“ผมว่าคันนี้มันแตกต่างออกไป มันเบากว่า คล่องกว่า พี่เพิ่งขับ MG6 มา
เดี๋ยวไปขับคันนี้ต่อเลยทันทีเดี๋ยวพี่คงรู้ครับ ผมอธิบายอาจจะไม่ชัดเจน
ผมว่าพี่ไปลองเองแล้วกัน”
ประโยคข้างบนนี้คือสิ่งที่คุณกิจ ฝ่าย PR ของทาง MG Sales ประเทศไทยบอก
กับผมในขณะที่เรากำลังนั่ง MG6 คันสีดำเลี้ยวเข้าอาคารที่จอดเก็บฝูงรถทดสอบ
ของ MGซึ่งอยู่ใต้ดินลึกลงไปมากชนิดที่ถ้าลึกกว่านี้สัก 20 เมตรก็เป็นบังเกอร์
หลบนิวเคลียร์ได้เลย
ผมตอบรับคุณกิจเบาๆว่า “เหรอ..อืม..เดี๋ยวพี่จะลองดูแล้วกันนะ” อันที่จริงก็พอ
ทราบอยู่ว่าต่างแน่ เพราะสมัยที่ J!MMY ไปลองขับที่หลังซีค่อนสแควร์ เจ้าตัว
ก็มาเล่าให้ฟัง และบอกผมว่า “ถ้ามีโอกาส ไปลองดิ มันน่าจะถูกใจคนอย่างแก”
สั้นๆ และแค่นั้น
MG6 สีดำวิ่งวนลงใต้ดินหลายชั้น ภายใต้อาคารจอดแสงไฟสลัว จนในที่สุด
ก็มาจอดเข้าซอง อยู่ในช่องจอดตรงข้ามกันกับ MG5 สีแดงแสบลูกกะตาคันนี้
จากนั้นก็เริ่มขั้นตอนกรอกเอกสารการยืมรถกันตรงนั้น แล้วก็ย้ายของใช้ส่วนตัว
และ EasyPass (ซึ่งบางทีก็อยากเรียกว่า DifficultPass) มาอยู่ใน MG5 แล้วก็
ขับออกมา..
ผมส่งคุณกิจลงที่ด้านหน้าอาคารจอดรถ โดยที่เจ้าตัวหันมาส่งยิ้มและโบกมือลา
พร้อมกับบอกว่า “ขอให้มีความสุขกับการขับรถนะครับ” ผมพยักหน้ารับและเลี้ยว
รถออกมาถนนสีลมโดยที่ในใจยังตะขิดตะขวงอยู่กับเบาะนั่งซึ่งแม้พยายามปรับ
ตั้งแต่ตอนจอดอยู่ในลานจอดรถแล้วก็รู้สึกว่าเบาะนั่งอยู่ค่อนข้างสูง เทียบกับ MG6
ที่ผมเพิ่งจะคืนไปเมื่อ 5 นาทีก่อนหน้านี้แล้วต่างกันลิบลับ
แล้วพวงมาลัย..ก็เบาหวิวมาก มากกว่า MG รุ่นใดๆที่ผมเคยขับมาทั้งหมด
เป็นความรู้สึกแปลกๆที่ระคนกัน เหมือนสาวพวงมาลัย Suzuki Swift ของพี่สาวผม
โดยนั่งอยู่ในรถที่หลังคาสูงกว่า MG6 ไม่มาก แต่เบาะสูงเหมือนเจ้า
MG3 ตัวเล็กที่ผมยืมมาขับเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
ผมฝ่ารถติดบนถนนสีลม ใช้เวลาส่วนหนึ่งของชีวิตจ้องมอง เคาะและลูบ
แดชบอร์ดที่เหมือนหลุดมาจากปี 2008 ของ MG5 และพยายามสำรวจ
ส่วนอื่นของตัวรถ รู้สึกว่ามีแค่จอ Infotainment นี่ล่ะที่ให้ความรู้สึกทันสมัย
ถ้าไม่นับเรื่องจอผิวสัมผัสหยุ่นๆเหมือนคอมพิวเตอร์ Laptop 10 ปีก่อนนั้น
การใช้งานทั่วไปกับ Interface ก็โอเค เป็นจอทัชสกรีนทำงานไว เข้าใจไม่ยาก
ผมเลี้ยวขึ้นทางด่วนด่านสุรวงศ์เพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน สภาพการจราจรโล่งขึ้น
เมื่อออกจากด่านมาสักพักก็ลองกดคันเร่งดูจังหวะออกตัว MG5 ซึ่งตอบสนอง
หนืดๆในช่วงรอบเครื่องต่ำ จู่ๆพอรอบแตะ 2,700 ก็เปลี่ยนอารมณ์เข้าสู่โหมด
เกรี้ยวกราด ลองนึกสีหน้าผู้หญิงที่กำลังชิลล์สุดๆในขณะกำลังซักผ้า
เช้าวันอาทิตย์..ก่อนที่จะพบรอยลิปสติกอันไม่ทราบที่มาบนปกเสื้อของแฟนดู
นั่นล่ะครับใช่เลย
“ใช้ได้นี่หว่า ไม่เลว..หึหึ..ไม่เลวเลย” ผมพูดพลางตบพวงมาลัยของ MG5 เบาๆ
เปล่าหรอก มันไม่ได้แรงจนพยศส่ายเป็นตะขาบตะกายหนีเป็ดหรือแรงแบบรถ
สปอร์ต แต่ให้อารมณ์มันส์แบบที่ทำให้ผมยิ้มออก ทำให้แทนที่ผมจะลงทางด่วน
หลังด่าน 10 บาทเพื่อกลับบ้าน ผมตัดสินใจยิงยาวไปลงสุดทางด่วนที่เชียงราก
แล้วค่อยวกกลับมาบ้าน..อารมณ์เหมือนคนที่ออกเดทครั้งแรกแล้วถูกใจคู่เดท
ตอนแรกกะชวนกินแค่มื้อกลางวันแล้วเปลี่ยนใจ..ไปมื้อเย็นต่อเลยว่างั้นเถอะ
MG5 นี้หากเทียบกับคนเรา ก็น่าจะเป็นลูกคนกลางที่มีพี่สาววัย 35 แต่งตัวครบๆ
และนิสัยผู้ใหญ่อย่าง MG6 และมีน้องสาวเป็นเด็กมหาลัย ที่ผู้คนชื่นชอบมากมาย
ตัวปุ๊กลุก แต่งตัวมีสีสันอย่าง MG3 …แต่ตัว MG5 เขาเองก็มีจุดเด่น ซึ่งถ้าได้เห็นเวลา
เขาใช้ชีวิต มีเสน่ห์แบบคนดุ ใครด่ามาก็สวนไปทันที ใจร้อนพร้อมฉะ ซึ่งแตกต่าง
จากพี่น้องตัวเองโดยสิ้นเชิง
อันที่จริงคุณอาจจะอ่านแค่ย่อหน้าข้างบนนี้ ข้ามไปดูตัวเลขสมรรถนะ แล้วปิด
บทความไปเลยก็ได้ แต่ยังก่อนครับ MG5 ก็เหมือนกับรถทุกคันที่เรานำมาลองซึ่ง
ประกอบขึ้นมาด้วยต้นทุน 1 ก้อนที่ใกล้เคียงกับรถของคู่แข่ง แต่การที่รถจะมีจุดดีและ
จุดด้อยอยู่ตรงไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทรถจะเอาเงินทุน ไปลงกับส่วนไหนมากหรือ
น้อยเพียงใด MG5 ก็หนีไม่พ้นกฎแห่งต้นทุนข้อนั้น รถของคู่แข่งก็หนีไม่พ้นเช่นกัน
เราเลยต้องมานั่งบอกเล่ากันว่าใครดีจุดไหน ใครมีจุดด้อยอย่างไร
ผมอยากให้คุณลองอ่านบทความนี้ต่อไปก่อนที่จะด่วนสรุปว่าคันไหนดีสุด
คันไหนคุ้มสุด แบบที่คุณผู้อ่านหลายท่านพยายามคาดคั้นให้ผมฟังธงว่ารถคันไหนดี
ที่สุดสำหรับพวกเขาโดยที่มองข้ามรายละเอียด จุดเด่น จุดด้อย ว่าตรงกับ
จุดประสงค์การใช้งานและรสนิยมมากน้อยแค่ไหน เราดูกันให้ครบ เพราะซื้อรถ
คันนึงไม่ใช่โอเดงย่า กาก้า คัมคัม นะครับ ซื้อวันนี้ ผ่อนกันจนลูกจบอนุบาล
ให้เวลากับการรวบรวมข้อมูลสักนิดก่อนตัดสินใจเถอะครับ อย่าเลือกแค่เพราะ
มีคนบอกว่าดี เพราะผมบอกว่าดี ผมมีหน้าที่แค่ช่วยนำเสนอข้อมูลการเปรียบเทียบ
จากมุมมองของผมสู่คุณผู้อ่าน แค่นั้นแหละครับ
ก่อนอื่นๆ เรามาดูประวัติแบบย่อของ MG5 กันครับ
MG5 Saloon หรือที่เมืองนอกเรียกว่า MG GT นี้ มีพื้นฐานเริ่มต้นมาจากรถ
MG5 Hatchback ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ 28 มีนาคม 2012 โดยเกิดจากการนำเอา
บอดี้แบบแฮทช์แบ็คขนาดกระทัดรัด ซึ่งได้รับความนิยมในยุโรป มาครอบลงบน
แพลทฟอร์มรถรุ่น MG350 ซึ่งผลิตขายมาตั้งแต่ปี 2010 จากนั้นปรับปรุงการ
ออกแบบให้มีความเป็นวัยรุ่น ดูปราดเปรียวขึ้นมากว่ารุ่น 350
ทีมออกแบบที่รับผิดชอบ MG5 เป็นทีมของ Carl Gotham ภายใต้การนำของ
ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ Anthony Williams-Kenny ซึ่งเป็นผู้ดูแลการออกแบบ
ของ MG6 ด้วยเช่นกัน ในการสร้างรูปลักษณ์ของ MG5 นั้น Carl Gotham อธิบาย
ไว้ว่าทีมออกแบบพยายามใช้เส้นสายแบบ 6 เหลี่ยม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำค่าย
ดังที่เห็นได้จากโลโก้ MG เอามาประยุกต์ใช้กับการออกแบบส่วนต่างๆของตัวรถ
เห็นได้ชัดจากไฟหน้า ไฟท้าย และประตู แม้แต่ฝากระโปรงหน้าแบบ V-Shape
และแผงแดชบอร์ดภายใน พวกเขาสร้างรถต้นแบบ MG Concept5 ออกมาก่อน
และนำไปโชว์ในงาน Shanghai Auto Show ปี 2011
ภายในเวลาไล่เลี่ยกันกับรุ่น Hatchback ทางทีม ก็มีการซุ่มพัฒนารถบอดี้
4 ประตูคูเป้แบบเงียบๆ โดยอาศัยนักออกแบบจากทั้งฝั่งอังกฤษและฝั่งจีนทำงาน
ร่วมกัน โดยเหตุที่ต้องใช้ดีไซน์เนอร์จากจีนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นนั้นก็เพราะว่ารถ
4 ประตูรุ่นใหม่จะมีตลาดหลักอยู่ที่ประเทศจีน และประเทศอื่นในแถบเอเชีย
ทำให้ทาง SAIC ต้องการรูปลักษณ์ที่ต้องตาคนในภูมิภาคนี้มากกว่ารุ่น
MG5 Hatchback แต่ต้องใช้ธีมการออกแบบและชิ้นส่วนต่างๆร่วมกันให้ได้
มากที่สุดโดยไม่นับเรื่องตัวถังภายนอกบางจุด และซีกหลังที่ต้องต่างกันอยู่แล้ว
ตามประสารถ4และ5ประตู ทำนองคล้ายๆกันกับ Corolla บ้านเรากับ Toyota Auris
ซึ่งภายนอกต่างกัน แต่กลไกที่อยู่ข้างในลึกๆแล้วคือรถคันเดียวกันนั่นล่ะครับ
พวกเขาใช้เวลาในการออกแบบตัวถังอยู่ 36 เดือน โดยที่ต่อมา ก็เริ่มมีภาพหลุดจาก
เว็บไซต์ประเทศจีนในเดือนเมษายน 2014 ทำให้สื่อมวลชนต่างๆทั้งในประเทศจีน
และประเทศอื่นๆเริ่มจับตามองมากขึ้น เพราะในช่วงก่อนหน้านั้น รถซีดานขนาด
B-Segment ของทางค่ายนั้นก็มีแต่ MG350 ซึ่งมีหน้าตาค่อนข้างจืดชืดเมื่อเทียบ
กับเส้นสายสิงห์โตเสือดาวของรถ 4 ประตูคูเป้ตัวใหม่ 2 เดือนต่อมา ภาพถ่ายอย่าง
เป็นทางการเผยให้เห็นรายละเอียดตัวถังที่ชัดเจนทุกส่วน และเผยชื่อที่จะใช้
ทำตลาดว่า “MG GT” ซึ่งเป็นชื่อที่สืบทอดมาจากรถสปอร์ตขนาดเล็กของ MG
ในยุคก่อนอย่าง MGB GT, MGC GT และ MGB GT V8
(ส่วนตัวผมดีใจที่ MG Thailand เลือกจะใช้ชื่อ “5” ซึ่งเป็นเลขมงคลของชาวไทย
และไม่ต้องอาศัยภาพลักษณ์รถ GT รุ่นเก่ามาช่วยโปรโมตให้คนสับสนว่ารถขับหน้า
รุ่นใหม่มีอะไรเชื่อมโยงกับรถสปอร์ตเล็กขับหลังจากหลายทศวรรษก่อน)
ในเดือนมิถุนายน ทาง MG ได้ขนรถ GT ที่เป็นเวอร์ชั่น Pre-production ไปโชว์
ที่เมือง Birmingham ในอังกฤษ จากนั้นก็เริ่มทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ สร้างกระแส
และ 4 กันยายน 2014 ที่ Shanghai Zhengda Plaza ทาง MG ได้มีการจัดงานใน
วาระพิเศษครบรอบ 90 ปีแบรนด์ MG โดยมีการจัดงานในธีมที่ชื่อ
“Wonderland of 90s’ YOUNG” แล้วก็เริ่มเปิดรับจองกันในเดือนตุลาคม 2014
ก่อนที่จะทำพิธีเปิดตัวและเริ่มขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2014
ดังนั้นเวลาจะค้นจะหาอะไรใน Google ลองใช้คำว่า MG GT ค้นดูก็ได้นะครับ
เพราะบ้านเราจะเรียกรุ่น 4 ประตูว่า MG5 แต่ในต่างประเทศ MG5 จะเป็นรถ
รุ่น 5 ประตูครับ
หลังจากเปิดตัวในเมืองนอกสักพัก ก็มีข่าวในประเทศไทยว่า MG จะเอาซาลูน
รุ่นใหม่เข้ามาขายหลังจากที่เปิดตัว MG6 โฉมแรกไปก่อนหน้าแล้ว แล้วก็มี
คุณนามแฝง Tapanan ซึ่งเป็นผู้อ่านเว็บของเรา ถ่ายรูปรถพรางตัวทดสอบ
เอาไว้ได้ในเดือนมิถุนายน 2015 ซึ่งรถคันนั้นกำลังทดสอบวิ่งขึ้นไปทาง
ดอยอินทนนท์
ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2015 ทาง MG Sales ประเทศไทยก็เปิดตัว MG5
เวอร์ชั่นไทยอย่างเป็นทางการ ณ Center Point Studio ซอยลาซาล โดยมี
ให้เลือก 2 ระดับการตกแต่งคือ รุ่น D (ไม่มี Sunroof) และรุ่น X Sunroof
มากับ 2 ขุมพลังคือ 1.5 ลิตร ไร้เทอร์โบ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ และเครื่องยนต์
1.5 ลิตรเทอร์โบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ วางราคา ณ วันเปิดตัวไว้ตั้งแต่
629,000-739,000 บาท และปรับราคาเพิ่มอีกรุ่นละ 20,000 บาทเมื่อเข้าสู่
ปี 2016
MG 5 มีความยาว 4,612 มิลลิเมตร กว้างถึง 1,804 มิลลิเมตร สูง 1,488 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อยาว 2,650 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า / หลัง (Front & Rear
Track) อยู่ที่ 1,543 และ 1,544 มิลลิเมตร
ยกตัวอย่างเทียบกับ Honda City ซึ่งถือว่าเป็นรถยอดนิยมรุ่นหนึ่งในพิกัดนี้
จะพบว่ามิติยาวxกว้างxสูงของ City อยู่ที่ 4,440×1,695×1,477 มิลลิเมตร
MG5 ยาวกว่าอยู่อยู่ถึง 172 มิลลิเมตร กว้างกว่าอยู่ 109 มิลลิเมตรและตัวสูงกว่า
อีก 11 มิลลิเมตร..ขนาดตัวของ MG5 ไม่ได้แค่ทำให้รถระดับคลาสเดียวกัน
กลายเป็นรถเล็กเท่านั้น แต่ยังตัวใหญ่จน C-Segment เห็นแล้วหนาว จะไม่ให้
หนาวได้อย่างไรครับในเมื่อจอดข้าง Altis แล้วดูตัวใหญ่เท่ากัน Altis ยาวกว่าอยู่
แค่ 8 มิลลิเมตรนอกนั้นมิติด้านอื่น MG5 โตกว่าหมด ไม่ต้องพูดถึง Mazda 3
หรือ Chevrolet Cruze ที่ตัวเล็กกว่า MG5 ไปแล้วในวันนี้
แต่ขนาดตัวที่ใหญ่โต ก็ทำให้มีน้ำหนักตัวเยอะกว่าเพื่อน เป็นของแลกเปลี่ยน
น้ำหนักรถเปล่าของรุ่นที่เราทดลอง ขับกัน คือ 1.5 Turbo X Sunroof หนักถึง
1,315 กิโลกรัม ถ้ารวมน้ำหนักบรรทุกจะอยู่ที่ 1,690 กิโลกรัม ถ้านึกไม่ออกว่าหนัก
ขนาดไหน พูดง่ายๆว่าเพิ่มอีก 2 กิโลกรัมก็เท่า Civic 2016 รุ่น Turbo RS แล้วครับ
และถ้าเทียบกับคู่แข่งในระดับราคาใกล้ๆกัน Honda City SV Plus ก็เบาหวิวแค่
1,102 กิโลกรัม ส่วน Mazda 2 หนัก 1,142 กิโลกรัม และ Toyota Vios S (2016)
หนัก 1,075 กิโลกรัม
ส่วน MG5 รุ่นอื่นๆนั้น รุ่นปกติ 1.5 6AT ไม่มีเทอร์โบ ไม่มีซันรูฟ อยู่ที่ 1,265
กิโลกรัม รุ่น 1.5 6AT ไม่มีเทอร์โบ มีซันรูฟ อยู่ที่ 1,285 กิโลกรัม และรุ่น
1.5 เทอร์โบไม่มีซันรูฟ อยู่ที่ 1,305 กิโลกรัม
บางคนอาจถาม..ว่าในเมื่อตัวมันโตกว่า C-Segment บางคันแล้วทำไมเรา
ถึงจัดมันไปอยู่กับ B-Segment อีกล่ะ? ตอนแรกเราก็ยังก้ำๆกึ่งๆอยู่ครับจนกระทั่ง
วันเปิดตัวที่ซอยลาซาล เราได้ฟังท่านผู้บริหารนำเสนอตัวผลิตภัณฑ์และเทียบ
กับคู่แข่งในเรื่องอุปกรณ์และราคาถึงจับทางได้ว่าเขานำ MG5 ไปเทียบกับ
B-Segment เป็นหลักต่างหาก..ผมจึงคิดตามและโอเคกับการที่ MG จะมอง
คู่แข่งเป็นรถราคา 7 แสนปลายมากกว่า C-Segment ราคาป้วนเปี้ยนแถว 1 ล้าน
เพราะแม้จะขนาดใหญ่ แต่ดูอุปกรณ์ที่ให้ ดูวัสดุ และดูราคาที่ตั้งมา มันเหมาะ
ที่สุดถ้าจะแข่งกับรถบ้านสายพันห้าด้วยกันนี่ล่ะครับ
รูปทรงภายนอกเป็นแบบ Streamline ซึ่งนิยมในหมู่รถสมัยใหม่และพวกรถ
แบบ 4 ประตูคูเป้ยุคใหม่ แต่ถ้าสังเกตกันดีๆหลังคาของ MG5 ก็ไม่ได้เตี้ย
มากนัก สไตล์ของตัวรถดูแล้วให้ความรู้สึกร่วมสมัย ด้านหน้าใช้ฝากระโปรง
ทรง V-Shape ที่ลากเส้นลงมาบรรจบกับกระจังหน้าและโลโก้ 6 เหลี่ยมของ MG
ได้อย่างเหมาะเจาะ มีไฟ Daytime Running Light มาให้ในรุ่น X Sunroof
และ Turbo X Sunroof ส่วนรุ่น 1.5D กับ Turbo D จะใส่ไฟตัดหมอกหน้าให้แทน
ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบฮาโลเจนช่วยให้หน้าตาค่อนข้างดุ ด้านข้างเล่นเส้น
ลากตวัดขึ้นเกือบคล้ายของ Mercedes-Benz A-Class แนวหลังคาด้านหน้าสูง
ด้านหลังเตี้ยทรงหยดน้ำ ล้ออัลลอยแอบเชยไม่ค่อยเซ็กซี่เท่าบอดี้ ขนาดดูเหมือน
จะเล็กแต่ที่จริงใหญ่ (205/55 ขอบ 16 ใน 3 รุ่นท้อป และล้อเหล็กพร้อมฝาครอบ
กับยาง 195/65 ขอบ 15 ในรุ่นถูกสุด)
ส่วนตัวผมค่อนข้างชอบดีไซน์ของ MG5 เกือบทั้งคันแม้เวลามองด้านข้างอาจจะ
โย่งไปนิด (แต่ถ้าไม่โย่งก็คงกลายเป็นรถเตี้ยนั่งไม่สบายอีก) ด้านท้ายที่หลายท่าน
ไม่ชอบดีไซน์ไฟกับกันชน ผมกลับชอบ บางทีอาจเป็นเพราะผมชอบพวกรถ
อเมริกันอย่าง Dodge Dart กับ Charger ที่มีไฟท้ายแบบแผงแดงยาวแบบนี้
ทรงของฝากระโปรงหลังที่เป็นสันขึ้นจากรอยต่อมาถึงด้านบน เห็นแล้วนึกถึง
BMW ซาลูนในยุค Chris Bangle อยู่หน่อยๆ โดยรวมแล้วรถทั้งคันเหมือนจะ
ผสานเอกลักษณ์ MG เข้ากับเส้นสายแบบ Oriental ออกมาแล้วดูรู้ว่าเป็น MG
ยุคใหม่ และผมรู้สึกเหมือนกับบางท่านที่เห็นแล้วนึกถึง Renault นิดๆ
สวยหรือไม่สวย ก็นานาทัศนคติครับ เรื่องดีไซน์เราเห็นต่างกันได้อยู่แล้ว
การเข้าไปนั่งในรถ ถ้าใครหวังว่าจะได้ Keyless Entry ก็ขอให้เตรียมผิดหวังได้
กุญแจของ MG5 ยังเป็นกุญแจแบบพับได้ พร้อมรีโมทคอนโทรล ซึ่งมีสวิตช์กด
เพื่อปลดล็อกฝาประตูห้องเก็บของด้านหลังมาให้ด้วย รวมทั้งยังเสริมความ
อุ่นใจด้วยระบบ Immobilizer หน้าตา เหมือนกุญแจรถยุโรป ทั่วๆไปในช่วง
ชุคตั้งแต่ 1995 – 2010 ถ้าแบตเตอรี่หมด สามารถถอดเปลี่ยนถ่านได้เอง โดยใช้
ถ่านกระดุม CR2032
ในคู่มือระบุว่า MG ให้กุญแจรถมา 2 ดอก ใช้ปลดล็อกได้ทั้งหมด แต่ถ้าหาก
คุณเกิดทำกุญแจหาย และนำรถเข้าศูนย์บริการของ MG เจ้าหน้าที่ อาจยัง
ไม่สามารถเปลี่ยนได้เลยทันที เพราะจำเป็นต้องใช้เวลาในการสั่งทำกุญแจ
ชุดใหม่ให้คุณ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ
หลายคนที่ชอบเทคโนโลยีอาจจะบอกว่ากั๊กออพชั่น เพราะรถรุ่นท้อปของ
คู่แข่งที่ราคาเท่ากันเขาขยับไปใช้ Keyless Entry กันหมดแล้ว แต่ ณ วันนี้
รถของ MG ทั้งค่าย (ยกเว้น GS ใหม่) ก็ไม่มี Keyless Entry ให้ใช้ครับ
MG อาจจะมองว่าแทนที่จะใส่อุปกรณ์ตัวนี้ให้ ก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้น
แล้วเอาอย่างอื่นมาชดเชยให้แทนก็เป็นได้
ส่วนเรื่องพื้นที่ภายในนั้น ถ้าให้ผมพูดคนเดียว คนผอมๆจะประท้วงเอา
ในเมื่อสรีระร่างของผม ใหญ่โตเกินกว่าผู้คนทั่วไป ดังนั้น รายละเอียดภายใน
ห้องโดยสาร ผมคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าให้ J!MMY ลองนั่ง และช่วยบรรยายให้ฟังจาก
มุมมองและการสัมผัสจากร่างกายของเขา…ซึ่งก็เริ่มอ้วนเข้าใกล้ผมเข้าไปทุกทีแล้ว
ซึ่งความเห็นของเขา ก็มีดังนี้…..
“การเข้า – ออก จากบานประตูคู่หน้า ยังคงทำได้สะดวกในระดับหนึ่ง คุณอาจ
ต้องก้มหัวเล้กน้อย เพื่อไม่ให้ศีรษะชนเข้ากับเสาโครงหลังคารถ ส่วนการลุก
ออกมา ยังไม่ค่อยมีปัญหา ถือว่าไม่ได้แตกต่างไปจากรถยนต์ในระดับเดียวกัน
มากมายนัก
แผงประตูด้านข้าง เป็นพลาสติกสีดำก็จริง แต่บริเวณพื้นที่วางแขน จะบุด้วย
วัสดุหนังสังเคราะห์ เหมือนหนังหุ้มเบาะรถ เสริมด้วยฟองน้ำ บุนุ่มข้างใน
การวางแขน อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เหมาะสม แต่สำหรับช่วงข้อศอก อาจ
วางได้ไม่ถึงกับเต็มที่นัก
มือจับประตูด้านในรถ มีขนาดใหญ่พอๆกับ พื้นที่วางแขน ทำให้เอื้อมมือ
ลงไปหยิบขวดน้ำดื่ม ที่ช่องใส่ของบริเวณแผงประตูท่อนล่าง ยากลำบาก
ติดขัดท่อนแขน ไปหมด ต่อให้จอดรถติดไฟแดงแล้วค่อยเอื้อมมือลงไป
ด้วยซ้ำ”
“ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งแผงหน้าปัดและแผงประตูด้วยวัสดุพลาสติก
สีดำ แข็งๆ แต่เบาะนั่ง จะหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ สีครีม สว่างๆ ซึ่งคนไทย
หลายคน อาจไม่ชอบ เพราะมองว่า มันสกปรกเปรอะเปื้อนง่าย (ซึ่งในรถ
คันที่เรานำมาทดลองขับ ก็มีคนทำปากกา เปื้อนเบาะรองนั่งฝั่งคนขับให้
ได้เห็นกันอยู่ก่อนแล้ว) แต่สำหรับ J!MMY แล้ว รถยนต์ขนาดเล็ก ควรมี
ห้องโดยสารสีสว่าง เพื่อช่วยสร้างบรรยากาศ โปร่ง โล่งสบายตา แบบนี้
ถึงจะถูก ก็เป็นเรื่องของรสนิยมแต่ละบุคคล เพราะบ้างก็ชอบภายในสีดำ
บ้างก็ชอบภายในสีสว่างๆ ว่ากันไปครับ ไม่มีใครผิดหรือถูก
เบาะนั่งคู่หน้า มาแปลกครับ ปกติ เบาะคนขับมันควรจะมีตำแหน่งติดตั้งที่
เท่ากัน หรือเตี้ยกว่า เบาะผู้โดยสารฝั่งซ้าย แต่ตอนนี้ เรื่องมันกลับกลาย
เป็นว่า MG 5 มีตำแหน่งเบาะคนขับที่สูงกว่า เบาะคนนั่งด้านซ้าย แถมยัง
ไม่มีก้านโยกเพื่อปรับระดับสูง – ต่ำ มาให้ แต่กลับมีเพียง มือหมุน สำหรับ
ปรับมุมองศาของเบาะรองนั่งให้เอียงเพื่อรองรับต้นขามากหรือน้อย เท่านั้น!
พูดง่ายๆคือปรับความสูงต่ำแบบยก/กดเบาะทั้งตัวไม่ได้ เลือกได้แค่เอาช่วง
รองก้นทิ่มลงต่ำหรือสูง
นั่นทำให้ตำแหน่งนั่งขับ ออกจะมาในสไตล์เดียวกับรถญี่ปุ่น ยุคปี 2000 ถึง
2005 ส่วนใหญ่ นั่นคือ ตำแหน่งเบาะนั่งจะสูง เพื่อเน้นให้การลุกเข้า – ออก
สะดวกสบาย จนลืมนึกถึงตำแหน่งนั่งขับจริง ที่สูงไปนิด ทำให้ผู้ขับขี่แทบ
ไม่อาจรับรู้อาการของตัวรถ และระบบกันสะเทือนที่ส่งผ่านขึ้นมายังพื้นรถ
ได้เที่ยงตรงแม่นยำเท่าที่ควร
ตัวเบาะนั่งคู่หน้า สามารถเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง ด้วยกลไกก้านโยกใต้ชุด
เบาะรองนั่ง ส่วนการปรับเอนนอน ต้องใช้ลูกหมุน ด้านข้างตัวเบาะรองนั่ง
เหมือนรถยุโรปยุคเก่าๆ ผลก็คือ ต้องออกแรงหมุนมาก และไม่คุ้นมือลูกค้า
ชาวไทยเท่าใดนัก
ข้อดีของ เบาะคู่หน้าใน MG 5 คือ มีเบาะรองนั่งที่ ยาว ฟองน้ำเสริมด้านใน
นุ่มกำลังดี รองรับช่วงต้นขาได้ในเกณฑ์ดี ไม่แพ้รถยุโรป หรือ Lexus แถม
พนักศีรษะ ก็ไม่ได้ดันกบาลแต่ประการใด แต่มีความนุ่มน้อยมาก แอบแข็งกว่า
ชาวบ้านชาวช่องเขาหลายๆคัน อยู่นิดหน่อย
ทว่า ข้อด้อยที่สำคัญก็คือ พนักพิงหลัง ให้สัมผัสที่คล้ายคลึงกับการนั่งบนเบาะ
ของ รถกระบะ Datsun ช้างเหยียบรุ่นปี 1975 ตัวสปริงโครงสร้างพนักพิงหลัง
ค่อนข้างแข็งจนถึงขั้นที่พยายามดันพื้นที่รองรับแผ่นหลังอยู่ตลอดเวลา แถม
ปีกเบาะด้านข้าง ก็แทบไม่ได้ช่วยรั้งตัวคนขับเวลาเข้าโค้งเอาเสียเลย ส่วนการ
รองรับช่วงหัวไหล่ ก็ใกล้เคียงกับรถยนต์ B-Segment ทั่วไป คือ ค่อนข้างน้อย
ภาพรวมแล้ว ถือว่า เบาะนั่งของ MG 5 ให้ความสบายที่เหนือกว่า เบาะนั่ง
ของ Proton Persona และ Gen 2 ที่ตกรุ่นไปนานแล้ว อยู่นิดหน่อย กระนั้น
เรื่องน่าแปลกก็คือ พอนั่งนานๆ มันอาจจะไม่สบายแผ่นหลัง แต่มันก็ไม่ก่อ
ให้เกิดอาการปวดหลังกับ J!MMY แต่อย่างใด
พื้นที่เหนือศีรษะ สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า ไม่ใช่เรื่องน่าห่วง
เพราะมีพื้นที่เหลืออยู่ราวๆ เกิน 1 ฝ่ามือในแนวนอน แน่ๆ
เข็มขัดนิรภัยสำหรับเบาะคู่หน้า เป็นแบบ ELR 3 จุด ปรับระดับสูง – ต่ำได้
ส่วนข่องเก็บแว่นตากันแดด ย้ายมาจากบริเวณไฟส่องอ่านแผนที่ ใกล้กับ
กระจกมองหลัง มาไว้ในตำแหน่ง เหนือช่องทางเข้า – ออก ฝั่งคนขับ
จะทำแบบ Ford Focus รุ่นล่าสุด ก็บอกมาเถอะ!”
การเข้า – ออก จากเบาะแถวหลัง เห็นช่องทางประตูกว้างๆ แบบนี้ บอกเลยนะครับ
ก้มหัวเข้าไปให้มากๆ ตอนหย่อนก้นลงนั่ง มิเช่นนั้น ศีรษะคุณจะโขกกับเสากรอบ
หลังคาอย่างแน่นอน ยากจะหลีกเลี่ยง ช่วยไม่ได้จริงๆครับ
กระจกหน้าต่างบนประตูคู่หลัง เปิดเลื่อนลงได้ไม่สุดรางขอบ ส่วนแผงประตูคู่หลัง
มีช่องใส่น้ำดื่ม 7 บาท ได้พอดีๆ และพอมีช่องใส่ของจุกจิกนิดๆหน่อยๆ
พื้นที่วางแขน บุนุ่มด้วยหนังหุ้มฟองน้ำ แบบเดียวกับแผงประตูคู่หน้า และมีขนาด
ใหญ่พอให้วางแขนได้สบายๆ แถมยังติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสม ทว่า หากคุณ
คิดจะวางข้อศอก อาจต้องทำใจ เพราะบริเวณด้านหลังสุดของพื้นที่วางแขน ถูก
ออกแบบให้เว้าเข้ามา จนยากจะวางข้อศอกได้
ด้านหลังเบาะคู่หน้า เป็นช่องใส่เอกสาร มีมาให้ครบทั้ง 2 ตำแหน่ง ซ้าย – ขวา ส่วน
บริเวณด้านหลังของกล่องคอนโซลกลาง มีช่องวางสิ่งของขนาดเล็ก และ ปลั๊กไฟ
ขนาด 12 V 1 ตำแหน่ง
“พื้นที่โดยสารด้านหลัง เป็นจุดด้อยสำคัญประการหนึ่งของ MG 5 เพราะถึงแม้ว่าจะ
มีการติดตั้งพนักพิงเบาะหลัง ไว้ให้เอนด้วยองศาที่พอเหมาะแล้ว ทว่า หากคุณเป็น
คนที่มีความสูงตั้งแต่ 170 เซ็นติเมตร ขึ้นไป หรือไม่ก็เป็นคนหัวโตเป็นลูกแตงโม
ถ้านั่งหลังตรง ชนิดเอาบั้นท้ายไปแนบกับด้านล่างของพนักพิงหลังที่ค่อนข้างจะ
แข็ง แต่พอมีความนุ่มเหลืออยู่นิดๆ แล้ว หัวของคุณ จะเฉี่ยวกับเพดานหลังคาทันที
ถูกล่ะ คุณอาจจะบอกว่าสรีระของคนที่ต่างกันมันอาจจะส่งผลต่างกัน แพนเองก็
ลองนั่งแล้วก็ไม่สามารถนั่งหลังตรงๆได้ (เขาสูง 183 เซ็นติเมตรแต่ไขมันที่ก้นออกหนา)
แต่เขาก็บอกว่าอย่างน้อยมันก็เป็นพื้นที่ที่น่านั่งมากกว่า Mazda 2 แน่นอน
นอกจากนี้เรายังให้สมาชิกคนอื่นได้ลองนั่งเช่นคุณเมธีที่ผมจัดรายการวิทยุด้วยกัน
สูง 166 เซ็นติเมตร นั่งเบาะหลังยังมีพื้นที่เหลืออีกเพียงเล็กน้อย ส่วนตาบอม
RhinoMango ทีมตัดต่อวิดิโอของเราซึ่งสูง 183 เซ็นติเมตรก็สามารถนั่งได้
อย่างน่าประหลาดแต่หัวก็เฉี่ยวหลังคามากเช่นกัน เรื่องหลังคานี้ Honda City
จะมีเนื้อที่เหลือมากกว่าแต่ก็เพียงนิดเดียว
ไม่รุ้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมช่วงตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา บรรดารถเก๋งเล็ก B-Segment
แทบทุกรุ่นที่เปิดตัวในตลาดบ้านเรา จะต้องมีปัญหา Headroom เหลือน้อย กันด้วย?
เป็นครบแทบทุกคัน ไล่ตั้งแต่ Toyota Vios , Honda City , Mazda 2 Sedan แม้แต่
MG 5 ใหม่ ซี่งมีตัวถังใหญ่โตมากสุด ก็ยังเป็นไปกับเขาด้วยหรือเนี่ย!!??
ตรงกลางพนักพิงหลัง มีพนักวางแขนที่พับเก็บซ่อนไว้ สามารถดึงลงมาวางแขน
และใช้เป็นช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง แบบไม่มีฝาปิด สามารถวางแขนได้พอดี
แต่อาจเตี้ยไปนิดๆ สำหรับการรองรับข้อศอก
เบาะรองนั่ง ติดตั้งมาสูงกำลังดี มีความยาวใช้ได้ และนุ่มแน่นพอๆกันกับเบาะนั่ง
คู่หน้า ขณะเดียวกัน พื้นที่วางขา Legroom มีขนาดเหลือให้นั่งไขว่ห้างได้สบาย
พอดีๆ ระดับใกล้เคียงกับ Honda Civic รุ่น FB (2012 – 2016)
เข็มขัดนิรภัยสำหรับเบาะหลัง ทั้ง 3 ตำแหน่ง เป็นแบบ ELR 3 จุด ส่วนมือจับ
เพื่อการช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจ (ศาสดา) เหนือช่องทางเข้า – ออกจากรถ มีมาให้
3 ตำแหน่ง
อีกข้อด้อยสำคัญของ MG 5 นั่นคือ พนักพิงเบาะหลัง สามารถพับลงมาเพื่อเพิ่ม
พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง ได้ก็จริงอยู่ ทว่า มันไม่สามารถแบ่งพับเป็น 2 ฝั่งได้
หมายความว่า ถ้าคุณคิดจะซื้อสิ่งของ ขนาดใหญ่ จนถึงขั้นต้องพับเบาะหลังลง
คุณอาจต้องให้สมาชิกในครอบครัว ที่นั่งบนเบาะหลังมา เรียก แท็กซี่ หรือ Uber
นั่งกลับบ้านแทน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมจะต้องมาตกม้าตายด้วยเรื่องง่ายๆ
แค่นี้ หรือเห็นว่า Nissan March รุ่นปี 2012 เคยทำเอาไว้แบบนี้ ก็เลยลองทำดูบ้าง
ทั้งที่โดน J!MMY ตำหนิในประเด็นนี้มาแล้วเหมือนกันเนี่ยนะ??”
“ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง เปิดได้ด้วยระบบกลอนไฟฟ้า จากกุญแจรีโมทฯ
แต่ถ้าคุณหาสวิตช์เปิด – ปิด ที่ตัวรถไม่เจอ ก้มลงไปมอง ที่กล้องส่องหลัง บริเวณ
กึ่งกลางระหว่าง ไฟส่องป้ายทะเบียนด้านหลังดู ตัวสวิตช์ ถูกออกแบบมาให้เป็น
อันหนึ่งอันเดียวกัน กับกล้องขนาดเล็ก สำหรับถ่ายทอดภาพ ไปยังจอมอนิเตอร์
ขณะเข้าเกียร์ R เพื่อถอยเข้าจอดนั่นแหละ!
ฟังดูเหมือนจะดี แต่ความจริงก็คือ ถ้าคุณติดตั้งกรอบป้ายทะเบียนหลัง สูงเกินไป
ตัวกรอบป้ายจะไปดันสวิตช์นี้อยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถเปิดฝาท้ายได้ และ
คุณจะต้องออกแรง เลื่อนกรอบป้ายลงมานิดๆ เพื่อดึงสวิตช์กลอน ให้กลับมาอยู่
ในตำแหน่งปกติ เมื่อนั้น ระบบกลอน จะปลดล็อกฝาท้ายให้คุณเอง (-_-‘)
ดังนั้น กรุณาดูพนักงานขายรถ เขาช่วยติดกรอบป้ายทะเบียนของคุณให้ดีในวัน
รับรถ หรือเปลี่ยนจากป้ายแดงเป็นป้ายทะเบียนขาวด้วย มิเช่นนั้น คุณอาจต้อง
ปวดกบาล ในการอธิบายกับ รปภ. ตามห้างสรรพสินค้า ถึงขั้นต้องลงจากรถมา
ช่วยพวกเขาเปิดดูฝาท้ายรถคุณ…(ซึ่งไอ้วิธีการนี้ ก็ไม่รู้จะทำกันไปทำไม เพราะ
มันไม่ได้ช่วยให้ห้างฯ ปลอดภัยจากการก่อวินาศกรรม Car Bomb ไปได้เลย
คิดเหรอว่า คนร้ายสมัยนี้ จะโง่พอที่จะซุกระเบิด TNT ไว้ท้ายรถ??)
ฝาท้าย มีการติดตั้งแผงซับเสียง และวัสดุปิดทับมาให้เรียบร้อยจากโรงงาน แต่
ไม่ใช้ช็อกอัพในการค้ำยัน ช่องทางเข้า – ออก ของสัมภาระ เตี้ยสุดอยู่ที่ปลาย
ขอบเปลือกกันชนด้านบนพอดี
ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง จุได้ 465 ลิตร สามารถยัดร่าง J!MMY เข้าไปท้ายรถ
ได้สบายๆ (เจ้าตัวแอบลองมาแล้ว แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู) หากยกพื้นห้องเก็บ
สัมภาระขึ้นมา จะพบยางอะไหล่ ขนาดเล็ก หน้าแคบ (แบบล้อเหลืองของญี่ปุ่น)
พร้อมชุดเครื่องมือประจำรถ และแม่แรงยกรถ แพ็คมาให้ในชุดโฟมวงกลม”
“แผงหน้าปัด ออกแบบมาได้ย้อนยุคมาก ชวนให้นึกถึงแผงหน้าปัดของรถยนต์
Hyundai ในยุคปี 1997 – 2007 ซึ่งดูเชยพอสมควร แม้ว่าตำแหน่งของสวิตช์ต่างๆ
ในภาพรวม จะยังถือว่า จัดวางมาแบบปานกลาง พอใช้ได้ แต่สิ่งที่ทำให้แผง
Dashboard ของ MG 5 ดูเชยสะบัดขนาดนี้ มันอยู่ที่การออกแบบช่องแอร์ ทั้ง
4 ตำแหน่ง รวมทั้งแผงควบคุมกลาง ที่ดูจงใจให้เป็นแบบ 6 เหลี่ยม มากจน
ทำให้ การจัดตำแหน่งครีบในช่องแอร์ ต้องเอียงตามไปด้วย
วัสดุที่ใช้ คงต้องทำใจ เพราะ รถยนต์ในกลุ่ม B-Segment ไม่เกิน 1,500 ซีซี ใน
ยุคสมัยนี้ ใช้วัสดุพลาสติก Recycle กัดลายขึ้นรูป มาทำเป็นแผงหน้าปัดแข็งๆ
กันหมด จะหาสัมผัสจากการบุนุ่ม แบบรถยนต์ราคาแพงกว่านี้ คงเป็นไปไม่ได้
มองไปข้างบน จะพบ แผงบังแดด พร้อมกระจกแต่งหน้า และไฟแต่งหน้า ซึ่ง
ฝังไว้บนเพดานหลังคาสีครีม มีมาให้ครบทั้ง 2 ฝั่ง เช่นเดียวกับ ไฟอ่านแผนที่
รวมทั้งไฟส่องสว่างตรงกลาง ซึ่งมีการใช้งานที่ไม่ค่อย Make Sense เท่าไหร่
กล่าวคือ ถ้าคุณดับเครื่องยนต์ เปิดประตูรถเข้ามา ในรถยนต์ทั่วไป คุณยังเปิด
ไฟอ่านแผนที่ได้เลย แต่ MG 5 ทำไม่ได้! คุณต้องติดเครื่องยนต์เสียก่อน จึง
จะเปิดใช้ไฟอ่านแผนที่ได้ (ใครมันเป็นคนคิด Logic นี้กันวะ?? บ้าบอที่สุด)
บริเวณคันเกียร์ และฐานคันเกียร์ รวมทั้ง ช่องแอร์ แอบมีการใช้พลาสติกชุบ
โครเมียม มาประดับตกแต่งไว้ นอกนั้น ใช้แถบสีเงินมาประดับร่วมด้วย ทั้งที่
มือตจับประตู พวงมาลัย และตามจุดอื่นๆ เพื่อช่วยเสริมบุคลิก สปอร์ต ให้กับ
แผงหน้าปัดอันแสนเชยนี่ จนพอดูได้บ้าง”
“จากขวา ไป ซ้าย…
สวิตช์กระจกมองข้าง ปรับและพับด้วยไฟฟ้า Logic เข้าใจง่าย ติดตั้งร่วมกับ
สวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ที่ทำให้ผมแอบนอยด์ ไม่ต่างจาก MG 6
เพราะด้วยฟังก์ชันเลื่อนหน้าต่างเฉพาะฝั่งคนขับ ขึ้น – ลง ได้ด้วยการกดปุ่ม
และยกปุ่ม เพียงครั้งเดียว (Auto) เมื่อกดลง และเผลอแช่เพิ่มอีกเพียงเสี้ยว
วินาที ผลก็คือ กระจกจะกลับมาเลื่อนขึ้น – ลง ด้วยมือเราเอง!? (-_-‘) ถ้าคุณ
ต้องการให้ระบบนี้ทำงานถูกเป๊ะ คุณต้อง กดสวิตช์ลงไปแล้วปล่อยมือทันที
กระจกจะเลื่อนตามหน้าที่รวดเดียวตามสั่ง
ใต้ช่องแอร์ ฝั่งคนขับ เป็นสวิตช์ไฟตัดหมอกหลัง และสวิตช์ควบคุมความ
สูงของชุดไฟหน้า ถัดลงไป เป็นช่องเสียบบัตร ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะติดตั้งมาให้
ทำไม ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าว สามารถทำเป็นช่องลิ้นชักใส่ของได้ ถัดลงไป
เป็นคันโยกเปิดฝากระโปรงหน้า และฝาถังน้ำมัน
คอพวงมาลัย ยังคงเป็นสถานที่สิงสถิต ของก้านสวิตช์ต่างๆ เพียงแต่ว่า MG
ไม่ได้ย้ายสลับฝั่งให้เหมาะสมกับผู้ขับขี่รถยนต์พวงมาลัยขวาอย่างที่ควรเป็น
พวกเขายังคงทำตัวเป็นรถยุโรปด้วยการติดตั้ง ก้านระบบใบปัดน้ำฝนและ
ที่ฉีดน้ำล้างกระจกบังลมหน้า ไว้ฝั่งขวา ส่วนก้านสวิตช์ไฟหน้า ไฟตัดหมอก
หน้า ไฟสูง และไฟเลี้ยว อยู่ทางซ้าย แถมการใช้ไฟสูงนั้น ต้องกดลงไป หาก
จะปลดไฟสูงออก แทนที่จะดึงก้านสวิตช์เข้าหาตัวเหมือนรถยนต์ทั่วไป กลับ
ต้องกดก้านสวิตช์เดิม ย้ำลงไปอีก 1 ครั้ง
การติดเครื่องยนต์ ยังคงต้องใช้วิธีเสียบกุญแจรีโมท เข้าไป บิดไปทางขวา
ตามเดิม แป้นคันเร่งกับเบรก เป็นแบบอะลูมิเนียม สไตล์สปอร์ต
พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน หน้าตาบ้านๆ ประดับด้วยแถบสีเงิน ถึงจะหุ้มหนัง
มาให้ แต่ก็ทำให้ดูสปอร์ตขึ้นจากเดิมนิดหน่อยไม่มากนัก สามารถปรับระดับ
สูง – ต่ำ ได้ แต่ไม่สามารถปรับระยะใกล้ – ห่าง จากตัวผู้ขับขี่ได้ ก้านพวงมาลัย
ฝั่งซ้าย เป็นชุดสวิตช์ควบคุมชุดเครื่องเสียง เหมือนรถยนต์รุ่นใหม่ๆทั่วๆไป”
“ชุดมาตรวัดเป็นแบบวงกลม 2 วง พร้อมกรอบนอกทรงกระบอก
เพื่อเพิ่มบุคลิกแบบสปอร์ต ฝั่งซ้ายเป็นมาตรวัดรอบเครื่องยนต์
ฝั่งขวาเป็นมาตรวัดความเร็ว จอตรงกลางแสดงข้อมูล อุณหภูมิ
น้ำหล่อเย็น มาตรวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงในถัง และไฟเตือน
ต่างๆ เข็มชี้ เรืองแสงสีแดง ส่วนตัวเลข เรืองแสงด้วยสีขาวนวล
การใช้ตัวเลขแบบวางแนวระนาบไปกับวงกลมแบบนี้ แม้ว่าจะ
ดูหรู และคล้ายคลึงกับ Chevrolet หรือ Ford บางรุ่น แต่ในการ
ใช้งานจริง ถือว่ามองเห็นค่อนข้างไม่ชัดเจนในยามค่ำคืน ต้อง
เพ่งมองหน้าจอเพิ่มขึ้น เท่ากับเพิ่มการละสายตาจากท้องถนน
มากยิ่งขึ้น นั่นอาจเป็นความเสี่ยงต่ออันตรายมากขึ้นไปด้วย
ส่วนเรื่องการปรับความสว่างของจอหน้าปัด ถ้าคุณเป็นคนประเภท
ใช้รถไม่อ่านคู่มือ จ้างให้ก็หาไม่เจอหรอกครับ ทำนองเดียวกับที่
พับกระจกส่องข้าง MG6 ต้องกด L+R นั่นแหละ ถ้าใครอยาก
ปรับความสว่างหน้าปัดตอนกลางคืน คุณต้องกดปุ่มที่อยู่ตรงปลาย
ก้านไฟเลี้ยวจนจอ MID โชว์ระยะทางที่เหลือให้วิ่งได้ (Range)
ที่มีรูปรถกับถังน้ำมัน จากนั้นกดปุ่มเดิมค้างไว้ 2-3 วินาที ทำตอน
เปิดไฟหรี่หรือไฟหน้านะครับ แล้วมันจะเข้าฟังก์ชั่นปรับความสว่าง
ซึ่งก็ใช้ปุ่มเดิมกดสั้นๆไปเรื่อยๆจนมันสว่างสุดแล้วพอกดอีกที
มันจะกลับมาสว่างน้อยสุด วน Loop ไปแบบนี้ เอิ่ม ทำเป็นสวิตช์
ง่ายๆแบบใน MG6 ก็ได้นะ”
จากซ้าย มาขวา
กล่องลิ้นชักเก็บของ (Glove Compartment) ดูจากรูปเหมือนมีขนาดใหญ่ แต่
เอาเข้าจริงแล้ว ถ้าคุณใส่กล้องถ่ายรูป ได้ 1 ตัว คุณจะใส่สมุดคู่มือผู้ใช้รถไม่ได้
ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง นี่ขนาดว่า สมุดคู่มือ ทำออกมาเป็นเล่มขนาด
ย่อส่วนแล้วนะ
ชุดเครื่องเสียง ของทุกรุ่น จัดเต็มมาเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด ประกอบด้วย วิทยุ
AM/FM เล่นไฟล์ MP3 ได้ แต่ไม่มีเครื่องเล่น CD มาให้ เชื่อมต่อได้กับช่องเสียบ
AUX และ USB พร้อมระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ Bluetooth และระบบสื่อสารอัจฉริยะ
ผ่าน Application บนโทรศัพท์มือถือ ที่ชื่อ InkaNet แสดงผลบนจอมอนิเตอร์สี แบบ
Touch Screen ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งทำหน้าที่เป็นกล้องมองหลัง มาพร้อมเส้นกะระยะ
ที่เบี่ยงแนวตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ตั้งระยะกล้องมาได้มุมกว้างและเห็นไกล
กว่ากล้องมองหลังของ MG6 และแน่นอนว่ามีระบบนำทางติดรถมาให้ “ทุกรุ่นย่อย”!
คุณภาพเสียงนั้น แม้ว่าจะมี Equalizer ให้เลือกปรับได้เอง แต่ต้องบอกเลยว่า ทำใจ
กับเสียงที่ค่อนข้างบี้แบน เหมาะกับการฟังเพลง Jazz หรือ อะไรก็ตามที่ใช้เครื่อง
ดนตรี บรรเลงเอง เพราะถ้าเป็นดนตรี Rock Dance หรือพวก EDM
เสียงจะไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ถือว่า แค่พอฟังได้เท่านั้น
ใต้ชุดเครื่องเสียง เป็นเครื่องปรับอากาศ เป็นแบบอัตโนมัติ ไม่สามารถแยกฝั่งได้
แต่ก็เย็นเร็วเอาเรื่อง เผลอแป๊บเดียว ฝ้าขึ้นกระจกรถรอบคันเลย ดังนั้น ช่องแอร์
แถวหลัง จึงไม่จำเป็นสำหรับ MG 5
ถัดลงมา เป็นสวิตช์ เปิด – ปิด ระบบ Traction Control สวิตช์เปิด – ปิด ระบบพับ
กระจกมองข้างอัตโนมัติ หลังติดหรือดับเครื่องยนต์ สวิตช์ไฟฉุกเฉิน ซึ่งอยู่ใน
ตำแหน่งเตี้ยเกินไป ใช้งานยามฉุกเฉิน ยากลำบาก และสวิตช์ Reset ระบบตรวจ
เช็คความดันลมยางอัตโนมัติ TPMS (Tire Pressure Monitoring System)
มองลงไปอีก จะเห็นช่องจุดบุหรี่ ช่องเสียบ AUX และ USB ติดตั้งเหนือพื้นที่
ว่างเปล่า พอให้วางโทรศัพท์มือถือได้โดยไม่ร่วงง่ายๆ ทั้งที่ควรจะมีจุดยึดไว้
ให้แน่นหนา คันเกียร์ล้อมกรอบด้วยโครเมียมสีเงิน สามารถเข้าเกียร์ว่างค้างไว้
แล้วดึงกุญแจออกได้เวลาจำเป็นต้องจอดปิดท้ายคันอื่น
และตามสไตล์ภาคบังคับของ MG พอเป็นรุ่นท้อปปุ๊บ ก็ต้องมีซันรูฟมาให้
เปลี่ยนจากสวิตช์กลมหมุนแบบของ MG6 เป็นสวิตช์กด ซึ่งพอกดแล้วจังหวะ
แรกซันรูฟจะกระดกตูดก่อน และกดอีกจังหวะจะเป็นการเปิดซันรูฟทั้งบาน
เวลาเปิดแล้วซันรูฟจะยกตัวขึ้นเหนือหลังคาและไปซ้อนอยู่ข้างบนหลังคา
เมื่อเปิดเสร็จ อาจจะดูไม่เรียบร้อย แต่วิธีเปิดแบบนี้ทำให้ไม่ต้องเสียเนื้อที่
หลังคาภายในเพื่อเป็นช่องสอดเก็บตัวแผ่นกระจก ซึ่งนั่นจะทำให้หลังคา
ด้านหลังดูแคบลงไปอีก เวลาเปิด เป็น One-touch แต่เวลาปิดจะเป็นระบบ
You-touch-until-it-is-done คือกดค้างไว้จนกว่าจะปิดนั่นล่ะครับ
เอาละครับ หน้าที่ของผม J!MMY หมดลงแล้ว ต่อจากนี้ ให้พี่แพนมาอธิบาย
ถึงระบบสื่อสารอัจฉริยะ ผ่าน Application บนโทรศัพท์มือถือ ที่ชื่อ InkaNet
ของ MG กันสักหน่อยดีกว่าครับ”
InkaNet ใน MG5 จะเป็นเวอร์ชั่นที่ไม่เหมือนกับของ MG6 ตรงที่
ตัดระบบตรวจสอบสถานะรถ (เช่นน้ำมันในถัง แบตเตอรี่ สถานะการล็อค
ประตูกับประตูแต่ละบานที่เปิดหรือปิดไว้) ออกไป แต่ยังเหลือบางฟังก์ชั่น
เช่น Vehicle Alarm, Electronic Fence และระบบ Navigation บางอันได้
โชคดีที่รถทดสอบของเราเป็นรถสาธิตระบบ InkaNet ด้วย ทำให้มี User ID
ทดลองที่สามารถลองใช้งานได้ โดยเราจะเริ่มกันที่หน้าจอหลัง Login
ผมจะนำมาแสดงให้ดูบางส่วนก่อน ส่วนหน้าจอตอนลงทะเบียนใช้บริการ
ขอเชิญดูที่บทความ MG6 ได้
หลังจากที่เข้าสู่ระบบแล้ว หน้าจอ Home พื้นสีฟ้าๆจะแสดงรุ่นรถและรหัส
ตัวถัง 3 Digit หลัง..เอ่อ ที่เห็นมันเขียนว่า MG5 1.5D นั่นผมก็ไม่ทราบ
ว่าเพราะอะไรเหมือนกันทั้งๆที่รถเราเป็น 1.5X และเลขตัวถังก็ถูกเสียด้วยสิ
แต่ช่างมันเถอะ ลองกดปุ่ม “Vehicle Alarm” ดู ก็จะมีข้อความเตือน อย่างเช่น
Engine Start Alarm ก็จะบอกว่ารถยนต์มีการสตาร์ทเครื่องเมื่อไหร่ เวลาเท่าไหร่
หรือ Abnormal Moving Alarm ก็จะบอกว่ารถมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ เช่น
อาจถูกเข็น หรือถูกเคลื่อนย้าย
ส่วนฟังก์ชั่น Fuel Consumption นั้นจะไม่ค่อยละเอียดนัก เลือกได้ว่าจะ
โชว์เป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน
ถ้าไปที่หน้า Home แล้วคลิกซองจดหมายมุมขวาบน ก็จะเป็นการเปิดกล่อง Inbox
ซึ่งเป็นศูนย์รวมการแจ้งข้อความต่างๆทั้งพวก Alarm และข้อความทั่วไป
ส่วนอีก 2 ฟังก์ชั่นที่จะตามมานั้น ผมขอแนะนำให้คุณภรรยาที่รักสามีทั้งหลาย
ลงทะเบียน และใช้ให้คล่องเลยครับเพราะมีประโยชน์แบบสุดๆไม่แพ้ Line
หรือ Check in เริ่มต้นจากหน้าจอ Home แล้วแตะที่ Map Service ครับ
ในจออันกลางเรียกว่าฟังก์ชั่น Electronic Fence ซึ่งผมขอเรียกว่าฟังก์ชั่น
“บาเรียแม่บ้าน” หน้าที่ของมันคือเตือนเมื่อรถวิ่งเข้ามา/ออกจากบริเวณ
รัศมีเขตที่คุณกำหนด กดปุ่มรูปรั้วกลมๆเวลาอยู่ในหน้า Map Service
คุณจะเห็นหน้าจอระบบ Electronic Fence จากนั้นกดที่ปุ่ม Settings เพื่อเลือก
ว่าคุณจะไปปักจุดศูนย์กลางบาเรียแม่บ้านที่ไหน พอปักเสร็จก็เลือกรัศมีได้ว่า
จะให้กว้างเท่าไหร่ จากนั้นก็เลือกว่าจะให้เตือนเฉพาะตอนรถวิ่งเข้าเขต หรือ
จะเตือนทั้งตอนวิ่งเข้าและออกจากเขตที่กำหนด สามารถส่ง SMS เข้าไปยัง
เบอร์มือถือที่คุณกำหนดเองได้ด้วย ถ้าคุณเป็นภรรยา และคุณห่วงใยสวัสดิภาพ
สามี ก็ใช้ระบบนี้ซะ แล้วปักหมุดไว้ที่บ้านคุณ สามีออกจากบ้านหรือเข้าบ้านกี่โมง
กี่ยามในระหว่างที่คุณไปทริปทำบุญกับเพื่อนๆของคุณ คุณก็ทราบได้โดยไม่ต้อง
โทรไปกวนใจสามี..ดี๊ดีออกครับ
อีกฟังก์ชั่นนึงคือ Vehicle Location ซึ่งสามารถค้นหาได้ว่าตอนนี้รถ MG5
ของคุณวิ่งอยู่ที่ไหน กดเลือกที่รูปรถจากหน้าจอ Map Service..แต่ User อันที่
ผมลองมันอาจจะขัดข้องหรือเปล่าก็ไม่ทราบ มีปุ่มให้กด แต่พอกดจะดูตำแหน่ง
รถทีไร มันจะเงียบหายไปนาน แล้วก็ส่ง Push Message กลับมาบอกว่า
“Command Execution Abnormal” ทุกที..แต่ไม่เป็นไร ในกรณีที่สามีคุณ
หายตัวไปอย่างลึกลับ แล้วคุณเป็นห่วง คุณก็ไปที่หน้าจอ Home แล้วกดโทรหา
Call Center ได้เลยครับ บริการ 24 ชั่วโมง เขาจะช่วย Track ตำแหน่งรถให้
เห็นมั้ยครับ? มีประโยชน์มาก สามีซื้อรถ ภรรยา Install InkaNet App. ลง
มือถือของเธอ ชีวิตสะดวกครบวงจรสมใจ…สมใจแม่บ้านนะ ส่วนพ่อบ้านผมไม่รู้
แต่เชื่อผมเถอะ นายเก่าผมเคยสอนไว้ “ทำอะไรให้เกรงใจเมีย” แล้วชีวิต
จะมีความสุขที่สุดเท่าที่มันจะเป็นไปได้ ไม่ว่าจะมี InkaNet หรือไม่ก็ตาม
แล้วถ้าสมมติว่าคุณภรรยากับคุณสามีอยากไปหาอะไรทานกันล่ะ? แน่นอนครับ
คุณอาจจะคุ้นเคยกับระบบนำทางในรถรุ่นเก่าที่ค้นหาเจอทุกอย่างที่คุณไม่ได้
ต้องการค้นหา ในวันนี้ InKanet เพิ่มความสะดวกโดยการให้คุณใช้ฟังก์ชั่น
Map Service เนี่ยล่ะในการค้น ใช้งานคล้ายๆกับ Google Map บนมือถือเลยครับ
(อันที่จริงมันก็ powered by Google อย่างที่เห็น) จะค้นที่กิน ที่เที่ยวก็ได้หมด
แต่ต้องเป็นสถานที่ที่อยู่ในรัศมีไม่เกิน 50 กิโลเมตรจากตัวคุณนะครับ (ถ้าไกล
กว่านั้นต้องใช้ระบบนำทางของรถในการค้น..ลองมาแล้วล่ะ)
เมื่อค้นสถานที่ที่ต้องการได้แล้ว ก็กดปุ่ม “Issue the POI to vehicle” เลยครับ
พอกด Issue แล้วรอสักพัก มาที่หน้าจอกลางเลยครับ มองหา Message Center
ถ้าหาไม่เจอลองเอานิ้วสไลด์จอไปมาดูครับ จอเครื่องเสียงตัวนี้เป็น Widget
ที่คุณสามารถแตะส่วนต่างๆบนหน้าจอค้างไว้แล้วลากมันไปอยู่ที่ที่ต้องการ
จัดหน้าจอได้เหมือนจอสมาร์ทโฟน Android ล่ะครับ พอเจอ Message Center
แล้วก็เข้าไปดูข้อความ คุณจะเห็นตำแหน่งของ Location ที่คุณกด Issue POI มา
ก็เอานิ้วแตะเข้าไป จากนั้นกดลูกศรสีฟ้าๆนั่นเพื่อเริ่มต้นนำทางได้เลยครับ
ระบบนำทางทำงานไวพอใช้ และใช้การได้ค่อนข้างดีชนิดที่ผมไม่ต้องเอา
โทรศัพท์ตัวเองมาแปะบนกระจกแล้วใช้ Google Map นำทางเอง มีเสียงนำทาง
ให้เลือกทั้งภาษาอินโดนีเซีย อังกฤษสำเนียงอังกฤษ อังกฤษสำเนียงออสเตรเลีย
(ไม่มีอังกฤษสำเนียงจีน..อย่า..อย่า) และเสียงภาษาไทยที่ให้อารมณ์เหมือนถูก
อาจารย์ทวงการบ้านสมัยเด็กๆ มีการนำทางเป็นจุดแบบ Turn-by-Turn พร้อม
โชว์ภาพทางแยกและการเลือกช่องทางที่จะไปแบบระบบนำทางสมัยใหม่
กล่องเก็บของด้านใน มีขนาดค่อนข้างเล็ก ใส่กล่อง CD ได้ราวๆ 5-6 กล่อง
มีช่องใส่ ของเล็กๆ และเศษตังค์ อีก 2 ช่อง รวมทั้งช่องวางแก้วน้ำ 2 ช่อง แบบ
ไม่มีตัวล็อกยึดอื่นใดมาให้ ติดตั้งข้างเบรกมือซึ่ง MG ยังไม่คิดจะย้ายฝั่งมาไว้
ทางขวา เหมือนเช่นตำแหน่งก้านไฟเลี้ยวทางซ้ายของคอพวงมาลัย
ทัศนวิสัยด้านหน้า ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีตามปกติของรถยนต์ทั่วไป
การมองเห็นถนน และู้ร่วมสัญจรข้างหน้า ชัดเจนใช้ได้ แต่ด้วยการ
ติดตั้งตำแหน่งเบาะคนขับ สูงกว่าฝั่งเบาะรองนั่งเล็กน้อย ทำให้
ระยะห่างระหว่างสายตา กับแผงบังแดด อยู่ใกล้กันมาก พอๆกับ
Honda City ซึ่งถือว่าเป็นระยะที่ใกล้ไป แอบก่อความอึดอัดทาง
การมองเห็นอยู่บ้างพอสมควรโดยเฉพาะกับผมซึ่งก้นหนาและสูง
183 เซ็นติเมตร..ขนาดตาบอม RhinoMango ทีมตัดต่อของเรา
ที่สูงเท่าผมแต่ตัวผอมแบบคนปกติเล่น Weight Training ก็ยัง
บ่นว่ารู้สึกหลังคามันบีบ..ถ้าปรับเบาะทั้งตัวลงได้สัก 1.5 นิ้วจะดีขึ้น
เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา บดบังรถยนต์ที่แล่นสวนทางมา
ขณะเข้าโค้งขวา บนถนนสองเลนสวนกัน อยู่บ้างนิดหน่อย ส่วน
กระจกมองข้างฝั่งขวา ถือว่าออกแบบมา พอใช้ได้ เมื่อปรับกระจก
ให้เห็นตัวถังรถน้อยที่สุดแล้ว ขอบด้านใน ไม่กินพื้นที่ขอบนอก
ของบานกระจกมากนัก
เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย บดบังรถยนต์ที่แล่นสวนทาง
ขณะที่คุณกำลังเลี้ยวกลับรถ ชนิด เต็มคันพอดี ต้องชะเง้อ และ
ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง ขณะค่อยๆ ออกรถที่จุดเลี้ยวกลับ
ส่วนกระจกมองข้างฝั่งซ้าย ถือว่าให้การมองเห็นได้ดีพอสมควร
เหมือนกระจกมองข้างฝั่งขวา กรอบด้านนอก ไม่บดบังพื้นที่ของ
บานกระจกมากนัก
ทัศนวิสัยด้านหลัง แม้จะมีกระจกสามเหลี่ยม โอเปร่า
เพิ่มเข้ามาอีกชิ้นหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เห็นจักรยานยนต์ที่แล่นตามมาทาง
ด้านหลังฝั่งซ้ายมากนัก ถือว่าโปร่งในระดับเท่าที่รูปลักษณ์ของตัวรถจะ
เอื้ออำนวย ถือว่าดีกว่า MG6 Hatchbackแต่ยัง ต้องใช้ความระมัดระวัง
ขณะจะเปลี่ยนเลนไปทางซ้ายมากกว่ารถยนต์ทั่วไปพอสมควร
********** รายละเอียดด้านวิศวกรรม และการทดลองขับ **********
MG 5 ที่นำมาประกอบขายในประเทศไทย มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด ทั้งรุ่น
พื้นฐาน รหัส 15S4C บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
75.0 x 84.8 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วย หัวฉีด Multi-Point Fuel
Injection กำลังสูงสุด 106 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.8 กก.-ม.
ที่ 4,500 รอบ/นาที รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85
ส่วนรุ่นที่เรานำมาทดลองขับกัน นั่นคือ 1.5 Turbo วางเครื่องยนต์รหัส 15S4G
บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี เหมือนกัน กระบอกสูบ x ช่วงชัก อยู่ที่
75.0 x 84.8 มิลลิเมตร และฉีดจ่ายเชื้อเพลิง ด้วยหัวฉีด Multi-Point เช่นเดียวกัน
แต่ ต่างกันตรงที่ว่า มีการติดตั้ง Turbocharger มาให้ ซึ่งนั่นทำให้ต้องลดกำลังอัด
ลงเหลือ 9.5 : 1
กำลังสูงสุด เพิ่มขึ้นเป็น 129 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 21.4
กก.-ม.ที่ รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 2,000 – 4,400 รอบ/นาที รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง
E85
ถ้าเป็นสเป็คเมืองนอก หรือที่เมืองแม่ของเขา จะมีเครื่องยนต์ที่แรงกว่านี้อีกครับ
เรียกว่าบล็อก CUBE-TECH 1.4TGI ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ MG กับ GM พัฒนา
ร่วมกัน ความจุ 1.4 ลิตร Direct-Injection เทอร์โบชาร์จ 150 แรงม้า แรงบิด 235
นิวตันเมตรจับคู่กับเกียร์คลัตช์คู่ TST รุ่นใหม่ที่เป็น 7 จังหวะ..อนาคตจะมีการนำ
เครื่องรุ่นนี้มาขายในไทยหรือเปล่า ผมไม่ทราบจริงๆครับ
ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ ที่มีให้เลือกแตกต่างกันตาม
ระดับความแรงของเครื่องยนต์
หากเป็นรุ่นธรรมดา ไม่มีระบบอัดอากาศใดๆ จะใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อม
โหมด + / – มาให้เล่นที่คันเกียร์เองได้ ไม่มี Paddle Shift อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
เกียร์ 1………………………2.875
เกียร์ 2………………………1.568
เกียร์ 3………………………1.000
เกียร์ 4………………………0.697
เกียร์ถอยหลัง………..……2.300
เฟืองท้าย……………..……4.375
ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ Turbo จะถูกอัพเกรด เปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
พร้อมโหมด + / – เลือกเปลี่ยนเกียร์ได้เอง ที่คันโยกปกติ ไม่มี Paddle Shift
อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
เกียร์ 1………………………4.044
เกียร์ 2………………………2.371
เกียร์ 3………………………1.556
เกียร์ 4………………………1.159
เกียร์ 5………………………0.852
เกียร์ 6………………………0.672
เกียร์ ถอยหลัง………….…3.193
เฟืองท้าย………………..…3.503
สมรรถนะจะเป็นอย่างไรกันบ้างนั่น เรายังคงทดลอง จับเวลา ในยามค่ำคืนดึกดื่น
ตามเคย โดยใช้มาตรฐานเดิมคือ เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า นั่ง 2 คน โดยผู้ทดสอบเป็น
J!MMY กับผู้โดยสารอีก 1 คน (ไม่ใช่ผม..ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นอัตราเร่งคงแย่)
และผลลัพธ์ที่ได้เมื่อเทียบกับคู่แข่งในพิกัด B-Segment ด้วยกัน มีดังนี้
เรามาคุยกันเรื่องอัตราเร่งแบบคนเท้าหนักก่อนนะครับ
ดูจากการเร่งแบบ 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น จะเห็นได้ว่าตัวเลขของ MG5
ออกมาไม่ได้เด่นออกไปจากกลุ่ม B-Segment สมัยใหม่ รถที่เร่งได้ช้ากว่ามัน
ก็มีแต่ Fiesta 1.6 เท่านั้นที่ตัวเบาเครื่องแรง แต่นั่นก็เป็นรถที่เราทดสอบมา
หลายปีก่อนมีการอัพเดทเกียร์นานมาก ส่วน Sonic นั้นก็เลิกขายไปแล้วและ
ไม่ใช่รถที่เด่นเรื่องอัตราเร่งอยู่แล้ว หลายคนที่ขับ MG5 Turbo อาจจะเถียงว่า
มันไม่ช้านะ มันเร็วจะตาย..ความรู้สึกกับความรู้มันไม่เหมือนกันครับ ผมขับตอนแรก
ก็รู้สึกว่ามันไว แต่ผมเชื่อนาฬิกามากว่าตัวเองครับ
สาเหตุที่ช้า เป็นเพราะการไต่ความเร็วช่วงก่อนรอบเครื่องแตะ 2,700 มันหนืดครับ
พอกระแทกคันเร่ง รถมีการตอบสนองทันที แต่ที่ช่วงรอบต่ำนั้นเทอร์โบยังไม่บูสท์
และดูเหมือนว่าแม้เทอร์โบจะบูสท์แล้ว แต่รถก็ยังมีการแอบเก็บพละกำลังเอาไว้
เหมือนกับลิ้นคันเร่งไม่ได้เปิดแบบทันทีทันควันตามเท้าที่เรากดจริง บางคนบอกว่า
เทอร์โบรอรอบ..ผมว่าไม่น่าใช่ตัวการหลักครับ เพราะถ้าคุณเล่นเกียร์เอง เอารอบไป
คาไว้ 3,000 หรือ 3,500 แล้วกระแทกคันเร่งทันที รถก็จะไม่พุ่งทันทีแต่ใช้เวลา
ประมาณ 0.5-0.8 วินาทีในการทยอยปล่อยพลังจากจุดที่กดไปสู่ 100% เทอร์โบ
ของ MG5 ก็ลูกเล็กนิดเดียว ปกติเทอร์โบโข่งขนาดนี้ในรถ 1.5 ลิตรเกียร์ธรรมดาถ้า
กดคันเร่งตูมลงไปบูสท์มันมาเกือบทันทีแล้วครับ
เรื่องอัตราเร่งออกตัว พูดแบบเข้าใจง่ายได้ว่า “ก่อน 2,700 รอบ หนืดเหมือนขับ Sonic
แต่พอผ่านจุดนั้นไปปุ๊บ แรงดึงจะมาแบบหลังติดเบาะราวกับ Fiesta EcoBoost”
ไอ้การที่แรงดึงเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหันนี่ล่ะครับที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันแรง สวนทาง
กับตัวเลขของนาฬิกาที่เราจับได้ Honda City CVT จะไม่มีความรู้สึกมันส์ๆแบบนี้
แต่มันจะไต่ความเร็วไปโดยที่คุณไม่รู้ตัว ส่วน Mazda ดีเซล จะดึงเป็นช่วงแคบๆแต่
อาศัยความที่เรียกแรงบิดได้เร็วกว่าและตัวเบากว่ามาก ทำให้ถีบออกตัวได้เร็วกว่า
MG5 ซึ่งหนักกว่าเพื่อนๆอยู่ 150-200 กิโลกรัมโดยประมาณ
ส่วนเรื่องการเร่งแซง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ผลกระทบจากน้ำหนักตัวจะเริ่ม
น้อยลง รวมถึงอาการอมคันเร่งก็จะน้อยลงนิดหน่อย ทำให้สามารถทำตัวเลขได้ดี
เกาะกลุ่มกับพวกอันดับต้นๆของ B-Segment และชนะ Ford ซึ่งเครื่องแรง
แต่ต้องมานั่งรอเกียร์ไล่รอบเครื่องขึ้นก่อนจับพลังส่งไปล้อได้
ความร้ายกาจของ MG5 จะไปกองอยู่ที่ความเร็วสูงระดับที่คนทั่วไปไม่ค่อยวิ่งกัน
ที่ความเร็วสูง แอโร่ไดนามิกส์ กำลังเครื่องและอัตราทดเกียร์จะเป็นกุญแจสำคัญ
ในขณะที่ผลกระทบจากน้ำหนักตัวจะเริ่มน้อยลง ถ้าคุณมองตารางตัวเลขข้างบน
แล้วคิดว่ารถไม่มีแรง ผมจะบอกว่าหลัง 120 ไปนั้นอัตราเร่งของ MG5 จะไหลมา
เทมาอย่างต่อเนื่อง สมมติว่าคุณกดคันเร่งจากจุดหยุดนิ่งไปเป็นระยะ 1.5 กิโลเมตร
ความเร็วตอนเข้าเส้นของ Mazda 2 จะอยู่ที่ 172-174 Honda City อยู่ที่ 178-180
ส่วน MG5 จะปาเข้าไปถึง 188 นั่นคือระดับเดียวกับพวก C-Segment 1.8-2.0 ลิตร
ม้า 141-165 ตัวแล้วครับ
แต่ในชีวิตของคุณ จ่ายใบสั่งบ่อยแค่ไหน สำหรับบางคนที่ไม่เคยโดนใบสั่ง
คุณอาจจะไม่ได้ใช้พละกำลังปลายของ MG5 บ่อยขนาดนั้น ส่วนใครใช้บ่อย
ไม่ต้องมามองผมครับ ไปจ่ายค่าใบสั่งที่ไปรษณีย์กันเอาเอง ผมก็เพิ่งไปจ่าย
มาวันก่อน ตอนนี้กินมาม่าไปปั่นรีวิวไปอยู่
ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ที่เกียร์ 5 ก่อน จากนั้นพอตัดลง
เกียร์ 6 ความเร็วก็ยังไม่หล่นลงจากเดิม นี่มันมากเท่ากับที่ MG6 Hatchback
ปี 2014 ทำไว้เลยนี่หว่า
ย้ำกันเหมือนเช่นเคยนะครับ เราไม่สนับสนุน ให้ใครมาทดลองทำความเร็ว
สูงสุด เช่นที่เราทำให้คุณผู้อ่านดูนี้ เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมายจราจร เราทำ
ให้ดูกัน ด้วยเหตุผลของการให้ความรู้ เพื่อการศึกษา ไม่ได้กดแช่กันยาวหรือ
มุดกันจนเสี่ยงอันตรายต่อผู้ใช้เส้นทาง เห็นรถข้างหน้าไฟเบรกอยู่ลิบๆเรายก
คันเร่งออกทันที เราไม่อยากเห็นใครต้องเสี่ยงชีวิตมาทำตัวเลขแบบนี้กันเอาเอง
ดังนั้น อย่าทำตามอย่างเป็นอันขาด เพราะถ้าพลาดพลั้งขึ้นมา อันตรายถึงชีวิต
ของคุณเอง และเพื่อนร่วมทาง เราจะไม่รับผิดชอบในความปลอดภัยของคุณ
แต่อย่างใดทั้งสิ้น!
จบจากโหมดขยี้คันเร่ง มาที่โหมดการขับแบบจับการตอบสนองของตัวรถกัน
สิ่งที่ต้องขอชมก่อนเลยก็คือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะของ MG5 ซึ่งหลังจากที่
ผมซึ้งกับพี่ใหญ่และน้องเล็กของค่ายนี้มาก่อนแล้วนั้น ทำให้ผมไม่คาดหวังอะไร
กับการเซ็ตเกียร์ของ MG อยู่แล้ว แต่กลายเป็นว่าการทำงานของเกียร์ MG5 นั่น
ถือว่าใช้ได้เลย! เปิดโอกาสให้คนขับอย่างผมได้ทำตัวเป็นรุ่นพี่ในระบบ SOTUS
“พี่พูดน้องฟัง พี่สั่งน้องทำตาม” สามารถสั่งความไวในการพุ่งโดยใช้คันเร่งได้
แบบที่รถเกียร์อัตโนมัติทั่วไปเขาเป็นกัน
ถ้ากดคันเร่งน้อยมาก และรอบเครื่องอยู่ต่ำ รถก็จะคลานไปเรื่อยๆตามประสา
รถเทอร์โบความจุน้อยน้ำหนักเยอะ แต่ถ้ากดคันเร่งเพิ่มให้เกียร์เลือกอัตราทดที่
ส่งรอบเครื่องไปป้วนเปี้ยนแถว 2,500-3,000 ได้ ตัวรถก็จะทะยานไปแบบนุ่มๆ
แม่ยายไม่ด่า กดเพิ่มเข้าไปเร็วๆ แต่ไม่สุด ได้รอบแถว 3,800-4,200 ที่แซงได้ไว
ส่วนถ้าคุณคิกดาวน์แบบจม เกียร์ทำงานได้ดีเทียบเท่าเกียร์อัตโนมัติรถญี่ปุ่นที่คุ้นเคย
ไม่เสียเวลาไล่รอบนาน..ถ้าเกียร์ MG6 เหมือนพิซซ่าส่งบ้านที่ต้องรอครึ่งชั่วโมง
MG5 นี่คิกดาวน์เหมือนอาหารตามสั่งป้าแช่มตะหลิวไฟ นั่งปุ๊บ น้ำมา อาหารมาทันที
ส่วนโหมด Manual ล่ะ? แม้จะไม่มี Paddle shift ให้เล่นที่พวงมาลัย แต่การ
โยกคันเกียร์สั่ง + หรือ – ก็ทำได้ไว หรือสมมติวิ่งอยู่เกียร์ 6 คุณโยกลดเกียร์
2 ทีซ้อนเร็วๆ เกียร์ก็จะลดให้เหลือเกียร์ 4 ไม่ต้องมานั่งรอโยก 2 ทีแบบค่อยๆใจเย็นๆ
แบบ MG6 แต่ในชีวิตจริงบอกได้เลย ผมแทบไม่ได้เล่นโหมด Manual เพราะลำพัง
ปล่อยเกียร์ไว้ที่ D มันก็ตอบสนองได้ดีพอแล้ว หรือถ้ารีบก็ตบคันเกียร์ไปทางขวา
เพื่อเข้าโหมด S สมองกลจะสั่งเลือกเกียร์ที่เลี้ยงรอบเอาไว้สูงกว่าปกติ แต่เราปล่อย
ให้เกียร์มันเปลี่ยนของมันเอง แค่นั้นก็คล่องพอแล้ว
อาการยึกยักที่ความเร็วต่ำ? ก็มีบ้างเวลาคุณกดคันเร่งแบบมั่วๆ จะไปก็ไม่ไป
จะถอนก็ไม่ถอน ถ้าไปทำแบบนี้ในรถเกียร์อัตโนมัติคันอื่นก็จะมีอาการต่างกัน
ไม่มาก และในการขับแบบคนทั่วไปก็ไม่มีปัญหา วิ่งในเมือง หรือวิ่งแบบเร่งรีบ
ท่ามกลางรถติด ตราบใดก็ตามที่ใช้ความเร็วเกิน 20 ขึ้นไป รถจะมีช่วงเกียร์
ที่พร้อมรองรับต่องานเสมอ
ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัย แบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง
แบบไฟฟ้า EPS (Electronics Power Steering) รัศมีวงเลี้ยวเต็มรอบ 11.25 เมตร
หรือ 5.58 เมตร
น้ำหนักพวงมาลัยเวลาจอดอยู่กับที่หรือวิ่งด้วยความเร็วต่ำจะเบามาก เบาระดับ
รถอีโคคาร์คันเล็กๆเลยทีเดียว จะเด็ก ผู้ใหญ่ สตรีหรือคนชราหมุนได้สบายมือ
แน่นอน แต่พอความเร็วสูงขึ้น น้ำหนักของพวงมาลัยก็จะเพิ่มขึ้นตาม ยิ่งถ้าหาก
วิ่งด้วยความเร็วเกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป จะมีน้ำหนักหน่วงเวลาถือ
พวงมาลัยตรงมาก มากกว่ารถยุโรปคันโตหลายรุ่น ทำให้เวลาขับทางไกลไม่รู้สึก
ว่าต้องเกร็งข้อมือ และยังเหลือความเบาพอให้คุณผู้หญิงเปลี่ยนเลนไปมาได้
โดยไม่ต้องออกแรงเหมือนงัดข้อแข่งกับแฟน
การขับบนถนนที่คดเคี้ยวหรือเวลาเล่นโค้ง พวงมาลัยจะหนืดต้านมือพอสมควร
และถ้าหักพวงมาลัยเข้าโค้งและเพิ่มความเร็วขณะอยู่ในโค้งไปเรื่อยๆ น้ำหนัก
ของพวงมาลัยก็จะมากขึ้นตามความเร็วที่ใช้ การตอบสนองลักษณะนี้คล้ายกับ
พวงมาลัยไฟฟ้าของ Subaru ซึ่งถือว่าเป็นพวงมาลัยไฟฟ้าที่ดี แม้ว่าเวลาลองขับ
บนถนนที่ฝุ่นปกคลุมหนาๆแล้วเล่นโค้งจะรู้สึกว่าการยึดเกาะของล้อหน้าและ
การส่งความรู้สึกการไถลของหน้ายางยังไม่เป็นธรรมชาติแบบ MG3 รุ่นน้อง
แต่นี่ก็ถือว่าดีพอ ตอบโจทย์กลุ่มผู้ขับรถที่หลากหลายได้มากพอ ไม่ต้องแก้ไข
ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัต ส่วนด้านหลังเป็นแบบ
ทอรชันบีม H-Type พร้อมคานขวางแบบ U-Shape
นิสัยของช่วงล่าง ค่อนข้างกระชับ มีตึงตังบ้างที่ความเร็วต่ำ เหมือนจะกลายเป็น
DNA ของ MG ไปแล้วสำหรับการเซ็ตช่วงล่างลักษณะนี้ เวลาวิ่งผ่านถนนขรุขระ
จะมีอาการดิ้นเบาๆ เสียงช่วงล่างกระแทกจะค่อนข้างดังจนนึกไปเองว่าช่วงล่าง
แข็งมาก แต่ที่จริงถ้าแยกประสาทหูกับก้นได้จะรู้สึกว่าแรงสะเทือนที่เข้ามานั้น
ไม่ได้ดีดจนน่ารำคาญ ถ้า MG6 มีช่วงล่างที่คล้ายรถยุโรปขนาดใหญ่ใส่โช้คสปอร์ต
MG5 ก็ให้ความรู้สึกที่คล้ายกัน และเกือบเหมือนกับ Chevrolet Cruze รุ่นแรกๆ
ในการใช้งานแบบเดินทางไกล ให้ความมั่นใจได้มาก ช่วงล่างที่หนืดบวกกับ
น้ำหนักตัวที่มากทำให้ต้องคอยระวังเรื่องความเร็ว เพราะบางทีนึกว่าขับอยู่ 120
แต่ความจริงทะลุไป 145-150 แล้ว เวลาเจอคอสะพานโหดๆ ตัวรถด้านหน้าจะ
คุมอาการได้ดีมาก ส่วนด้านหลังจะมีอาการดีดและส่ายเบาๆเพราะช่วงชักของ
โช้คอัพกับสปริงหลังค่อนข้างสั้น และมีนิสัยปกติของรถช่วงล่างหลังแบบ
ทอร์ชั่นบีมที่เวลาเจอคอสะพานที่ชันและมาในมุมแทยง ส่วนหลังของรถจะโยก
ไปมาอยู่บ้าง การวิ่งทางไกลบนทางยกระดับบูรพาวิถีนั้น ถ้าไม่เจอกระแสลม
จะนิ่งมากเมื่อเทียบกับรถระดับราคาเท่าๆกัน แต่ที่น่าแปลกคือวันไหนถ้าลมแรง
ตัวรถจะมีอาการวูบวาบให้รู้สึก และน่าแปลกตรงที่น้องเล็ก MG3 ที่ตัวโย่งสั้นกว่า
กลับมีบุคลิกที่ต่างกันไม่มากอย่างที่คิด
J!MMY เล่าให้ผมฟังว่า เขาพา MG 5 ไปเล่นโค้งต่างๆ ที่เขามักทำเป็นประจำ
ในตอนดึกๆ กับรถยนต์ทดสอบทุกคัน บนทางโค้งต่างๆ
เริ่มจากโค้งขวารูปเคียว ของ ทางด่วนขั้นที่ 2 ช่วงมักกะสัน เชื่อมกับทางโค้งซ้าย
เข้าทางด่วนขั้นที่ 1 ฝั่งตรงข้ามโรงแรมเมอเคียว MG 5 ทำความเร็วในโค้งได้สูง
100 และ 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง และนั่นคือลีมิทสูงสุดแล้ว ไปมากกว่านี้ ยางติดรถ
จะร้องดังลั่นสนั่นทุ่ง และเพียงแค่นั้น ก็ถือว่าทำได้ดีมากเกินความคาดหมายแล้ว
แต่ต้องระวังช่วงรอยต่อของพื้นทางด่วน ซึ่งจะลื่นพอสมควร รถมีโอกาสสะบัดได้
ขณะเดียวกัน ทางโค้งขวายาว ต่อเนื่องด้วยโค้งซ้าย และขวาอีกครั้ง เชื่อมจาก
ทางด่วนขั้นที่ 1 ย่าน สุขุมวิท 50 ขึ้นไปบน ทางยกระดับ บูรพาวิถี ผมยังคงพา
MG5 สาดเข้าโค้งได้ด้วยความเร็ว 95 – 110 และ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ได้อย่างมั่นใจ แม้ว่าผิวทางโค้งซ้ายจะเป็นลอนคลื่นก็ตาม ถือว่า เอาอยู่
ส่วนทางยกระดับโค้งซ้าย – ขวายาว รูปเคียว เชื่อมจากมอเตอร์เวย์ เข้าสนามบิน
สุวรรณภูมิ J!MMY พา MG 5 เข้าโค้งด้วยความเร็ว 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในโค้ง
ซ้าย และ 95 กิโลเมตร/ชั่วโมงในโค้งขวา แค่นี้ ก็มากพอแล้ว เมื่อเทียบกับสภาพ
ของสีทาพื้นถนนที่เริ่มไม่เหลือการยึดเกาะให้กับหน้ายางอีกต่อไป
ท้ายสุด โค้งขวา เชื่อมจาก ถนนสนามบินสุวรรณภูมิ ลงสู่ถนนบางนา – ตราด
กิโลเมตร ที่ 14 ตัวรถยังสามารถเข้าไปในโค้งได้ด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร/
ชั่วโมง แต่บั้นท้ายจะเริ่มออกหน่อยๆ และต้องเลี้ยงพวงมาลัยคืนกลับนิดๆ
เพื่อช่วยดึงรถให้รักษาความเร็วก่อนจะออกจากโค้ง ลงสู่พื้นราบอย่างสวยงาม
ถ้าให้เทียบเรื่องช่วงล่างกับคู่แข่ง เราลืม Vios ไปก่อนเถอะครับ ส่วน City นั้นจะเน้น
เรื่องความนุ่มนวลสำหรับลูกค้าเท้าไม่หนัก แต่ความมั่นใจเวลาอัดโค้งยังไม่ดีนัก
ในขณะที่ Fiesta EcoBoost จะมีช่วงล่างที่แข็ง น้ำหนักตัวรถเบา ทำให้หักเลี้ยวใน
โค้งแคบได้คล่องตัว ส่วน Mazda 2 ตัวดีเซล จะมีช่วงล่างที่ไม่แข็งเท่า แต่อาศัย
ความเบาและการเซ็ตช่วงล่างกับพวงมาลัยทำให้โลดแล่นบนทางโค้งแคบหักศอกได้
ดีกว่า MG5 ส่วน MG5 นั้นถ้าเล่นโค้งยาวจะไม่ค่อยเสียเปรียบพวกตัวแสบฝั่งญี่ปุ่น
แต่ถ้าเป็นโค้งแคบและมาเร็วมากๆ น้ำหนักของรถจะดึงตัวรถออกนอกแนวการวิ่ง
ที่เล็งเอาไว้มากกว่ากันอยู่บ้าง
ระบบห้ามล้อ ของ MG5 ทุกรุ่น เป็น ดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ คู่หน้ามีรูระบายความร้อน
มาให้ พร้อมเสริมด้วยตัวช่วยมาตรฐาน อย่าง ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock
Braking System) ระบบช่วยกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronics
Brake Force Distribution) ระบบเสริมแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน EBA (Electronics
Brake Assist) ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System) ระบบป้องกัน
การลื่นไถล เมื่อลดเกียร์ลงต่ำอย่างฉับพลัน MSR (Motor Control Slide Retainer)
ไม่เพียงเท่านั้น MG ยังติดตั้ง ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist
System) ระบบป้องกันการหมุนฟรีและลื่นไถลของล้อยางขณะออกตัว TCS (Traction
Control System) และ ระบบ ควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
แป้นเบรกมีระยะเหยียบยาวกว่า Mazda 2 และการกดเบรกช่วงแรกๆจะมีระยะฟรีเยอะ
ช่วง 1.5 นิ้วแรกที่กด แทบจะไม่ส่งแรงเบรกไปที่ล้อเลย แต่พอกดลึกลงไปอีกก็จะเริ่มมี
แรงเบรก ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะชอบแป้นเบรกแบบนี้หรือไม่ บางคนอาจบอกว่า
แป้นแบบของ MG5 ทำให้ขับในเมืองแล้วเบรกไม่หัวทิ่ม ก็จริงอยู่ แต่ส่วนตัวผมชอบ
แป้นที่เหยียบแล้วส่งแรงแบบค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่เริ่มกดเซ็นติเมตรแรก มันทำให้
ขับสนุกกว่า กะจังหวะเบรกได้ง่ายกว่า
********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********
เมื่อเห็นตัวเลขอัตราเร่งแล้ว หลายคนคงสงสัยว่า แล้ว MG 5 จะประหยัดน้ำมัน
ได้มากน้อยแค่ไหน ทางเดียวที่จะพิสูจน์เรื่องนี้ได้ ผมก็ต้องปล่อยให้ J!MMY
พา MG 5 ไปทดลองด้วยมาตรฐานดั้งเดิมของเว็บเรา ด้วยการนำรถไปเติมน้ำมัน
เบนซิน 95 Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ริมถนนพหลโยธิน ใกล้สถานี
รถไฟฟ้า BTS อารีย์ ในช่วงกลางคืน
ตามมาตรฐานของเว็บเรา รถที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 ซีซี ประกอบ
ในประเทศไทย หรือรถกระบะนั้น เราจะต้องเขย่ารถและอัดกรอกน้ำมันลงถังให้
ได้มากที่สุดจนกระทั่งน้ำมันเอ่อออกมาถึงคอถัง เพื่อลดความเพี้ยนของตัวเลข
การทดลองให้น้อยที่สุด
ในกรณีนี้ MG 5 อยู่ในกลุ่ม B-Segment 1,500 ซีซี ดังนั้น เข้าข่ายที่ต้องโดน
จับเขย่ารถเช่นเดียวกัน ไม่มีข้อยกเว้น เราเติมน้ำมันไปด้วย ขย่มรถไปด้วย จน
เอ่อขึ้นมาถึงปากคอถังอย่างที่เห็นอยู่นี้ เพื่อกันข้อครหาว่าลำเอียงเข้าข้าง
ค่ายนู้นค่ายนี้ ทั้งๆที่ความจริงพวก B-Segment ที่ลองๆมาก็เติมจนเอ่อเกือบ
จะล้นรูแบบนี้ทั้งนั้นแหละ
เส้นทางที่ J!MMY ใช้ทดสอบ ก็เป็นเส้นทางเดิมที่ใช้กับรถคันอื่นๆ ขับออก
จากปั้ม เลี้ยวกลับที่ถนนพหลโยธิน เข้าซอยอารีย์ เลี้ยวขวาลัดเลาะไปออก
ซอยโรงเรียนเรวดี ถนนพระราม 6 ขึ้นทางด่วน ที่ด่านพระราม 6 แล้วก็ ขับรถ
ไปยาวๆ จนถึงปลายสุดของระบบทางด่วน สายอุดรรัถยา
จากนั้น เลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วนสายเดิม มุ่งหน้าย้อนกลับเข้ากรุงเทพฯ โดย
ยึดมาตรฐานดั้งเดิมนั่นคือ ขับขี่ด้วยความเร็วไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิด
เครื่องปรับอากาศไว้ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส เปิดไฟหน้า และ นั่ง 2 คน
MG 5 ไม่มีระบบล็อกความเร็วคงที่ Cruise Control ก็เลยต้องแช่ขาขวา
ไว้บนคันเร่ง ยาวๆ ให้นิ่งที่สุด เท่าที่ทำได้ และเท่าที่สภาพการจราจร โล่งๆ
ยาวๆ จะเอื้ออำนวย
ผู้ร่วมทดลองคราวนี้ เป็นคุณ Joke V10ThLnD สมาชิก The Coup Team
ของเว็บเรา เช่นเดิม น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม
พอถึง ทางลง ของทางด่วน ที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก็เลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนน
พหลโยธิน เลี้ยวกลับที่ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสถานี
บริการน้ำมัน Caltex พหลโยธิน อีกครั้งเพื่อเติมน้ำมัน เบนซิน 95 Techron
ให้เต็มถัง รวมทั้งยังต้องเขย่ารถเพื่ออัดกรอกน้ำมันขึ้นมาจนเอ่อถึงปากคอถัง
เหมือนครั้งแรกที่เราเริ่มต้นทดลอง ณ ตู้หัวจ่ายเดียวกัน ทั้งหมด เราทำแบบนี้
กับรถทุกคัน…ยกเว้น Mazda 2 ที่เป็นเครื่องดีเซล จะให้ใช้หัวจ่ายเบนซินก็..นะ
ผลลัพธ์ที่ได้ คงต้องบอกกันตามตรงว่า อย่าคาดหวังมากนัก
MG 5 รุ่น 1.5 X Turbo Sunroof
ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด 92.8 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับเฉลี่ย 6.61 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 14.03 กิโลเมตร/ลิตร
ถือว่ากินน้ำมันโหดใช้ได้สำหรับการขับแบบวัดอัตราการสิ้นเปลืองซึ่ง
แน่นอนครับว่าเราต้องเบาคันเร่งมาก ขับๆไปนี่ต้องพยายามไม่กดจนถึงขั้น
เทอร์โบบูสท์ มันก็ได้แค่นี้แหละครับ ผมเห็นตัวเลขที่ J!MMY ทำได้แล้ว
ก็ลองเอารถไปวิ่งซ้ำอีกรอบ แค่เปลี่ยนคนขับเป็นตัวผม ซึ่งน้ำหนักเท่ากับ
J!MMY บวกคุณJoke แล้ว ผมก็ได้ตัวเลขต่างกันแค่ 0.2 กิโลเมตร/ลิตร
และนี่คือขับในช่วงเวลาตีสองซึ่งรถโล่งมาก ไม่มีรถติดเลยด้วย
ยิ่งถ้าเป็นการใช้งานในชีวิตจริง หากคุณกดคันเร่งแบบบ้าๆบอๆตามใจตัวเอง
หรือสนุกกับการบูสท์ของเทอร์โบมากๆเข้า ตัวเลขก็จะยิ่งลดลง อย่างเช่น
การขับแบบในชีวิตประจำวันของผม ซึ่งต้องเอารถไปติดต่องานบ้าง ขับไป
เยี่ยมหลานตัวแสบที่กำลังโตทั้งแถวพระราม 3 กับแถวร่มเกล้า ลองขับทำคลิป
และขับในเมืองตอนกลางวันกับบนทางด่วนที่รถหนาแน่น ขับแบบนี้ครึ่งถัง
แล้วเอาไปขับทางไกลอีกครึ่งถัง ค่าเฉลี่ยออกมาได้ 10.26 กิโลเมตร/ลิตร
แต่สมมติถ้านำออกไปวิ่งทางไกลเพียวๆ ไม่เจอรถติดในเมือง ไม่ค่อยมีการ
ออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง อัตราสิ้นเปลืองจะดีขึ้นทันตาเห็น ผมเติมน้ำมันเต็มถัง
แล้วขับจากกรุงเทพไปหาดแม่รำพึงโดยวิ่งเส้นมอเตอร์เวย์ ใช้ระบบนำทาง
ของรถเซ็ตไปที่ “ร้านป้ายาซีฟู้ด” ใช้ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ในช่วงแรก และเพิ่มเป็น 120 ภายหลัง แต่ไม่ได้ขับแบบแข่งประหยัดน้ำมัน
ตรงไหนอยากแซงก็กดไป ขากลับมีบางช่วงเพิ่มความเร็วเป็น 130-140 ด้วย
ระยะทางไป/กลับประมาณ 400 กิโลเมตร ผมทำอัตราสิ้นเปลืองได้ 13.5
กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถือว่าแปลกมากเมื่อเทียบตัวเลขกับการขับแบบ 110 นิ่งๆ
รถรุ่นอื่นๆที่ผมทดลองขับแบบเดียวกัน ค่าที่ได้จะต่างกันมากกว่านี้
+++ข้อสังเกตที่พบในรถทดสอบ+++
1. อาการกินซ้ายนิดๆ คิดว่าเป็นเรื่องที่แก้ได้ ตั้งศูนย์ก็หาย แต่รถทดสอบ
ของเราเพิ่งวิ่งไปแค่พันโลนะครับ
2. เรื่องการเก็บเสียง ถือว่าทำได้ดีในเกณฑ์เฉลี่ยครับ การเก็บเสียงลม
จากซีกหน้ารถยังไม่เงียบเท่า Mazda 2 และถ้าใช้ความเร็วสูงระดับ 180
จะมีเสียงหอนก้องทั้งคันเหมือนเสียงลมแหลมดังมาก แต่ไม่มีอะไรหลุด
ไม่มีอะไรผิดปกติ คาดว่าน่าจะเกิดจากลักษณะการแหวกลมของตัวรถ
หรือชิ้นส่วนบางจุดที่ยื่นออกมาเป็นมุมทำให้เกิดเสียงลมพอดีมากกว่า
++++สรุปการทดลองขับ++++
กินจุ ภายในเชย ขับมันส์ ตัวใหญ่ วิ่งทางไกลมั่นๆ
หลังจากที่ผมได้ใช้ชีวิตอยู่กับ MG5 อยู่นานนับสัปดาห์ ก็ได้พบทั้งสิ่งที่ดีเกินคาด
สิ่งที่เป็นไปตามคาด และสิ่งที่รู้สึกว่าน่าจะปรับอีกนิดเพื่อให้รถมีจุดเด่นที่แตกต่าง
แม้ราคาของตัวรถจะไม่ได้ถูกจนทำให้ยอดขายดี กลายเป็นรถที่ทั้งวัยรุ่นและวัยดึก
ถามหาเหมือน MG3 แต่อย่างน้อยเมื่อมองสิ่งที่ MG5 มอบให้ในราคาที่ไม่ได้แพง
ไปกว่า B-Segment ตัวท้อปของค่ายอื่น..มันมีทั้ง Give and Take คือมีส่วนที่เสีย
และมีส่วนที่ดี รอให้คนที่มีรูปแบบการขับรถ การใช้ชีวิต และรสนิยมลงตัวกับมัน
มาเลือกมันเป็นพาหนะคู่กายนั่นเอง
ข้อดีของ MG5 คันนี้ อย่างแรกก็คือเรื่องขนาดตัวนี่ล่ะครับที่ทำให้มันเด่น
ถึงแม้เนื้อที่เหนือศีรษะด้านหลังจะน้อยกว่า Honda City แต่ก็ได้พื้นที่วางขา
มาชดเชย ที่สำคัญมันยังเป็นที่ที่ผมสามารถนั่งโดยสารได้ ในขณะที่ Mazda 2
นั้นเบาะหลังแทบอยากจะปักป้าย “อนุญาตเฉพาะสุภาพสตรีตัวผอมเท่านั้น”
เอาไว้เลย ขนาดลำตัวที่กว้าง 1.8 เมตรนั้นทำให้ผมสามารถนั่งข้างคู่ไปกับ
J!MMY ได้โดยที่ศอกกับไหล่ไม่แตะไม่ถู ไม่สัมผัสกันแม้แต่นิดเดียว
พูดง่ายๆคือ “จ่ายราคา B-Segment ได้ขนาดตัวแบบ C-Segment” เป็นเรื่องจริง
ไปดูข้อมูลขนาดมิติตัวรถเอาได้เลย
อย่างที่สองคือช่วงล่าง แม้ว่าอาจจะแข็งไปสำหรับบางท่าน แต่เป็นความแข็ง
ที่ไม่เด้งเป็นลูกชิ้นปลานายใบ้ ยิ่งวิ่งเร็วช่วงล่างจะยิ่งนิ่งและมั่นขึ้น พวงมาลัย
เบาที่ความเร็วต่ำขับสบายในเมือง หนืดมากที่ความเร็วสูงทำให้ไม่เกร็ง ขับแบบ
บู๊ๆก็ยังตอบสนองได้ดีแค่อย่าเล่นแรงเวอร์ๆจนท้ายมันกวาดออกแล้วกัน
อย่างที่สามคือการตอบสนองของเครื่องยนต์และเกียร์ ถึงแม้ในช่วงความเร็ว
ต่ำกว่า 120 จะไม่ได้เด่นแบบฉีกออกมาจากกลุ่ม แต่ก็เกาะๆหัวแถวไว้ได้และ
ยิ่งวิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นพละกำลังที่แท้จริงของรถมากขึ้นเท่านั้น เกียร์อัตโนมัติ
แบบโลกนิยม ไม่ใช่เกียร์อินดี้ ไม่ต้องสอนวิธีใช้ คุณขับมันเหมือนเกียร์อัตโนมัติ
ในรถทั่วไปได้ทันที แถมทำงานได้ดีด้วย
ส่วนเรื่องอุปกรณ์ที่ให้มากับความคุ้มค่านั้น ต้องขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ซื้อ
ว่ามองอะไรเป็นสิ่งสำคัญหรือไม่สำคัญ อย่างเช่น MG5 นั้นขาดอุปกรณ์บาง
รายการที่คู่แข่งเขามีกัน อย่างเช่น Keyless Entry ปุ่มสตาร์ท และไม่มีเครื่อง
ปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แต่ตัวมันเองก็มีหลังคาซันรูฟ และมีระบบนำทาง
ติดมาให้เลยโดยไม่ต้องไปติดตั้งเองหรือเสียเงินเพิ่มให้กับดีลเลอร์ ส่วนอุปกรณ์
ด้านความปลอดภัยนั้น MG5 ให้ถุงลมนิรภัยมาแค่คู่หน้า ซึ่งถือว่าก็เท่ากับคู่แข่ง
โดยเฉลี่ย มีแต่ City SV Plus ที่ให้ถุงลมหลายใบ ส่วนระบบช่วยเหลือด้าน
การขับขี่..ตรงนี้ไม่เคยเป็นจุดอ่อนของ MG อยู่แล้ว และรถญี่ปุ่นแม้แต่เจ้าตลาด
ก็เริ่มขยับตัวตามเพื่อนำเสนออุปกรณ์แบบเดียวกัน (ไม่นับ Honda ซึ่งถ้าคุณ
ย้อนไปดูข้อมูลดีๆเขาพยายามยัด VSA/ABS ใส่รถ City ทุกรุ่นตั้งแต่ปี 2014แล้ว)
แล้วข้อเสียล่ะ? มีสิครับทำไมจะไม่มี
ประการแรกคือเรื่องอัตราสิ้นเปลืองครับ ถ้าคุณคิดจะคบสาวเซ็กซี่ หุ่นดี แต่ขยัน
หาเรื่องกินและหาที่กิน คุณก็ต้องยอมแลก MG5 ตัวไม่ใช่เบาๆนะครับ และยังใช้
เครื่องยนต์เทอร์โบอีกด้วย จะให้ประหยัดแบบ 17-18 กิโลเมตร/ลิตร ก็คงต้องใช้
เครื่องยนต์ประเภทที่มีเทคโนโลยีสูงกว่านี้ และราคาของรถมันก็จะไม่ใช่แค่นี้แน่ๆ
ดังนั้นถ้าคุณเป็นคนที่เน้นเรื่องความประหยัดเชื้อเพลิงมากๆ MG5 คงไม่เหมาะครับ
ประการที่สองคือเบาะครับ เบาะคนขับนั่นล่ะ ควรจะออกแบบให้ปรับสูง/ต่ำแบบ
ยก/ลดระดับแบบทั้งตัว เพราะไอ้แบบที่ทำมาให้ตอนนั้นมันไม่เรียกว่าเบาะปรับ
สูง/ต่ำครับ มันคือปรับเอาส่วนรองก้นเทเข้าเทออกเฉยๆ ของแบบนี้ไม่น่าพลาด
เพราะอุตส่าห์ทำรถมาให้เหมาะกับคนที่ชื่นชอบการขับขี่ทั้งที ถ้าปรับเบาะให้ต่ำลงได้
ก็จะได้ตำแหน่งพวงมาลัยกับตำแหน่งการเหยียบคันเร่งที่รองรับลูกค้าได้หลากไซส์
หลายแบบมากขึ้น ไม่ใช่แค่กับผม แต่กับคนผอมสูงขายาวหรือตัวยาวอีกหลายคน
นอกจากนี้..ขอบคุณครับที่ให้ตัวปรับดันหลังมาให้ แต่มันปรับได้แค่ ดัน..ดันมากๆ
และโคตรดัน ปรับตรงนี้นิดนึงแล้วมันน่าจะสบายขึ้น ส่วนขนาดเบาะ ความนุ่มของเบาะ
และพนักพิงศีรษะ โอเคแล้วครับ เบาะใหญ่นั่งสบายทั้งหัว ไหล่ ตูด
ประการที่สามคือการตอบสนองเครื่องยนต์ที่มีการ “ค่อยๆปล่อย” พลังในช่วงแรก
ของการกดคันเร่ง..เรื่องนี้อ่านดีๆอย่าเพิ่งมองว่าผมแนะนำอะไรสั่วๆนะครับ
คนที่ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อรถเครื่องเทอร์โบ ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากได้พลังการเร่ง
แซงถูกมั้ย ถ้าเป็นช่วงรอบต่ำ..โอเคมันอาจเป็นเพราะเทอร์โบยังไม่สร้างบูสท์มากพอ
แต่ถ้าเป็นช่วงรอบเครื่อง 3,500 ขึ้นไป ตอกคันเร่งแล้วควรจะมาทันทีครับ ไม่ใช่ค่อยๆมา
จนพาลเข้าใจผิดว่านี่เอาเทอร์โบโตๆมาใส่หรือเปล่า ถ้าปรับจุดนี้ได้อัตราเร่งของรถ
จะได้เลขสวยกว่านี้..แต่..ผมเข้าใจนะครับว่าทำไม MG ต้องเซ็ตรถมาอย่างนี้
เพราะถ้าเซ็ตให้เครื่องปล่อยพลังแบบเต็มที่และเฉียบพลันแล้วเจอลูกค้าเท้าหนักมากๆ
เกียร์มันจะพังก่อนเป็นอย่างแรก แล้วกับแบรนด์ที่ยังใหม่สำหรับตลาดบ้านเราอย่างนี้
ถ้าคุณขายรถไปปีเดียวรถเกียร์พังเป็นแถบๆ มันจะอันตรายต่อชื่อเสียงตัวเอง
ก็อาจจะต้องหาวิธีกลางๆ เช่นเซ็ตการตอบสนองเครื่องไว้ให้ทำแบบเดิมนี่ล่ะ
แต่พอโยกเกียร์มา Sport Mode ก็สั่งให้กล่องเปิดลิ้นคันเร่งปลดปล่อยพลังไวขึ้น
แบบนี้ก็ถือว่ากลางๆ อยากเซฟเกียร์ก็เล่น D ไป อยากเน้นแรงก็เข้า S ไป
นี่คือสิ่งหลักๆที่ผมรู้สึกว่ายังสามารถปรับให้ดีขึ้นได้..ยกเว้นเรื่องอัตราสิ้นเปลือง
ที่เราคงต้องทำใจรับมันแทน เพราะถ้าทำให้ประหยัดได้มากกว่านี้โดยไม่ส่งผล
เรื่องความทนของเครื่องยนต์ MG คงทำไปนานแล้ว
ส่วนเรื่องอื่นๆ ถือว่าเป็นเรื่องรองที่บางท่านก็รำคาญ บางท่านก็ปรับตัวได้
อย่างเช่นก้านไฟเลี้ยวที่อยู่ด้านซ้ายแบบรถยุโรป (และ Subaru หลายรุ่น) สวิตช์
กระจกไฟฟ้าที่น่าจะทำเป็นสวิตช์ 2 Step กดลึกเปิด Auto กดตื้นค่อยๆลดกระจก
เพื่อแง้มได้สะดวก..แบบที่ใช้ในปัจจุบันไม่ได้มีปัญหาเลยยกเว้นตอนจะจอด
กลางแดดแล้วอยากจะแง้มกระจก..เลยป้ายตลอด นอกจากนี้ก็มีฟังก์ชั่นอื่นๆ
ที่ยังมีตำแหน่งการวางปุ่มแปลกๆ เช่นสวิตช์พับกระจกไฟฟ้ามาอยู่คอนโซลกลาง
แทนที่จะรวมกับชุดสวิตช์ปรับกระจกมองข้าง รวมถึงฟังก์ชั่นปรับแสงสว่าง
หน้าปัดซึ่งถ้าคุณไม่อ่านคู่มือ ก็จะไม่รู้เลยว่ามันสามารถทำได้
บางท่านอาจจะบอกว่าไม่เห็นเป็นไรนี่หว่า คู่มือมีไว้ให้อ่านอยู่แล้ว ผมไม่เถียงครับ
แต่ระหว่างรถที่คุณต้องอ่านคู่มือเพื่อใช้ฟังก์ชั่นง่ายๆ กับรถที่ไม่ต้องอ่านแต่ใช้
งานฟังก์ชั่นต่างๆได้เกือบ 90% คุณคิดว่าใครได้ทุ่มเทความคิดกับการออกแบบ
สวิตช์และระบบต่างๆในรถมากกว่ากัน?
สิ่งที่ได้เขียนไปทั้งหมดนั่น คือความรู้สึกและผลจากการทดลองใช้ชีวิตกับ
เจ้า MG5 น้องคนรองหน้าตาสวยงาม ใส่ชุดเซ็กซี่ หุ่นดี กินเก่ง แต่ดุ ปากไว
และเอาจริงเอาจังคนนี้
แล้วใครล่ะที่เหมาะกับ MG5?
ผมขอถามอย่างแรกก่อนเลย (สวมหัวโขนพ่อสื่อก่อนนะ) ว่า..คุณเห็นหน้าตา
เธอแล้วเป็นไง ชอบมั้ย? ถ้าชอบ เราไปต่อ
คำถามข้อต่อมา คุณเป็นคนที่พิจารณารถจากคุณภาพการขับขี่หรือเปล่า?
คุณรู้สึกว่าคุณเลือกรถคันหนึ่งเพราะช่วงล่างที่มั่นใจ คุณมีงบไม่เกิน 7 แสนกลาง
และต้องการรถที่ให้คุณภาพการขับขี่ที่ดี เหมาะสำหรับการวิ่งทางไกล ไม่สำคัญ
ว่าวิ่งบ่อยหรือไม่บ่อย ใช่หรือไม่?
ถ้าไม่ใช่ ผมจะบอกเลยว่าคุณอาจจะไม่ได้ใช้คุณสมบัติที่ดีของ MG5 แล้วและ
ตัวเลือกของคุณอาจไม่จบกับรถคันนี้ แต่ถ้าคุณพยักหน้าตอบว่าใช่..เราไปต่อ
คำถามข้อต่อมา คุณเป็นคนที่วัดความคุ้มค่าจากความทันสมัยของอุปกรณ์
ภายใน สีสันที่แพรวพราว เบาะกับพวงมาลัยที่ปรับได้หลากหลายหรือเปล่า?
ถ้าใช่..ลืม MG5 ซะ เดี๋ยวผมหลังไมค์เบอร์มือถือกับ LINE ID ของน้อง “ซิตี้”
ไปให้..เธอเป็นคนทันสมัย แต่ไม่ค่อยชอบอะไรที่รุนแรง
แต่ถ้าคุณเฉยๆกับเรื่องนี้ เราไปต่อ
คำถามข้อรองสุดท้าย คุณใช้งานรถปีหลาย 4-50,000 กิโลเมตรขึ้นไปหรือไม่
คุณซีเรียสเรื่องค่าน้ำมันมากแค่ไหน? ถ้าซีเรียสมาก ลืม MG5 ซะ เดี๋ยวผม
หลังไมค์ Facebook URL ของ “น้องสอง” ไปให้แทน เธอเป็นคนตรงๆไวๆ
แอบแรงในบางที นิสัยสุดแสนจะไม่ฟุ่มเฟือย แต่ชอบความสันโดษนะ
ไม่ชอบไปไหนมาไหนกับคนตัวใหญ่ๆจำนวนมากๆอ่ะ…..แต่ถ้าคุณไม่ซีเรียส
เราจะไปถึงคำถามข้อสุดท้าย
คำถามข้อสุดท้าย ..คุณยินดีจะร่วมหอแต่งงานกับคนที่คุณเพิ่งรู้จักมา 2-3 ปีหรือไม่?
นี่ไม่ใช่คำถามที่มองหาคำตอบผิดหรือถูก..คุณโพสท์ Status Facebook
ตัวเองดู ถามเพื่อนซิว่าความรักต้องผ่านเวลานานๆมาก่อนมันถึงจะแกร่ง จริงเสมอไปหรือไม่
คุณจะพบว่าบางคนคบกัน 11 ปีก็เลิกกันได้ บางคนคบกันแค่ 4 เดือนแต่งงานเลย
แล้วทุกวันนี้ก็ยังมีชีวิตคู่ที่ดี แต่หลายคู่ก็จะเป็นไปตามกฎคลาสสิคของความคุ้นเคย
หรือความชินชา
MG ก็ถือว่าเป็นแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งทำตลาดในไทยอย่างจริงจังมาไม่กี่ปี
ไม่ว่าผมหรือคุณจะมีความเห็นต่างกันอย่างไร คนส่วนมากของประเทศก็จะยัง
มีความสงสัยในอนาคตของแบรนด์นี้อยู่ดี หลายคนชอบรถที่มีศูนย์บริการเยอะๆ
มีช่างเก่งๆ เคลมง่ายๆ หรือรถที่หาของแต่ง หาโช้คแต่ง สปอยเลอร์รอบคันได้ง่ายๆ
นี่คือสูตรที่ส่งเสริมให้ค่ายญี่ปุ่นประสบความสำเร็จ บริษัทรถสามารถปรับปรุง
บางอย่างให้ดีขึ้นได้ แต่การปรับปรุงด้านบริการ ก็ต้องมีงบประมาณ ซึ่งมาจากการ
ขายรถให้ได้เสียก่อน ไอ้พวกของแต่ง กล่องแต่ง บริการรับรีแฟลช มันจะมีคนทำ
ก็ต่อเมื่อรถรุ่นนั้นขายดี มีลูกค้าซื้อ สภาพเศรษฐกิจแบบนี้ไม่มีใครอยากนำเข้า
เอาของมาดองไว้ขายลูกค้าไม่กี่คน หรือลงทุนซื้อรถคันนึงมาลองจูน ลองโมดิฟาย
ลองวิจัย..ถ้าลงทุนไปแล้วลูกค้าเอารถมาทำแค่หยิบมือ ก็ขาดทุนถูกมั้ยครับ?
ภายใต้สภาวะที่น่าอึดอัดแบบนี้ หลายคนอยากได้ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่เสกได้
ในปีนี้ MG ก็พยายามเพิ่มบริการ Passion Service ซึ่งมีบริการรถ Mobile ออกไป
ซ่อมหรือดูแลรถลูกค้าถึงที่โดยนัดหมายผ่าน Call Center แล้วยังมีการรับประกัน
ตัวรถ 4 ปีหรือ 120,000 กิโลเมตร รวมกับบริการให้รถสำรองใช้ในกรณีที่รถ MG ของคุณ
ต้องเข้าศูนย์เกิน 4 วัน นี่คือการเพิ่มความมั่นใจในแบบระยะสั้นเท่าที่พวกเขาสามารถ
ช่วยคุณได้ในช่วงไม่กี่ปีหลังแบรนด์เปิดตัวในไทย
ผมสามารถบอกคุณได้เพียงเท่านี้ ส่วนที่เหลือ ก็แล้วแต่ว่าความดีงามของรถ
จะชนะใจคุณ และโน้มน้าวให้คุณสามารถยอมใช้ชีวิตกับเขาโดยยอมรับข้อเสียต่างๆ
ตลอดจนช่วงระยะเวลาสั้นๆที่เพิ่งจะรู้จักกันได้หรือไม่?
ส่วนตัวผมหรือครับ? คือ..ไม่มีเงินค่าสินสอดหรอกครับ หมดหวัง
แต่การขับ MG5 ทำให้ผมรู้สึกว่าสิ่งต่างๆมันเริ่มเข้าร่องเข้ารอยขึ้น และมันพิสูจน์
ให้เห็นแล้วว่าเมื่อ MG ตั้งใจทำรถให้ขับสนุก มันก็สนุกได้ กับ MG คันอื่นๆ
ผมอาจจะขับรถเหล่านั้นเป็นพันกิโลเมตร เพราะผมอยากจะทำความเข้าใจกับมัน
อยากจะหาวิธีชนะจุดด้อยของมัน อยากจะสำรวจและตรวจความคิดของตัวเอง
ไปจนกว่าวันที่ต้องเอารถไปคืนคุณกิจที่ MG
กับ MG5..ผมขับมัน เพราะผมรู้สึกอยากขับ และแค่นั้น
จบนะ
ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท MG Sales (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ
—————————————–
Pan Paitoonpong//J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย เป็นผลงานของผู้เขียน
ยกเว้น ภาพถ่ายจากต่างประเทศ เป็นลิขสิทธิ์ของ MG
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
31 มีนาคม 2016
Copyright (c) 2016 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
March 31st,2016
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!