ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ Ferrari จะปลดระวาง California T แล้ว โดยผู้ที่จะมาเป็นตัวตายตัวแทนคือ Ferrari Portofino ที่สร้างขึ้นจาก platform ใหม่ ที่น้ำหนักเบากว่ารุ่นเดิม แม้เครื่องยนต์จะยังคงเป็นของเดิมแต่มีการดัดแปลงใหม่จนรีดกำลังได้สูงขึ้น นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงช่วงล่างและเพิ่มเทคโนโลยีใหม่เข้ามาด้วย

ภายนอกของ Ferrari Portofino ออกแบบให้ดูดุดันในแบบตัวถัง two-box fastback พร้อมหลังคาแข็งเปิด – ปิดได้ ด้านหน้ามาพร้อมกับกระจังหน้าขนาดใหญ่ และไฟหน้าแบบ Full-LED ที่มีความเฉียบคมมากกว่ารุ่นพี่ บริเวณขอบโคมไฟหน้ายังมีช่องดักลมซ่อนอยู่ เพื่อช่วยลดการต้านอากาศด้วยการส่งลมที่มาปะทะออกทางแก้มคู่หน้า
ด้านหลังเน้นความสปอร์ตเช่นเคยด้วยไฟท้ายที่แยกออกจากกัน ทั้งยังออกแบบมาให้ซ่อนกลไกเปิด – ปิดหลังคาแข็งได้อย่างแนบเนียน สำหรับมิติตัวถังของ Ferrari Portofino ยาว x กว้าง x สูง = 4,586 x 1,938 x 1,318 มิลลิเมตร
ห้องโดยสารของ Ferrari Portofino มาพร้อมกับพวงมาลัยใหม่และหน้าจอสัมผัสขนาด 10.2 นิ้ว ระบบปรับอากาศให้ความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสารไม่ว่าหลังคาจะเปิดหรือปิดอยู่ เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 18 ทิศทางพร้อมออกแบบด้านหลังของเบาะใหม่ให้มีพื้นที่สำหรับผู้โดยสารด้านหลังมากขึ้น นอกจากนั้น ยังมีการปรับปรุง wind deflector ที่ลดลมภายนอกตีเข้ามาในห้องโดยสารได้ 30% เมื่อเปิดหลังคา


ขุมพลังของ Ferrari Portofino เป็นเครื่องยนต์เบนซิน แบบ V8 ขนาด 3.9 ลิตร 3,855 ซีซี. เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 600 แรงม้า (PS) ที่ 7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 760 นิวตันเมตร ที่ 3,000 – 5,250 รอบ/นาที ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.5 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง
platform ของ Ferrari Portofino เปลี่ยนไปใช้แบบใหม่ที่ทำขึ้นจากวัสดุน้ำหนักเบากว่าเดิม แต่ให้ความแข็งแรงมากขึ้น อัตราการกระจายน้ำหนักหน้า : หลังอยู่ที่ 46 : 54 สำหรับอุปกรณ์ที่ติดตั้งใน Ferrari ตัวถัง GT เป็นครั้งแรกใน Ferrari Portofino คือ Electronic Rear Differential แบบ (E-Diff 3) พร้อมระบบ F1-Trac


นอกจากนั้น ยังมีพวงมาลัย EPS ที่ลดอัตราทดลง 7% แต่ยังคงไว้ซึ่งการตอบสนองและความมั่นคงในการขับขี่ ช่วงล่างของ Ferrari Portofino เป็นแบบ SCM-E ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Dual Coil ช่วยดูดซับแรงสะเทือนจากพื้นถนนได้มากขึ้น ช่วยให้การขับขี่เฉียบคมมากขึ้น ทั้งยังคงเอาไว้ซึ่งความนุ่มนวล
กำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Ferrari Portofino จะมีขึ้นในงาน 2017 Frankfurt International Motor Show ที่จะจัดขึ้นในเดือนกันยายนนี้ แฟนๆ ค่ายม้าพยศอดใจรอชมได้เลย


ที่มา: ferrari