นับตั้งแต่ General Motors Thaland ประกาศเผยโฉม รถยนต์ตรวจการอเนกประสงค์
SUV / PPV บนพื้นฐานรถกระบะ ในชื่อ Chevrolet Trailblazer ออกสู่ตลาดเมืองไทย
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2012 …ตอนนี้ เวลาผ่านไปแล้ว 2 ปี เต็ม ปริมาณรถยนต์ที่แล่น
กันอยู่บนถนนในตอนนี้ ก็มีให้เห็นหนาตาขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าจะถามว่า Trailblazer ประสบความสำเร็จในบ้านเราแล้วหรือไม่? GM คงจะถาม
ย้อนกลับมาว่า “แล้วคุณละ เอาอะไรเป็นตัวชี้วัด?”

ไม่มีอะไรจะบอกเราได้ดีไปกว่าตัวเลขยอดขายในภาพรวมกันอีกแล้ว ข้อมูลจาก GM
Thailand ระบุว่า จากเดือนพฤษภาคม 2012 จนถึงสิ้นปี 2012 Trailblazer มี
ยอดขายในไทยรวม 5,495 คัน และตลอดปี 2013 ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 6,385 คัน
และเฉพาะเดือนมกราคม / กุมภาพันธ์ 2014 มียอดขายเพิ่มอีก 300 และ 175 คัน
ดังนั้น ถ้านับจนถึง วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2014 ยอดขาย Trailblazer ในไทย สะสม
ตั้งแต่เริ่มต้นส่งมอบรถคันแรกให้ลูกค้า ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2012 จะรวมทั้งสิ้น
12,355 คัน โดยมียอดขายสูงสุดในเดือนกรกฎาคม 2013 ที่ 696 คัน และแย่ที่สุด
175 คัน ในกุมภาพันธ์ 2014 (เพราะ ลูกค้าส่วนใหญ่ รอโปรโมชันช่วง Motor Show
และมีปัญหา ภาพลักษณ์ของแบรนด์ ที่เสียหาย จากกรณีของเกียร์ ในรุ่น Cruze)

มร.กุสตาโว โคลอสซี  รองประธานฝ่ายขาย การตลาด และบริการหลังการขายประจำ
ประเทศไทย และ ASEAN บริษัท General Motors (Thailand) จำกัด ระบุว่า
“ลูกค้าชื่นชอบ Trailblazer รุ่นแรก ทั้งด้านสมรรถนะการควบคุม ห้องโดยสาร
การออกแบบ ความประณีต และคุณภาพ ยอดขายส่วนใหญ่อยู่ในตลาดต่างจังหวัด
เนื่องจาก Trailblazer ดึงดูดลูกค้าที่ต้องการใช้รถยนต์ซึ่งสามารถขับขี่ระยะไกล
และบางครั้งต้องขับบนทาง Off Road นอกเหนือจาก กรุงเทพฯ และภาคกลางแล้ว
Trailblazer ยังมียอดขายที่ดีในภาคตะวันออก และภาคตะวันตก”

อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นในการกระตุ้นตลาด เพื่อให้ Trailblazer ยังคงมียอดขาย
คงเส้นคงวา เป็นสิ่งจำเป็น พวกเขาจึงต้องอัพเกรดตัวรถให้ดีกว่าเดิม การยกขุมพลัง
เวอร์ชันใหม่ New Duramax  2,800 ซีซี 200 แรงม้า (PS) กับ 2,500 ซีซี
163 แรงม้า (PS) จาก รถกระบะ Colorado มา วางลงใน Trailblazer ก็ดูเป็น
ทางออกที่เหมาะสม

Trailblazer ขุมพลังใหม่ ออกสู่ตลาดในบ้านเราครั้งแรก พร้อมๆกันกับ Colorado
New Duramax Engine เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2013 ที่ผ่านมา ก่อนงาน Motor
Expo เริ่มขึ้นไม่กี่วัน

รุ่นที่เรานำมาทดลองขับกัน มีทั้งรุ่น 2.8 L 6AT 4×4 LTZ1 อันเป็นรุ่น Top of
the Line สีน้ำตาล Auburn Brown และรุ่น 2.5 L 6MT 4×2 LT สีน้ำเงิน
Blue Mountain อันเป็นรุ่นเริ่มต้น ราคาถูกสุด

ความเปลี่ยนแปลงจากรถยนต์รุ่นเดิม ที่มองเห็นจากภายนอก น้อยมากๆ มีเพียง
แค่การเปลี่ยนสัญลักษณ์แปะข้างบานประตูคู่หน้า จากชื่อรุ่นเต็มๆ Trailblazer
มาเป็นคำว่า Duramax แล้วย้ายตำแหน่งขึ้นไปติดตั้ง ใกล้กับใต้กระจกมองข้าง
พร้อมไฟเลี้ยว ซึ่งมีมาให้ครบทุกรุ่น เพียงเท่านั้น!

อุปกรณ์ภายนอก ทั้งไฟตัดหมอก หน้า – หลัง แผ่นกันโคลน หน้า – หลัง และ
บันได้ข้าง ยังคงมีมาให้ครบทุกรุ่นเหมือนเดิม แต่ชุดไฟหน้าของรุ่น 2.5 LT
กับ 2.8 LT เป็นแบบ Halogen ส่วนรุ่น 2.8 LTZ และ LTZ1 เป็นไฟหน้าแบบ
Projector ไฟหน้าทกรุ่น ปรับสูง – ต่ำ ได้จากสวิชต์ใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับ รวมทั้ง
มี ราวหลังคา มือจับประตูสีเดียวกับตัวรถพร้อมแถบโครเมียม มีแถบสีดำ เชื่อม
หน้าต่างบานประตูคู่หน้า – หลัง ต่อเนื่องกัน และชุดไฟท้าย แบบ LED เพิ่ม
มาให้มากกว่ารุ่น LT

เมื่อกดสวิชต์ปลดล็อกบน กุญแจรีโมทคอนโทรล พร้อมระบบ Immobilizer
(เหมือนกันทุกรุ่น) เปิดประตูเข้าไป จะพบว่า ภายในห้องโดยสาร ทั้งเบาะหน้า
แถวกลาง และแถว 3 “ยังคงเหมือนเดิมเป๊ะ!” รุ่น LT เป็นเบาะผ้า Truss สีเทา
Dark Ash Grey นั่งสบาย ส่วนรุ่น LTZ / LTZ1 เป็นเบาะหนัง สีครีม Shale
ที่อาจเลอะเทอะง่าย เบาะนั่งคนขับปรับระดับสูง – ต่ำได้ทุกรุ่น แต่รุ่น 2.8 LTZ
และ LTZ1 เบาะคนขับจะปรับด้วยสวิชต์ไฟฟ้า 6 ทิศทาง

เบาะแถวกลาง ยังคงเป็นแบบ แบ่ง 60 : 40 ปรับเอน แยกฝั่งซ้าย – ขวา และ
พับขึ้นมา เพื่อเปิดทะลุให้ผู้โดยสารเข้าไปนั่งบนเบาะแถว 3 ได้ง่ายขึ้น มีพนัก
วางแขน พร้อมช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง ที่วางแขนพอได้ แต่อาจไม่เต็มที่
เพราะหลุมช่องวางแก้วมันกวนใจ ส่วนเบาะแถว 3 ก็พับเก็บเพื่อเพิ่มพื้นที่วาง
สัมภาระด้านหลังได้ ในแบบ 50 : 50 รุ่น LTZ1 จะมีกล่องใส่ของ และช่อง
ล็อกแผงบังสัมภาระด้านหลัง ในยามไม่ใช้งาน ขณะเดียวกัน เครื่องปรับอากาศ
ยังคงมีช่องแอร์ มาให้สำหรับผู้โดยสารแถว 2 และ 3 โดยสวิชต์รุ่น LT จะเป็น
แบบมือหมุน ด่านเจดีย์สามองค์ ส่วนรุ่น LTZ / LTZ1 จะเป็นสวิชต์ Digital
ทรงโดนัท เรืองแสงสีฟ้าอ่อนตามเคย

สิ่งที่อยากให้ปรับปรุงคือ เข็มขัดนิรภัยปรับระดับสูง – ต่ำได้นั้น เฉพาะฝั่งคนขับ
ของรถทั้ง 2 คันที่เราทดลองขับ มันปรับไม่ได้ครับ คาดว่าน่าจะเกิดจากการพา
รถทั้ง 2 คัน ไปลุยทริปหนักๆ โหดๆ มาก่อน จนเข็มขัดเกิดปัญหาติดขัดในการ
ปรับระยะสูง – ต่ำ ฝากให้ทาง GM แก้ปัญหานี้ด้วยครับ

ถึงแม้ภายนอก และภายใน จะถูกอัพเดท ด้วยรายละเอียดข้างต้น แต่เมื่อดูดีๆ
ก็จะพบว่า มันไม่ได้แตกต่างไปจาก Trailblazer รุ่นเดิมเลย ผมจึงขออนุญาต
ไม่เขึยนถึงอีก แต่ถ้าอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม และความคิดเห็นของผม คุณสามารถ
ตามกลับไปอ่านได้ในบทความ Full Review ของ Chevrolet Tralblazer
MY 2012 – 2013 ได้ ตามลิงก์ ด้านล่างท้ายสุดของบทความนี้

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่า จะไม่มีความแปลกใหม่ในรถรุ่นปี 2014 เพราะถ้าลองสังเกตดูดีๆ
จะพบว่า ในรุ่นท็อป 2.8 L 6AT 4×4 LTZ1 จะมีการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
เหมือนกับ Colorado C-Cab 2.8 L 6AT 4×4 Z71 LTZ ทุกประการ ทั้งการเปลี่ยนจอ
Multi Information Display ตรงกลาง ให้เป็นแบบ Eco Index แสดงข้อมูล Trip Meter
ทั้ง 2 แบบ รวมอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และข้อมูลอื่นๆมากขึ้น แถมยังมีการโชว์รูป
ใบไม้ขึ้นบนหน้าจอ ถ้าคุณขับประหยัดๆ และมีสถิติการใช้น้ำมันช่วง 50 กิโลเมตร
มาให้ดูเล่นกันอีกด้วย

ด้านความบันเทิง GM จัดหนัก ด้วยการติดตั้ง เครื่องเสียง Infotainment พร้อมระบบ
MyLink ประกอบด้วยวิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเบ่น CD/DVD/MP3 1 แผ่น ลำโพง
9 ชิ้น พร้อมหน้าจอ Touch Screen 6.5 นิ้ว แสดงภาพอัลบั้ม Video กล้องมองหลัง
เพื่อกะระยะขณะถอยจอด เชื่อมต่อโทรศัพท์ และเครื่องเล่นเพลงผ่าน Bluetooth
และช่อง USB รวมทั้งมีระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System
มาให้เฉพาะรุ่น 2.8 LTZ1 เท่านั้น คุณภาพเสียง ถือว่า OK สอบผ่าน ใช้ได้

ส่วนรุ่นอื่นๆที่หลือ รวมทั้ง 2.5 LT จะติดตั้งเครื่องเสียง MyLink ชุดเดียวกันกับ
Sonic 1.6 L มีทั้งวิทยุ AM/FM หน้าจอ TouchScreen เชื่อมต่อโทรศัพท์
ผ่านทาง Bluetooth และ USB เพื่อชมภาพและ Video ระบบ Straming ได้
เหมือนใน Sonic 1.6 ทุกประการ คุณภาพเสียง ถือว่าดีสุดในบรรดารถกระบะที่
ขายในบ้านเราตอนนี้ ข้อเสียก็คือ ไม่มีเครื่องเล่น CD มาให้

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ Trailblazer ครั้งนี้ อยู่ที่การปรับปรุงเครื่องยนต์ Duramax เดิม
ให้กลายเป็น Duramax Generation ที่ 2 โดยมุ่งเน้นประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น เพื่อให้
แรงขึ้น และประหยัดน้ำมันมากขึ้น รายละเอียดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ คลิกอ่านต่อได้ในบทความ
Full Review : Chevrolet Colorado New Duramax ณ ลิงค์ด้านล่างท้ายบทความนี้

ขุมพลัง Duramax Gen 2 ซึ่งยังคงมีให้เลือก 2 แบบ ทั้งขุมพลังรหัสใหม่ XLDE28 บล็อก
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,776 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 94 x 100 มิลลิเมตร กำลังอัด
16.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยชุดรางหัวฉีด Common Rail ของ Bosch ระบบอัดอากาศ
Turbocharger จะเป็นแบบ “มีครีบแปรผัน” และมี Intercooler ช่วยลดความร้อนของ
ไปดีก่อนส่งเข้าสู่ห้องเผาไหม้

กำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นจากเดิม 180 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที พุ่งพรวดเป็น 200 แรงม้า
(PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด พุ่งขึ้นจาก 470 นิวตันเมตร (47.9 กก.-ม.) ทะลุ
ขึ้นไปถึง 500 นิวตันเมตร (50.9 กก.-ม. ที่ 2,000 รอบ/นาที) เท่ากับรุ่นเดิม

เครื่องยนต์ 2,800 ซีซี จะมีให้เลือกทั้งรุ่น ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่จะมี
เฉพาะเกียร์อัตโนมัติ  6 จังหวะ เพียงแบบเดียวเท่านั้น เป็นเกียร์ลูกเดิมที่ประจำการอยู่ก่อนแล้ว
ใน Colorado และ Trailblazer รุ่นปัจจุบัน ในช่วงตั้งแต่ปี 2011 อัตราทดเกียร์ มีดังนี้

เกียร์ 1 ………………………..4.065
เกียร์ 2 ………………………..2.371
เกียร์ 3 ………………………..1.551
เกียร์ 4 ………………………..1.157
เกียร์ 5 ………………………..0.853
เกียร์ 6 ………………………..0.674
เกียร์ถอยหลัง ………………3.200
อัตราทดเฟืองท้าย …………3.420

ส่วนรุ่น 2,500 ซีซี จะใช้เครื่องยนต์รหัสใหม่ XLDE25 บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,449 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 92 x 94 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ
รางหัวฉีด Common Rail จาก Bosch อัดอากาศด้วย Turbocharger แบบไม่มีครีบแปรผัน พ่วง
ด้วย Intercooler

กำลังสูงสุด เพิ่มขึ้นจาก 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,800 รอบ/นาที เป็น 163 แรงม้า (PS) ที่ 3,600
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด เพิ่มขึ้นจาก 350 นิวตันเมตร (35.7 กก.-ม.) เป็น 380 นิวตันเมตร
(38.8 กก.-ม.) ที่ 2,000 รอบ/นาที เท่าเดิม

เครื่องยนต์ 2,500 ซีซี ใหม่ ยังคงมีให้เลือกเฉพาะ เกียร์ธรรมดา เท่านั้น ไม่มีเกียร์อัตโนมัติ
ให้เลือกเลย ติดตั้งในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง 2.5 LT 5MT 4×2 เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น แต่
GM เปลี่ยนมาใช้เกียร์ธรรมดา ลูกใหม่ 6 จังหวะ เป็นครั้งแรก อัตราทดเกียร์ มีดังนี้

เกียร์ 1 ………………………..4.02
เกียร์ 2 ………………………..2.21
เกียร์ 3 ………………………..1.46
เกียร์ 4 ………………………..1.000
เกียร์ 5 ………………………..0.76
เกียร์ 6 ………………………..0.59
เกียร์ถอยหลัง ………………3.63
อัตราทดเฟืองท้าย………….4.10

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้อัตราเร่งดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน เราทำการทดลองโดย
จับเวลาในตอนกลางคืน ตามมาตรฐานเดิมของเรา คือ เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า นั่ง 2 คน
น้ำหนักตัวรวมกันไม่เกิน 170 – 180 กิโลกรัม ผลตัวเลข เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม มีดังนี้

จากตัวเลขจะพบว่า อัตราเร่งของ รุ่น 2.8 ลิตรเกียร์อัตโนมัติ จะแรงกว่าเดิม 0.7 วินาที
ทั้ง 2 หมวดการจับเวลา ขณะที่ รุ่น 2.5 ลิตร ทำอัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ดีขึ้นราว 0.4 วินาที แต่ทำอัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ดีขึ้นถึง 1 วินาที
ดังนั้น ถือว่า ขุมพลังใหม่ ช่วยสร้างอัตราเร่งให้แรงขึ้นจริงๆ

ขณะเดียวกัน ความเร็วสูงสุดแต่ละเกียร์ ของทั้ง 2 รุ่น แทบไม่แตกต่างไปจากรุ่นเดิม
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเซ็ตอัตราทดเกียร์ ที่ใกล้เคียงของเดิมมากอยู่ อีกทั้งความเร็ว
สูงสุด บนมาตรวัด ของทุกรุ่น ยังคงถูกล็อกเอาไว้ที่ 184 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามเดิม
ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ซึ่งถือว่า ถูกต้อง เหมาะสมแล้ว

ย้ำกันเช่นเคยครับว่า  เราไม่แนะนำให้คุณไปทำการทดลองความเร็วสูงสุดแบบนี้
กันเอาเอง ให้เสี่ยงอันตรายกับตัวคุณและผู้ร่วมสัญจรคนอื่นๆ เพราะเราใช้เวลา
ช่วงดึกมากๆ ทดลองทำออกมาเพื่อเป็นข้อมูลเชิงวิชาการ เพื่อการศึกษาของผู้สนใจ
เราไม่รับผิดชอบ หากเกิดอุบัติเหตุใดๆขึ้น จากการดูคลิปแล้วไปทำตามทั้งสิ้น

ในการขับขี่จริง อัตราเร่ง ของรุ่นท็อป 2,800 ซีซี เกียร์อัตโนมัติ จะด้อยกว่า ญาติร่วมตระกูล
อย่าง Colorado 2.8 L 6AT 4×4 Z71 LTZ รุ่นท็อป อยู่นิดหน่อย เนื่องจากน้ำหนักตัวถัง
และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นบริเวณครึ่งคันหลังของตัวรถ จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทันทีที่ออกตัว
รถก็ทะยานไปข้างหน้า เอื่อยกว่า Colorado 2.8 รุ่นท็อป อยู่นิดหน่อย จนคุณอาจคิดไปว่า
“มันก็คงจะไม่แรงเท่าไหร่…”

แต่…ไม่ทันที คำว่า “เท่าไหร่” จะหลุดออกมาหมดจากห้วงความคิดคุณ แรงบิดสูงสุด 500
นิวตันเมตร ก็จะมาถึงพอดีที่ระดับ 2,000 รอบ/นาที เพื่อพารถให้พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง
ไต่ความเร็วขึ้นไปจาก 80 – 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวดเร็วจนคุณจะสัมผัสได้ถึงพละกำลัง
ที่หลั่งไหลออกมา แม้แต่ ตาแพน Commander CHENG ยังรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ

ในช่วงการเร่งแซง ตัวเลขที่ออกมา อาจจะด้อยกว่า Colorado ที่ใช่ขุมพลังเดียวกันอยู่แค่
แถวๆ 0.3 – 0.4 วินาที ก็นับว่าสมเหตุสมผล แต่ผมแทบไม่เจอความต่างดังกล่าวในการ
ขับขี่ใช้งานจริง ผมสามารถพา Trailblazer มุดลัดเลาะ ไปตามทางด่วน แซงหน้าผ่าน
บรรดา ผู้ร่วมเส้นทางสไตล์หวานเย็น ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ เข้าสู่โหมด
บวก-ลบ ช่วยเลยแต่อย่างใด แค่เพียง เหยียบคันเร่งจมมิด สั่งให้ Torque Converter
ทำงาน เท่านี้ Trailblazer ก็พร้อมจะพาคุณ แซงฉีกหนีชาวบ้านอย่างง่ายดาย ว่องไว

ความกระฉับกระเฉงของอัตราเร่ง ไม่ได้มีมาให้แค่เฉพาะในรุ่น 2,800 ซีซี เพราะ
รุ่น 2,500 ซีซี ขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อมเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ก็ให้อัตราเร่งแซง
ที่เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว มันอาจจะไม่แรงเท่ารุ่น 2,800 ซีซี แต่ถือว่าแรงขึ้น
กว่า Trailblazer 2.5 LT รุ่นเดิม จนสัมผัสได้ เป็นไปตามตัวเลขที่ออกมา ถ้าอยู่
ในช่วงเกียร์ 2 3 หรือ 3 รอบเครื่องยนต์ แถวๆ 2,500 – 3,000 รอบ/นาที ขึ้นไป
แทบไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ แค่กดคันเร่งจมมิด เรี่ยวแรงก็พร้อมจะกระวีกระวาดเร่งแซง
รถคันข้างหน้าให้คุณได้สบายๆ แต่ถ้าเกียร์ 5 หรือ 6 ต้องทำใจ เพราะเป็นเกียร์
Overdrive กดคันเร่งเต็มมิดแล้ว ต้องรอ Turbo Boost กันสักเล็กน้อย

การเก็บเสียง เหมือนเดิมครับ ไม่ได้ดีขึ้น พ้นจาก 80 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป
เสียงกระแสลมปะทะเสาหลังคาด้านหน้า และเสียงยางจะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ

พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง ไฮโดรลิก ยังเหมือนเดิม
คือมีระยะฟรี กำลังดี On Center feeling เหมาะสม แต่หนืดหนักมากเอาเรื่อง
การบังคับเลี้ยวเนือยๆ แต่ไว้ใจได้ นิ่งในช่วงความเร็วสูง แต่ในรุ่น 4×2 อาจมีบ้าง
ในบางช่วงที่พวงมาลัยอาจโหวงๆนิดๆ โดยเฉพาะช่วงที่มีกระแสลมปะทะด้านข้าง
แต่นอกนั้น ต้องถือว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ อิสระปีกนกสองชั้น คอยล์สปริง ช็อกอัพแก็ส เหมือนกับ
Colorado แต่ด้านหลังนั่น จะเปลี่ยนมาใช้ระบบกันสะเทือนแบบ 5 จุดยึด (5 LINK)
พร้อมคอยล์สปริง แตกต่างจาก Colorado ซึ่งยังจำเป็นต้องใช้ตับแหนบอยู่ ยังคงถูก
เซ็ตในสไตล์ นุ่มแน่น ลดความกระด้างลงจาก Colorado 4 ประตู ได้อย่างชัดเจน
การรักษาความสมดุลย์ของช่วงล่าง ทำได้ดีในระดับที่ SUV / PPV บนพื้นฐานของ
Chassis รถกระบะ ทั่วไป ควรจะเป็น และไม่แตกต่างจาก Trailblazer รุ่นแรกนัก

อย่างไรก็ตาม รถรุ่นท็อป คันสีน้ำตาล ที่เราทดลองขับนั้น ผมออกจะแปลกใจว่า มีอาการ
โยนออกทางด้านข้าง ขณะจัมพ์ลงมาจากคอสะพาน หรือพื้นผิวแบบเนิน ในช่วงที่ต้องใช้
ความเร็วสูงๆ อาการนี้ เกิดขึ้นมากเกินกว่า Trailblazer คันที่เราลองขับไปก่อนหน้านี้
อยู่นิดหน่อย คาดว่า น่าจะเกิดจากการใช้งานสมบุกสมบันมากเกินไปของรถคันนี้ ก่อน
ถึงมือของเรา (แน่ละครับ เลขไมล์วันที่ผมรับรถ ปาเข้าไป 18,xxx กิโลเมตร แล้ว!)

ขณะเดียวกัน รุ่น 2.5 L 6MT 4×2 LT ก็ยังมีอาการแกว่งหน้าหลังซ้ายขวา ให้พบบ้าง
หากต้องฝ่ากระแสลมปะทะ ขณะแล่นไปบนทางยกระดับบูรพาวิถี ช่วงบ่ายๆ อาการนี้
จะเกิดขึ้นที่ความเร็ว เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป จะเกิดขึ้นหนัก หรือเบา นั้น
ขึ้นอยู่กับความเร็วที่คุณขับอยู่ แต่ถ้าไม่มีกระแสลมปะทะ รถจะแล่นไปได้นิ่งๆ ตามปกติ

ระบบห้ามล้อ ยังคงเป็นดิสก์เบรกแบบมีรระบายความร้อน มาให้ครบทั้ง 4 ล้อ! จานเบรก
คู่หน้า มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 300 มิลลิเมตร ส่วนคู่หลัง เส้นผ่าศูนย์กลาง 318 มิลลิเมตร
พร้อม ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจาย
แรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบเพิ่มแรงเบรกใน
ภาวะฉุกเฉิน HBA & PBA (Hydraulic Brake Assist & Panic Brake Assist)
ทั้ง 4 ระบบนี้ จะติดตั้งมาให้ครบทุกรุ่นย่อย

ส่วนรุ่น 2.8 4×4 ทั้ง LTZ และ LTZ1 จะมีระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP (Electronic
Stability Program) ซึ่งจะรวมระบบควบคุมการหมุนฟรีของล้อขณะออกตัว TCS
(Traction Control System) ระบบช่วยเบรกขณะเข้าโค้ง CBC (Cornering
Brake Control) ระบบป้องกันรถไหลเมื่อออกตัวบนทางลาดชัน HSA (Hill Start
Assist) และระบบควบคุมความเร็วของรถขณะขับลงทางลาดชัน HDC (Hill Descent
Control) แถมให้จนครบถ้วนตามเดิม

การตอบสนองของแป้นเบรก ถือว่า พอๆกับรุ่นเดิม และยังคงต้องเหยียบลงไปลึกกว่าระยะ
ปกติที่รถยนต์ประเภทนี้ของคู่แข่งเขาเป็นกัน ถึงจะเริ่มรับรู้ว่า คาลิเปอร์ เริ่มทำงาน และ
ผ้าเบรกเริ่มจับตัวกับจานเบรกอย่างละมุนละไม ช่วงแรก รถจะเริ่มหน่วงความเร็วลงน้อย
แค่พอให้จับได้ว่า รถเริ่มช้าลง และต้องเหยียบให้ลึกลงไปกว่าเดิม รถจึงจะหน่วงมากขึ้น

สรุปว่า ช่วงล่าง พวงมาลัย และระบบเบรก ก็เหมือนๆกันกับ Trailblazer รุ่นแรก
ก่อนหน้านี้ นั่นแหละครับ

********** การดทลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

ในเมื่อเรารู้กันแล้วว่า ขุมพลังใหม่ ทั้ง 2 แบบ เมื่อวางลงใน Colorado ตัวเลข
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ออกมา ก็ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ 11 – 12 กิโลเมตร/ลิตร
แล้วถ้าเครื่องยนต์ทั้ง 2 แบบ ถูกย้ายมาวางลงใน Trailblazer ละ? ตัวเลขจะ
แตกต่างไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน?

เราจึงทำการทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกัน ด้วยวิธีการปกติ โดยในรุ่น
2,800 ซีซี เรานำรถไปเติมน้ำมัน Diesel Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex
ถนนพหลโยธิน ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ เหมือนเช่นเคย

อย่างไรก็ตาม รุ่น 2,500 ซีซี นั้น ด้วยเหตุที่ ปั้ม Caltex เกิดปัญหาน้ำมัน Diesel
หมดลง ในวันที่เราทำการทดลองพอดี ถ้าจะรอให้รถขนส่งน้ำมันมาถึง อาจต้อง
รอกันไปจนถึง ตี 1 ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่อง

ผมจึงตัดสินใจ เปลี่ยนกลับมาใช้ น้ำมัน V-Power Diesel จากสถานีบริการ Shell
ฝั่งตรงข้ามกัน และอยู่ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ เป็นการทดแทนไป ซึ่งในอดีต
เราใช้ปั้มแห่งนี้ ในการทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเป็นประจำอยู่แล้ว อีกทั้ง
น้ำมันของ Shell และ Caltex ผมมองว่า มีคุณภาพอยู่ในอันดับต้นๆ ของตลาด
บ้านเรา จึงสามารถเติมทดแทนกันได้ และใช้ในการทดลองของเราได้ตามเดิม

การเติมน้ำมันของทั้ง 2 คัน เติมแค่หัวจ่ายตัด ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องเขย่าเหมือน
การทดลองในรถกระบะ Colorado ที่ผู้บริโภค จะซีเรียสกับผลการทดลองมากกว่า

พอเติมน้ำมันเสร็จ เราก็ขึ้นรถ คาเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ Set 0 บน
Trip Meter หมวด 1 และ Set ระบบวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงให้เป็นค่าเริ่มต้น
ใหม่ ทั้งหมด ออกรถไปเลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะ
ไปออก ปากซอย โรงเรียนเรวดี สู่ถนนพระราม 6 เลี้ยวขวา ขึ้นทางด่วน มุ่งหน้าไป
สุดปลายทาง ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับ ขับขึ้นทางด่วน ย้อนเส้นทางเดิม ด้วย
มาตรฐานเดิม แล่น 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน ผ้ร่วมทดลองยังคง
เป็น น้อง โจ๊ก V10ThLnD จาก The Coup Team ตามเคย

พอลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน รุ่น
2,800 ซีซี เราเลี้ยวกลับรถ เข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex เติมน้ำมัน Diesel
Techron กันจนเต็มถัง หัวจ่ายตัด เหมือนเคย ณ ตู้เดิม หัวจ่ายเดิม เป๊ะ! ส่วน
รุ่น 2,500 ซีซี เราเลี้ยวซ้าย กลับเข้าไปเติมน้ำมัน V-Power Diesel ที่สถานี
บริการน้ำมัน Shell ณ หัวจ่ายเดิม เติมแค่หัวจ่ายตัดเช่นเดียวกัน

ต่อไปนี้คือผลลัพธ์ที่ได้ เริมจากรุ่น 2,800 ซีซี เกียร์อัตโนมัติ 4×4

ระยะทางแล่น บน Trip Meter 94.6 กิโลเมตร
เติมน้ำมันกลับ 8.09 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 11.69 กิโลเมตร/ลิตร

ส่วนรุ่น 2,500 ซีซี เกียร์ธรรมดา 4×2

ระยะทางแล่น บน Trip Meter 94.1 กิโลเมตร
เติมน้ำมันกลับ 7.71  ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 12.20 กิโลเมตร/ลิตร

เมื่อเปรียบเทียบกับ Trailblazer รุ่นก่อน จะพบว่า ตัวเลขไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม
มากนัก อาจจะมีแค่รุ่น 2,800 ซีซี ที่ประหยัดขึ้นราวๆ 0.6 กิโลเมตร/ลิตร เท่านั้น
ส่วนรุ่น 2,500 ซีซี ถือว่า ทำได้พอกันกับรุ่นเดิม ต่างกัน 0.06 กิโลเมตร/ลิตร จาก
ค่าความเพี้ยนในการเติมน้ำมัน และถ้าถามว่า น้ำมัน 1 ถัง แล่นได้ระยะทางไกล
แค่ไหน ก็คงตอบได้ว่า พอกันกับรุ่นเดิม คือราวๆ 600 กิโลเมตร ต่อการเติม 1 ถัง

********** สรุป **********
แรงขึ้นชัดเจน ประหยัดขึ้นนิดหน่อย แต่แก้บริการหลังการขายกันก่อนเถอะ!

คุณผู้อ่านคงได้เห็นกันแล้วว่า การนำขุมพลังใหม่ New Duramax ทั้ง 2 ขนาด มา
วางลงใน Trailblazer ใหม่ ช่วยเพิ่มอัตราเร่งให้ดียิ่งขึ้น แต่อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ยังคงพอๆกันกับรุ่นเดิม ประหยัดขึ้นนิดเดียว ไม่เยอะนัก เพียงเท่านี้ก็ช่วยเติมให้เจ้า
Trailblazer มีจุดขายเพิ่มขึ้น และสามารถต่อกรกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งในตลาดกลุ่ม
SUV / PPV ทั้ง Toyota Fortuner , Isuzu MU-X , Mitsubishi Pajero
Sport และ Ford Everest ได้เต็มหมัดเต็มมวยมากขึ้น

แต่…สงสัยกันไหมครับว่า นี่ขนาดเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่กันแล้ว สมรรถนะดีขึ้น
อัดระบบ Infotainment มาให้เต็มพิกัดขนาดนี้ ทำไมยอดขายถึงยังไม่ดีเท่าที่ควร
ถ้าจะอ้างว่า 2 เดือนแรก ขายได้น้อย เพราะเศรษฐกิจไม่อำนวย เนื่องจากปัญหา
การเมือง ทำให้ลูกค้าที่มีฐานะร่ำรวย ไม่มีอารมณ์จะซื้อรถยนต์ นั่นก็ใช่อยู่

แล้วทำไมเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ที่ผ่านมา Isuzu MU-X ฝาแฝดร่วมโครงการ
พัฒนาร่วมกันระหว่าง Isuzu กับ GM ยังโกยยอดขายไปได้ถึง 2,055 คัน แต่
Trailblazer ทำได้แค่ 175 คัน?

สาเหตุสำคัญ อันเป็นปัญหาที่รอการแก้ไขนั้น หลักๆแล้ว มันอยู่ที่งานบริการ
หลังการขายของ Chevrolet ที่ยังคงมีเสียงบ่นให้ได้ยินกันมาเรื่อยๆ ต่างหาก!
ปีที่แล้ว GM Thailand ต้องเผชิญปัญหาดีลเลอร์เฮงซวยห่วยแตกที่ขยันก่อเรื่อง
ตั้งแต่การนำ Trailblazer ที่มีปัญหา รับซื้อคืนจากลูกค้า ไปเวียนขายเป็นรถใหม่
อีกรอบ เจ้าของใหม่จับได้ เลยเป็นเรื่องดราม่าใหญ่โต ตลอดจนปัญหาเกียร์
อัตโนมัติ ของ Cruze ที่กว่าจะแก้ไขจนกลุ่มลูกค้าพอใจได้ ก็สายไปเสียแล้ว

ปีนี้ ถือเป็นปีที่ ทุกๆคน ในออฟฟิศชั้น 21 ตึกรสา และ โรงงานระยอง ต้อง
ร่วมมือกันปรับปรุงด้านคุณภาพการประกอบ รวมทั้งจัดการจริงจัง กับบรรดา
ดีลเลอร์หัวหมอขี้ฉ้อทั้งหลาย ให้สิ้นซากและพ้นจากสารระบบดีลเลอร์ GM
ไปเสีย รวมทั้งปรับปรุงบริการหลังการขายอย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ใส่ใจในเสียงของลูกค้ามากขึ้น และดูแลพวกเขาให้ดีกว่าทุกวันนี้ที่เป็นอยู่

ถ้าแก้ไขได้เมื่อไหร่ ภาพลักษณ์ของแบรนด์ Chevrolet จะกลับมาดีขึ้น และ
จะช่วยฉุดให้ยอดขายของ Trailblazer คืนกลับขึ้นมาอยู่ในระดับประมาณ
300 – 400 คัน/เดือน ได้อีกครั้ง

อย่างน้อย ขายได้ 1 ใน 3 จากยอดขาย Isuzu MU-X ก็ยังดี!

——————————–///——————————

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks

ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท General Motors (Thailand) จำกัด
บริษัท Chevrolet Sales (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม

Full Review : Chevrolet Colorado New Duramax Engine MY 2014
Full Review : Chevrolet Colorado MY 2012 – 2013
Full Review : Chevrolet Trailblazer MY 2013 – 2014

—————————-

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในไทย เป็นผลงานของ ผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
10 เมษายน 2014

Copyright (c) 2014 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
April 10th, 2014

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE