ใครก็ตามที่บอกว่าโลกรถยนต์ในอนาคต(ที่จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้) จะเป็นโลกของรถไฟฟ้า
เสียเป็นส่วนใหญ่ นั่นอาจเป็นมุมมองของคนทั่วไปและนักวิเคราะห์ ถ้าเจาะลึกเข้าไป
วงการรถยนต์เข้าไปอีกก็จะพบว่าผู้ผลิตส่วนใหญ่จากญี่ปุ่นกลับมองว่าตลาดรถไฟฟ้า
ไม่ใช่ตลาดที่ผู้คนส่วนใหญ่ต้องการ โดยเฉพาะ Toyota เชื่อมั่นว่าเทคโนโลยี Hybrid
และ Fuel Cell ยังครองส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่อยู่ดี
Satoshi Ogiso ประธานบริษัท Advics ซัพพลายเออร์ระบบเบรกในเครือ Toyota
และเคยเป็นถึงอดีตผู้รับผิดชอบโปรแกรมการพัฒนา Toyota Prius รุ่นที่แล้วรวมถึง
มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนา Toyota Mirai ได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับยานยนต์ที่มี
ระบบไฟฟ้าเป็นส่วนประกอบในอนาคต และยังทำนายว่าทิศทางตลาดรถยนต์ใน
อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
Ogiso อ้างอิงว่า Toyota ทำนายไว้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกจะผลิตรถยนต์ที่มีขุมพลัง
เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าในอัตราส่วน ถึง 90% ภายในปี 2050 แต่ไม่ได้ความว่ารถยนต์
เครื่องยนต์ปกติจะสูญพันธุ์เสียทีเดียว เพราะรถยนต์ระบบ Hybrid ก็ถือเป็นขุมพลังที่
เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าที่ผสมกับเครื่องยนต์ปกตินั่นเอง
ปัจจัยที่ทำให้รถยนต์รักษาสิ่งแวดล้อมประสบความสำเร็จต้องมีปัจจัยทั้งต้นทุนการ
ผลิตที่ถูกเพราะคนทั่วไปไม่อยากได้รถราคาแพงและค่าไอเสียสะอาดจริงตามรัฐบาล
ในแต่ละประเทศกำหนด หากทำได้ก็จะเป็นผู้ชนะ เหมือนกับปรากฏการณ์เครื่องยนต์
ดีเซลที่ครองส่วนแบ่งในตลาดยุโรปถึง 50% ตอบโจทย์ทั้งค่าไอเสียต่ำและต้นทุนการ
ผลิตก็ต่ำกว่าระบบ Hybrid
และปัจจัยเหล่านั้นก็ทำให้ Ogiso เคยผลักดันแผนการพัฒนาระบบ Hybrid อย่างหนัก
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เพราะเขามองเห็นว่าต้นทุนระบบ Hybrid จะถูกลงแต่ต้นทุนเครื่องดีเซล
จะแพงขึ้นเพราะมาตรการรักษาสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น และในปี 2007 เขาเคยประเมิน
สถานการณ์อีก 5 ปีข้างหน้าว่าต้นทุน Hybrid จะถูกกว่าดีเซลแน่ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อว่าเหตุ
การณ์นี้จะเกิดขึ้นจริง
เวลาผ่านไป หากใครไม่สังเกตก็จะไม่พบความเปลี่ยนแปลง นั่นคือต้นทุนการผลิตเกียร์
สำหรับระบบ Hybrid และเครื่องดีเซลมีอัตราเท่าเทียมกันแล้วซึ่งทำให้ Toyota ใจชื้น
ขึ้นมาบ้าง
ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ลวงโลก DieselGate พวกเขาก็พบว่ารถยนต์ดีเซลเริ่มมีราคา
สูงขึ้นเพื่อชดเชยต้นทุนในการพัฒนาเครื่องให้ผ่านค่ามลพิษสำหรับการใช้งานจริง
จ่ายแพงกว่าแต่ได้เครื่องประสิทธิภาพดีกว่าเบนซิน ก็จริง! แต่เครื่องดีเซลมันดีกว่า
เบนซินเพียงแค่ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ต่ำกว่าเท่านั้น
ปัญหาหนักใจของผู้ผลิตทั้งหลายคือการจำกัดค่าไอเสียไนโตรเจน ไดออกไซด์ (NOx)
ให้ต่ำลงเป็นสิ่งที่ยากลำบากมาก จนบริษัทรถเริ่มลอยแพเครื่องยนต์ดีเซลแล้วหันไปหา
รถไฟฟ้าหรือ Hybrid แทนเพราะต้นทุนถูกกว่าและมีประสิทธิภาพดีกว่าแทน
และด้วยประสบการณ์การมองตลาดที่ไม่เคยผิดพลาดของ Satoshi Ogiso ก็ทำให้เขา
มั่นใจว่า รถไฟฟ้าจะได้รับความนิยมน้อยกว่ารถยนต์ Hybrid และ Fuel Cell ภายใน
10-20 ปีข้างหน้า ถึงแม้ว่าตลาดรถไฟฟ้าจะมีการขยายตัวทั่วโลกก็ตาม
เขาทำนายว่าโลกรถยนต์ภายใน 10-20 ปีข้างหน้าผู้คนจะนิยมรถ Hybrid และ
Fuel Cell มากกว่า 50% หรือ 60% ส่วนรถไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ 100%
จะนิยมเพียงแค่ 30% เท่านั้น
Ogiso มองว่าข้อได้เปรียบของรถไฟฟ้าที่ดีกว่า Hybrid คือต้นทุนการพัฒนารถไฟฟ้า
ที่มีระยะทางวิ่งสูงสุด 250 กิโลเมตรต่ำกว่ารถยนต์ Hybrid แต่ในโลกความเป็นจริง
ลูกค้าอยากได้รถไฟฟ้าที่วิ่งได้มากกว่า 300 กิโลเมตรอยู่ดี นั่นก็ทำให้รถไฟฟ้ายังคง
แพงกว่ารถ Hybrid จนกว่าจะถึงปี 2025
สำหรับวันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าขุมพลัง Hybrid ได้เปรียบกว่าเครื่องยนต์ดีเซลที่กำลัง
เป็นของโบราณในไม่ช้า แต่สำหรับในอนาคตคงต้องให้เวลาตัดสิน ว่า Hybrid หรือ
EV จะมีอนาคตอย่างไรเชื่อว่าผู้บริโภคคงตัดสินได้เมื่อถึงเวลานั้น
ที่มา : Forbes