หนึ่งในประเทศที่ Super Car มีราคาจำหน่ายค่อนข้างสูง คือประเทศจีน และ สถิตินี้
จะยังคงอยู่ต่อไป หลังจากที่รัฐบาลในกรุงปักกิ่งได้ประกาศเพิ่มอัตราภาษีรถยนต์ที่มี
ราคาเกิน 1,300,000 หยวน หรือราว 6,739,000 บาท อีกราว 10% ซึ่งมาตรการนี้มี
เป้าหมายที่จะลดการใช้จ่ายของผู้เหลือกินเหลือใช้, ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และ
ดึงดูดให้คนซื้อรถยนต์จากแบรนด์จีนมากขึ้น

Cui Dongshu ปลัดสมาคมรถยนต์ส่วนบุคคลหรือ Passenger Car Association ระบุว่ามาตรการนี้
จะส่งผลให้มีการลดอัตราภาษีสำหรับรถยนต์ประหยัดพลังงานด้วย ด้านฝ่ายโฆษกของ BMW ใน
ปักกิ่งให้สัมภาษณ์ว่า การขึ้นภาษีดังกล่าวจะไม่มีผลกับบริษัทมากนัก เนื่องจากสัดส่วนยอดขาย
ของรถยนต์ที่ราคาสูงระดับนั้นเป็นเพียงส่วนน้อยของบริษัท

นอกจากนี้ มีการวิเคราะห์ด้วยว่า การขึ้นภาษี 10% ไม่น่าจะทำให้ผู้ที่มีกำลังซื้อรถยนต์ระดับนั้น
เปลี่ยนใจ สำหรับอัตราภาษีที่ทางการจีนใช้กับรถนำเข้าในปัจจุบัน ประกอบไปด้วย
– ภาษีนำเข้า 35%
– ภาษีมูลค่าเพิ่ม 17%
– ภาษีการค้า 10%
และ ภาษีมลพิษที่คำนวณตามอัตราการมลพิษของรถยนต์แต่ละคัน

อย่างไรก็ตาม สถิติยอดขายรถยนต์หรูในจีนกลับสวนทางกับการคาดการณ์เพราะ ยอดขายได้
ลดลงเกือบครึ่งในระยะเวลา 2 ปี โดยที่ Rolls-Royce เคยมียอดขาย 946 คัน ในปี 2013
ลดลงเหลือ 517 คัน ในปี 2015 ส่วน Aston Martin มียอดขายจาก 304 คัน เหลือ 133 คัน
ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งเราต้องติดตามต่อว่าหลังขึ้นภาษีแล้ว ยอดขายรถยนต์เหล่านี้จะลดลง
อีกหรือไม่