ F-Pace คล้ายกัน
คำตอบ? ภายในสวยนะ..แต่ใครก็ได้ช่วยทำอะไรกับดีไซน์ช่องแอร์กลางหน่อยเถอะ
Lexus RX450h
เรียกได้ว่าผมมาบูธ Lexus เพื่อดูคันนี้คันเดียวเลย แต่รอบคนทั่วไปนี่ ล็อคครับ ชืนชมได้ห่างๆ
เหมือนคนธรรมดากับอั้มพัชราภานั่นแหละ และไม่ครับ..ผมไม่สนรถต้นแบบ LF-LC ที่จอดอยู่
ห่างออกไปนั่นเลย พูดง่ายๆคือตั้งแต่พบ Nissan Ellure กลายร่างมาเป็น Sylphy และเห็นรถต้นแบบ
ของ Subaru หลายรุ่นกลายร่างมาเป็นรถคันจริง ผมไม่ค่อยจะกรี๊ดกร๊าดอะไรกับรถต้นแบบมากเท่ากับ
รถคันที่มันทำเสร็จแล้ว เป็นงานจริงพร้อมขายหรอกครับ
RX ตัวใหม่นั้นเผยโฉมมาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาแล้ว ปัจจุบันก็มีขุมพลังให้เลือก 3 แบบ
คือ 8AR-FTS 2.0 ลิตรเทอร์โบ 235 แรงม้า จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ในรุ่น RX200t
ตามมาด้วย 2GR-FKS 3.5 ลิตร V6 295 แรงม้าใน RX350 และปิดท้ายด้วย RX450h เครื่อง 2GR-FXS
ไฮบริดV6 3.5 ลิตร 308 แรงม้า (พลังเครื่อง 263 ม้า +พลังมอเตอร์ 167 แต่รวมกันแล้วนับเป็น 308)
RX ใหม่มีตัวถังที่ยาวกว่ารุ่นเดิม 120 มม. ฐานล้อยาวกว่าเดิม 50 มม. และกว้างกว่าเดิม 10 มม.
ทำให้เนื้อที่ภายในห้องโดยสารยาวขึ้นมาก แต่ก็ยังเป็นรถ 5 ที่นั่งแบบเดิม ไม่ได้เพิ่มที่นั่งแถว 3
สำหรับลูกค้าในประเทศไทย Lexus จะเอาตัวจริงมายั่วน้ำลายก่อนในงาน MotorExpo ปลายปีนี้
ด้วยรุ่น 200t แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะประกาศราคาขายพร้อมส่งมอบเลยหรือไม่
Subaru WRX S207 “The Return of STi King”
นับเป็นการทิ้งช่วงนาน 4 ปีนับตั้งแต่ S206 ซาลูนในปี 2011 ในวันนี้ Subaru ก็เผยโฉม
S207 รถรุ่นพิเศษในงาน Tokyo Motorshow พร้อมกับเปิดรับออร์เดอร์ และพร้อมส่งมอบ
ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมเป็นต้นไป
ผู้คนให้ความสนใจกันมาก บอกได้เลยว่าเข้าคิวขอลองนั่งกันยาวไม่แพ้ Civic Type-R
แต่ราคา 6.2 ล้านเยนของตัวท้อปสีเหลืองตามที่เห็นในภาพนี้โหดกว่า Civic มากครับ
S207 ดำเนินรอยตาม S-Series ที่ผ่านๆมาทั้งหมด (คลิกอ่านประวัติ Sรุ่นอื่นๆได้ที่นี่)
ในเรื่องการปรับแต่งเครื่อง ช่วงล่าง และภายในให้เหนือกว่า WRX STi รุ่นปกติทั่วไป
เครื่องยนต์ EJ20 2.0 ลิตร ได้เทอร์โบแบบ Twin-Scroll, ท่อไอเสียเฉพาะรุ่น และ
กรองอากาศแบบ High-flow filter พร้อมปรับจูนกล่อง ECU ใหม่ เพิ่มแรงม้าจาก
308 ในรุ่น STi เป็น 328 แรงม้าที่ 7,200 รอบต่อนาที รอบตัด 8,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 44.0 กก.ม.ที่ 3,200-4,800 รอบต่อนาที เทียบกับ S206 แล้วจะพบว่า
แรงบิดสูงสุดลากไปรอบสูงได้มากขึ้น ส่งผลให้แรงม้าสูงสุดเพิ่มตามแม้จะแค่ 8 ตัวก็เถอะ
เกียร์ 6 จังหวะ TY856 ดูแล้วก็น่าจะเหมือนกับ 6 สปีดสเป็คญี่ปุ่นที่ผ่านมาตลอด 13-14 ปี
ซึ่งแม้จะเปลี่ยนเฟือง กลไกลต่างๆบ้างแต่อัตราทดไม่เคยเปลี่ยนเลย
ช่วงล่างด้านหน้าใช้โช้คอัพ Bilstein DAMPMATIC Inverted Strut ปรับความแข็งได้
ส่วนด้านหลังเป็น Bilstein แบบซิ่งธรรมดา เบรกหน้าใช้แบบ STi/Brembo 6 Pot
ด้านหลัง 4 Pot ล้อ BBS 19 นิ้วห่อด้วยยาง Dunlop Sport Maxx RT 255/35/19
พวงมาลัยนั้นปรับอัตราทด ขนาด 13.0 ของ STi ที่ไวโคตรๆแล้ว พอเป็น S207
เปลี่ยนไปใช้อัตราทด 11.0:1 เท่าของ WRX tS Type RA NBR โฉมเก่า ไวขนาดนี้
ขับบนถนนคุณภาพยอดเยี่ยมแบบประเทศไทยคงเกร็งมือกันตายล่ะครับ
ภายใน ให้ระบบนำทางพร้อมเครื่องเสียงและลำโพง 8 ตัว แถบลายคาร์บอน
ฝั่งคนนั่งเปลี่ยนเป็นแถบสีชมพูแดงแบบ STi หน้าปัดก็เปลี่ยนจากไฟสีส้มแดง
เข็มสีขาว กลายเป็นไฟตัวเลขสีขาวแล้วเข็มสีแดง (ผมว่ามันดูธรรมดาลงนะ)
และที่ขาดไม่ได้คือเบาะนั่งบัคเก็ทซีท (ที่โอบรัดแบบรถซิ่งของจริง ไม่ใช่บัคเก็ท
ที่เป็นภาษาการตลาดแต่พอเทโค้งแล้วตัวไหลไปชิดประตู) ตัวเบาะทั้งแข็งและรัด
ลักษณะคล้าย Civic Type-R คืออย่าหวังความสบายครับ เค้าเน้นซิ่งจริงๆ
รถ S207 นั้นจะผลิตเป็นจำนวนจำกัดมาก โดยทั้งหมดจะมีแค่ 400 คัน
ประกอบด้วยรุ่น S207 ธรรมดา ไม่มีปีกหลัง และใช้ล้อสีเงิน 200 คัน รุ่น NBR-Challenge
มีปีกหลังคาร์บอน และล้อสีดำ อีก 100 คัน และรุ่น NBR-Challenge Yellow Edition
ที่เป็นสีเหลืองอย่างคันที่โชว์ในงานอีก 100 คัน ถ้าคุณอยากได้สีเหลือง กรุณารีบให้
Grey Market ที่รู้จักกันหรือใครก็ได้ใน Subaru รีบทำการจองให้ก่อนเพราะจะปิดรับจอง
ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ ส่วนรุ่นอื่นๆจะมีสีน้ำเงิน WR, สีขาว (ออพชั่นเพิ่มเงิน
32,400 เยน) และสีดำให้เลือก และปิดรับจองภายใน 26 มีนาคม 2016 ครับ
ใครอยากเป็นเจ้าของ King of STi..ก็รีบหน่อยแล้วกันครับ
S207 คนต่อคิวแน่นมาก แต่คันนี้ว่างครับ..มันคือ WRX S4 SporVita
ถึงแม้ชื่อจะฟังดูเหมือนสปอร์พืชและนมถั่วเหลืองยอดนิยมในไทย แต่ความจริง
เขาย่อมาจากคำว่า Sport และ Vital ครับ สเป็คของรถโดยหลักๆก็คือ WRX S4
เครื่อง FA20DIT สเป็คญี่ปุ่น 300 แรงม้า เกียร์ Sports LinearTronic-CVT
ติดตั้งอุปกรณ์เต็มขั้น เปลี่ยนล้ออัลลอยมาใช้ขอบ 18 ลายเดียวกับ STi บ้านเรา
แต่พ่นเป็นสีเงิน
ส่วนภายใน..ดูเอาเอง ผมลืมถ่ายรูปมา เลยถ่ายโบรชัวร์มาให้ดู
ไอเดียของเขาคือตกแต่งภายในโดยใช้หนังคุณภาพดีจากอิตาลีครับ
เป็นหนังแท้ของ Mario Levi (ซึ่งไม่ใช่ Mario Levi ที่เป็นนักประพันธ์ชาวตุรกีนะ)
หลายคนในงานโดยเฉพาะพวกฝรั่งเดินผ่านมาดู ส่วนมากทำหน้าแหยครับ
ผมเลยลองถามตาฝรั่งคนนึงว่า What do you think of the interior? แกตอบ
เสียงดังพร้อมสับมือสองข้างเลยครับ “Makes me wanna puke, man. Not a Suby I know”
ผมไม่อยากบอกเลยว่าผมเห็นภายในตัวจริงแล้วกลับชอบครับ เหมือนกับ Subaru
พยายามใช้สีเบาะที่ชวนนึกถึง Lamborghini หรือ Porsche ยกเว้นจุดเดียวครับคือ
โลโก้ WRX S4 ตัวเบ้อเร่อบนเบาะนั่นแหละที่ผมกับฝรั่งท่านนั้นอยากให้ลบออกเหมือนกัน
ปล. ในโบรชัวร์ “A sports sedan for the discriminating adult” ผมอ่านแล้ว
ก็ขำครับ เพราะ Discriminating adult ทำให้ผมนึกถึงผู้ใหญ่ที่กีดกันทางเพศ
เชื้อชาติ ศาสนา แต่พอแม่ผมมาช่วยดูอีกที กลายเป็นว่า Discriminating สามารถ
แปลความหมายทางบวกได้เหมือนกันว่า รู้จักแยกแยะ รู้จักเลือกสิ่งที่ดี
Abarth.. ตอนแรกรู้มั้ย? ผมนึกว่า Abarth คือชื่อเรียก Fiat รุ่นแรงๆมาตลอดเลย
จนกระทั่งมาค้นตอนหลังเนี่ยล่ะถึงได้รู้ว่า Abarth นั้นที่จริงก่อร่างสร้างตัวขึ้นแบบ
กระทันหัน นาย Carlo Abarth แกเป็นคนทำงานให้ทีมแข่ง Cisitalia จากนั้นทีม
ก็ล้มละลายและเจ้าของทีมหนีไปอยู่ต่างประเทศ ก็เลยมีเศรษฐีให้ทุน Carlo
ในการเข้าดูแลกิจการทีม Cisitalia ต่อแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Abarth ส่วนโลโก้
รูปแมงป่องนั้นก็มาจากลัคนาราศีเกิดของตา Carlo นั่นเอง เขาใช้รถแข่ง
และของที่เหลือจาก Cisitalia ในการทำรถแข่งประสบความสำเร็จพอสมควร
และในปี 1952 ก็เริ่มทำของแต่งให้ Fiat จนขายกิจการให้ Fiat ไปในปี 1971
จากนั้นอนาคตของ Abarth เริ่มปักหัวลง ในปี 1981 ก็ถูกยุบทิ้ง จากบริษัทในเครือ
เหลือแค่เป็น “ชื่อโมเดลแรง” ให้กับ Fiat บางรุ่นเท่านั้น ต้องรอจนปี 2007 ถึง
ได้กลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง และ Abarth 500 ก็เป็นรุ่นแรกที่พวกเขา
สร้างออกมาในปี 2008 แล้วก็ทยอยอัพเกรดมาเป็น Abarth 595 และ 695
ส่วนที่เห็นข้างบนนี้คือ Abarth 695 Biposto ซึ่งโฆษณาตอนเปิดตัวว่าเป็น
“ซูเปอร์ขนาดขนาดเล็กที่สุดในโลก”
สูตรในการปรุงก็คือ เอา 695 Assetto Corse ที่เป็นตัวแข่งมาทำให้สามารถ
วิ่งบนถนนได้ เครื่องยนต์ 1.4 ลิตรเทอร์โบ 187 แรงม้า ในบอดี้นี้มันก็เป็นรองแค่
Assetto Corse ตัวแข่งที่ผลิตจำกัด 49 คัน (200 แรงม้า) เท่านั้น เบาะหลัง
ถูกถอดออก เครื่องปรับอากาศและของที่ไม่จำเป็นโยนทิ้งหมด แต่น้ำหนักตัว
เพิ่มจากรถรุ่นธรรมดา 930 กก. ไปอยู่ที่ 997 กก. เพราะล้อ OZ 18 นิ้วกับพวก
โรลเคจและเหล็กดามจุดต่างๆที่ใส่เข้าไป ท่อไอเสียซิ่งของ Akrapovic
จากโรงงานมาเลย ข้อเสียเอาเข้าจริงสำหรับคนรักรถเล็กแรงๆก็คงมีแค่อย่างเดียว
นั่นคือราคา รถ Biposto ใส่ออพชั่นแค่ไม่กี่อย่าง ราคาจะเท่ากับ Fiesta ST 2 คัน
และถ้าสั่ง Biposto ใส่ออพชั่น Race pack +เต็ดซิ่ง+คันเกียร์ซิ่งและฝากระโปรง
อะลูมิเนียม มันก็จะตกราว 48,000 ปอนด์ เพิ่มอีก 2,000 ก็ได้ Porsche Cayman S
ถ่าย Fiat 500X มาไม่ใช่อะไรหรอก..ใครหนอช่างเลือกพรีเซนเตอร์นางนั้นได้
เข้ากับหน้าตาของรถอย่างยิ่ง..ส่วน 500X น่ะเหรอ มันก็คือครอสโอเวอร์ขนาดเล็ก
ที่ใช้แพลตฟอร์ม Fiat/Chrysler ขนาดตัวถังยาว 4.24 เมตร (เท่า Tiida Hatchback)
และใช้เครื่อง Multiair เบนซิน 1.4 เทอร์โบ 140-162 แรงม้า กับเครื่อง Multijet
เทอร์โบดีเซล 1.6 ลิตร 120 แรงม้า, 2.0 ลิตร 140 แรงม้า และตบท้ายด้วยเครื่องเบนซิน
2.4 ลิตร Tigershark ของ Chrysler 182 แรงม้านั่นเอง
ทั้ง Fiat 500X และ Jeep Renegade แชร์แพลทฟอร์มและเครื่องยนต์กลไกกัน
และทั้งคู่ก็ถูกประกอบขึ้นที่โรงงานเมือง Melfi ประเทศอิตาลีของ Fiat นี่ล่ะครับ
Audi Prologue Allroad
เป็นรถที่สับสันระหว่างการเป็น Shootingbrake ทรงเปรียวกับรถขับเคลื่อนสี่ล้อ
Ground Clearance เหมือนจะสูง แต่ก็ไม่สูงมากนัก รูปทรงปราดเปรียวโดดเด่น
เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตรเทอร์โบจาก RS6 ให้กำลัง 598 แรงม้า บวกกับชุดมอเตอร์
ไฟฟ้าไฮบริด ทำให้มีพลังรวมทั้งสิ้น 724 แรงม้า แรงบิดรวมกันถึง 900 Nm
ถ้าเอามาผลิตเป็นรถจริง ไม่ต้องสืบว่าจะแรงขนาดไหน
ส่วนรถรุ่นอื่นๆในค่ายก็นำมาโชว์ในโทนสีน้ำเงิน A4 ตัวแวก้อนนั้นบอกได้เลยว่า
ถ้าเอาเข้ามาขายในไทยแล้วทำราคา 2 ล้านต้นๆได้โดยใช้เครื่อง 2.0 เทอร์โบ
ผมว่า Levorg กับพวก GLA มีสิทธิ์ตายเรียบ รูปทรงบนหนังสือนั้นอาจจะดูไม่ต่าง
จาก Audi A4 ที่แล้วๆมา แต่ของจริง ทรวดทรงจะดูยาวจนบางทีมองเผินๆนึกว่า
เป็น A6 ส่วน R8 รุ่นใหม่นั้น พอได้เห็นของจริง ผมกลับมองว่ารุ่นที่แล้วมีดีไซน์
ที่ลงตัวกว่าทั้งภายนอกและภายใน รุ่นใหม่นี้มีแต่ไฟหน้าเท่านั้นที่สวยขึ้นจริงๆ
แต่ด้านข้างและสัดส่วนของรถ ดูแล้วกลับใกล้เคียงรถธรรมดามากกว่าเดิม
บูธ Volkswagen มาครบทุกตัว แต่ตัวที่ผมสนใจมากที่สุดคือพ่อบ้านโหดขับสี่
อย่าง Golf R Variant นี่ พื้นที่บรรทุกสัมภาระถ้าพับเบาะลงจะได้ถึง 1,620 ลิตร
ส่วนเครื่องยนต์นั้นเป็นเครื่อง 2.0 ลิตรเทอร์โบ แรงม้าในสเป็คญี่ปุ่นจะอยู่ที่ 280แรงม้า
(ในตลาดโลกจะเป็น 296 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 380Nm ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา
หรือ DSG สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4 Motion
เรื่องราคาตัว Variant นี่ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ Golf R Hatchback
เกียร์ธรรมดาขายอยู่ 5.39-5.49 ล้านเยน ส่วน Golf GTi จะตั้งราคาไว้ 3.89-3.99ล้าน
(Civic Type-R 4.28 ล้านเยน..เอาราคาไว้อ้างอิงแล้วกันสมมติว่ารถทั้งหมดนี้
มาขายในไทย)
ส่งท้ายงาน Tokyo Motorshow ด้วยคันนี้แล้วกัน Porsche Cayman GT-4
แต่สงสัยมากว่าทำไมไม่เอาสีเหลืองหรือสีน้ำเงินที่เป็นตัวโปรโมทมา..เอาสีเงินมาแทน
Cayman GT-4 เป็นรถรุ่นพิเศษของ Cayman แทนที่จะใช้เครื่องยนต์ 3.4 ลิตรแบบ
Cayman S ก็ไปยกเอาเครื่อง 3.8 ลิตรของ 911 (991) Carrera S มาใส่แล้วปรับพลัง
ลดลงจาก 400 ม้าเหลือ 385 แรงม้า (มันมีกฎเหล็กที่รู้กันในรั้วชตุทการ์ท ว่า Cayman
เป็นรุ่นน้อง และ 911 เป็นรุ่นพี่ และ รุ่นน้องจะปีนเกลียวรุ่นพี่ไม่ได้)
Cayman GT-4 มีระบบส่งกำลังเพียงแบบเดียวคือขับเคลื่อนล้อหลัง ใช้เกียร์ธรรมดา
6 จังหวะ ตัวรถได้ช่วงล่างแบบสปอร์ตที่กดเตี้ยลงกว่าปกติอีก 30 มม. มีน้ำหนักตัวถัง
เบาแค่ 1,340 กก. (เบากว่า Civic Type R ตัวใหม่ 40 กก.) สามารถสั่งออพชั่น
Clubsport Package พร้อมโรลเคจหลังและสวิตช์ตัดระบบไฟแบบรถแข่งเพิ่มได้
Cayman GT-4 วิ่งรอบสนาม Nurburgring ได้ด้วยเวลา 7 นาที 42 วินาที ซึ่งไล่เลี่ย
กันกับ 911 GT3 ปี 06 กับ 911 GT2 ปี 01 และ Audi R8 V10 รุ่นที่แล้ว
ทิ้งท้ายกันด้วยคลิป Walter Rohrl ควบ Cayman GT-4 ก็แล้วกันครับ
งานนี้ มีอีกหลายบูธที่ยังไม่ได้ไปเยี่ยมชมอย่างจริงจัง และมีบางบูธที่ไป แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา
อย่างเช่น Mazda ซึ่งที่จริงผมหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องไปลองนั่ง MX-5 ตัวใหม่ให้ได้แต่ก็ไม่ได้ทำตามที่หวัง เพราะคิวคนรอลองนั่ง..มันยาวพอๆกับ Civic Type R เลยครับ
และผมเองก็เริ่มจะทนความปวดของขาไม่ไหว เพราะเดินตั้งแต่ 11.30 น. จนถึง 18.30 น.
โดยมีนั่งก็ต่อเมื่อกินข้าวช่วงพักกลางวันเท่านั้น แถมยังต้องขึ้นไป Hall 3 ชั้นบนเพื่อซื้อ
รถของเล่น Tomica ที่มีใบสั่งมา และเผื่อแรงไว้เดินซื้อหนังสือแบกกลับบ้านอีกหลายกิโล
ดังนั้น ก็คงมี MX-5 นี่ล่ะที่เป็นแค้นฝังในใบสั่ง ต้องหาโอกาสนั่งให้ได้ไม่ช้าก็เร็ว
ส่วนรถรุ่นอื่นๆ เช่น Honda S660 นั้น ผมมีแผนไว้แล้วครับ..ว่าหลังจากพักขาให้หายเสร็จ
วันรุ่งขึ้น ผมจะแวะไปเยี่ยม Honda Welcome Plaza ที่ Aoyama เสียหน่อย และถ้าว่างพอ
ก็จะแว่บไป Megaweb ของ Toyota ด้วย
แล้วจะมาเขียนเล่าให้ฟังกันต่อครับ!
Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
คลิป Youtube เจ้าของลิขสิทธิ์ตามในคลิป
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
16.11.2015
Copyright (c) 2015 Text and Pictures (exclude
Youtube Clips as posted)
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
16.11.2015