ในตอนเด็กๆ คุณเคยฝันอยากได้รถยนต์แบบไหนกันบ้างครับ?

ผมว่าคนที่ชอบรถตั้งแต่ยังไม่ประสีประสา น่าจะมีรถยนต์ที่ชื่นชอบ
จนถึงขั้นปวารณาว่าซักวันนึง จะต้องซื้อหามาครอบครองเป็นเจ้าของ
ให้ได้บ้างแหละ

สมัยที่ผมยังเป็นเด็กประถมตัวน้อยๆ ผมฝันไว้ว่าอยากได้รถยนต์เล็กๆ
ซักคันที่ยกสูง สามารถลุยไปในที่ต่างๆได้อย่างไม่ต้องกลัวว่าจะไปติด
หล่มหรือพาใต้ท้องรถไปครูดกับโขดหินที่ไหน

ภาพที่ผมชอบนึกฝันถึงคือรถยนต์ Mini ที่ยกสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ เพราะ
ในสมัยนั้น Mini ยังมีตัวถังให้เลือกแค่ Hatchback 3 ประตูท้ายตัด
รูปทรงเล็กกะทัดรัด ไม่ได้มีความหลายหลายทางชีวภาพใดๆ

พอโตขึ้นมา ความคิดวัยเยาว์ก็กลายมาเป็นความจริง เมื่อวันที่ Mini
เปิดตัวรถยนต์ตัวลุยประจำค่ายอย่าง Countryman ออกสู่ตลาดโลก
เมื่อเดือนกันยายน 2010 มันมีแนวคิดที่เอาใจคนชอบรถ off-road แต่
มองว่า SUV ที่มีขายกันในตอนนั้นคันใหญ่โตเบ้อเริ่มเกินไป อยากได้
Mini SUV คันเล็กๆ ไว้ขับไปทำงานในวันจันทร์ถึงศุกร์ ก่อนจะกลับมา
บ้าน เพื่อแพ็คข้าวของสัมภาระ ชวนบรรดาเพื่อนฝูงไปนอนค้างอ้างแรม
ตามต่างจังหวัดช่วงสุดสัปดาห์

แต่ด้วยราคาค่าสินสอดที่แพงระยับสำหรับความคิดของผม เลยได้แต่
ปล่อยมันไว้อยู่บนโชว์รูมอย่างนั้น ไม่ได้นึกฝันถึงมันอีก

จนกระทั้งปี 2011 ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป

2015_02_Ford_EcoSport_01

ในปีนั้น ประชาชนชาวไทยจำนวนมาก ต่างพบเจอกับมวลน้ำก้อนมหึมา
ถาโถมใส่บ้านเรือนของตน ตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน จนถึงเดือนธันวาคม
ทำให้แนวคิดในการใช้ชีวิตของคนไทยเริ่มเปลี่ยนไป การซื้อบ้านก็ต้อง
คำนึงถึงทำเลที่ตั้งว่าเป็นจุดเสี่ยงต่อการโดนน้ำท่วมหรือไม่ การเลือกที่
ทำงานให้ใกล้บ้าน การเตรียมเสบียงอาหารยามฉุกเฉิน ไม่เว้นแม้กระทั่ง
แนวคิดในการเลือกซื้อรถยนต์ก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

จากเดิมที่ยอดขายรถกระบะยกสูงนั้น ยังจำกัดอยู่ในวงแคบ มีลูกค้า
ประปรายพอหลังจากน้ำท่วมเท่านั้นแหละ ยอดขายรถกระบะยกสูงก็
พุ่งพรวด เหมือนเหล่าดอกเห็ดผุดขึ้นบานสะพรั่งหลังน้ำลด กอปรกับ
ช่วงนั้น มีรถกระบะรุ่นใหม่ เปิดตัวพร้อมกัน สามค่ายรวด เราจึงยิ่งได้
เห็นกระบะยกสูง 4 ประตู วิ่งกันเกลื่อนเมืองนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลายคนซื้อมาใช้เพราะเผื่อลุยน้ำท่วมโดยเฉพาะ

แต่ก็ยังมีผู้บริโภคจำนวนมาก ที่ยังคิดว่า รถกระบะยกสูงยังไม่ใช่คำตอบ
สำหรับชีวิตพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นขนาดที่ใหญ่โต เทอะทะ คับปากซอยบ้าน
จะเลี้ยวจะถอยแต่ละทีก็เก้ๆกังๆ ลำบากเหลือเกิน รถกระบะยกสูงบางรุ่นที่
มีเกียร์อัตโนมัติให้เลือกราคาก็แพงไปหน่อย ทำให้คนที่ขับรถเป็นแค่เกียร์
ธรรมดา ก็กลุ้มอกกลุ้มใจ ว่ายังมีทางเลือกไหนให้กูหนีน้ำท่วมอีกไหม(วะ!)

บริษัทรถยนต์บางค่าย เขามองเห็นแล้วล่ะ ว่าลูกค้ากลุ่มนี้มันมีเยอะอยู่
ทำให้พวกเขาซุ่มเงียบ ศึกษาวิจัยตลาด เพื่อจะนำรถยนต์ในรูปแบบที่
เหมาะกับการใช้งานของบรรดาคนเมืองยุคใหม่ เข้ามาขายให้คนไทย
ได้หาซื้อกัน

แต่นั่นเราก็ต้องรอจนถึงปี 2013 กว่าที่รถยนต์เหล่านี้จะขึ้นโชว์รูมใน
บ้านเรารถยนต์ประเภทที่ถูกเรียกว่า Sub-Compact Crossover SUV นั่นเอง!

2015_02_Ford_EcoSport_02

Ford เปิดฉากขอเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่แนะนำรถยนต์แบบนี้ในตลาด
เมืองไทย ด้วยการเผยโฉม Ford EcoSport คันที่คุณกำลังนั่งอ่านรีวิวอยู่นี้
ครั้งแรกในงาน Bangkok Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2013 แต่ด้วย
ขั้นตอนการเตรียมงานต่างๆมากมาย ทำให้กว่าที่ Ford จะเปิดตัวเปิดราคา
เตรียมขายจริง ต้องรอกันจนถึงงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤษจิกายน
ปีเดียวกัน ปล่อยให้คู่แข่งอย่าง Nissan สั่งนำเข้า Juke จาก Indonesia
มาเปิดตัวตัดหน้า ชิงความได้เปรียบไปก่อนแค่ 2 วัน

กว่าที่ Ford จะเริ่มส่งมอบ EcoSport คันแรกถึงมือลูกค้า ก็ปาเข้าไปถึงเดือน
มีนาคม 2014 หรือ 1 ปีหลังการเปิดตัวพอดี ปล่อยให้ Nissan กวาดลูกค้า
ไปก่อนตั้ง 4 เดือน

แต่ไม่ว่าใครจะเปิดตัวก่อนใคร ใครจะเปิดตัวหลังใคร ท้ายที่สุด ทั้งสองคัน
ต่างก็โดนม้ามืดอย่าง Honda HR-V มาโกยลูกค้าไปเข่งใหญ่ จนยอดขาย
ของทั้งคู่ ที่กำลังไปได้สวย ถึงขั้นสะดุดหกล้ม เป็นแผลที่หัวเข่าไปเลยล่ะ

ถึงวันนี้ไม่ว่ายอดจอง HR-V จะเยอะขนาดไหน แต่ Ford ก็ยังต้องทำตลาด
EcoSport ในบ้านเราต่อไป ลูกค้าจำนวนมากปักใจกับ Honda ชนิดที่ว่า
นานแค่ไหนฉันก็จะรอ แต่ก้มีลูกค้าบางคนที่ทนรอไม่ไหว ก็เริ่มปรายตามา
เมียงมอง Juke กับ EcoSport แทน

คำถามในใจของลูกค้าส่วนใหญ่ก็คือ EcoSport มันยังหลงเหลือข้อดีอะไร
อยู่บ้าง ให้พวกเขามั่นใจพอที่จะวางเงินดาวน์แล้วถอยออกมาขับได้ทันที

คำตอบทุกอย่างจะอยู่ในรีวิวนี้ รอให้คุณๆทั้งหลายเลื่อนลงไปอ่านกัน

แต่ก่อนอื่น ในเมื่อตามปกติ แทบทุกรีวิวของพี่จิมมี่ ต้องมีประวัติศาสตร์
เก่าๆ ของรถยนต์แต่ละรุ่น มาเล่าให้คุณๆได้อ่านกัน ผมเองก็ต้องทำตาม
ธรรมเนียมเดิมของพี่เขา  ดังนั้นผมจึงต้องใช้เวลานั่งทำการบ้านอีกพักใหญ่
จนได้รู้ว่า EcoSport ที่เราเห็นกันทุกวันนี้ มันไม่ใช่รถรุ่นแรก และก่อนหน้านี้
Ford เคยทำ EcoSport ออกขายมาแล้วรุ่นนึง

ที่… Brazil!

2003_2011_Ford_EcoSport_Brazil_01

เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ตลาดรถยนต์ใน Brazil นั้น มียอดขายสูงที่สุด
ในกลุ่มประเทศแถบ South America อีกทั้งประเทศกลุ่มนี้ ยังมีความต้องการ
รถยนต์ในแบบพิเศษ แตกต่างไปจากภูมิภาคอื่นๆในโลก ดังนั้น บริษัทรถยนต์
ฝั่ง North America และ Europe จึงพุ่งเป้าเข้าไปยึดครองตลาดที่นั่นด้วยการ
พัฒนารถยนต์รุ่นพิเศษ ไว้ทำตลาดในประเทศ Brazil Argentina Mexico และ
Venezuela โดยเฉพาะ

Ford เริ่มเข้าไปขายรถยนต์ใน Brazil ตั้งแต่ปี 1904 จากนั้น พวกเขาเริ่มก่อตั้ง
สำนักงานขายที่นั่น เมื่อวันที่ 24 เมษายน 1919 เมื่อความต้องการรถบรรทุก
มากขึ้น Ford จึงเริ่มเปิดโรงงานที่ Brazil เมื่อ 26 สิงหาคม 1957 ผลิต F-600
รถบรรทกขนาดกลางขุมพลัง V8 ตามด้วยการเข้าซื้อกิจการ (Takeover) บริษัท
Willys-Overland do Brazil ในเครือของ Willys ผู้ผลิตรถ Jeep (ในยุคก่อนจะ
เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ American Motors และถูกควบรวมกับ Chrysler ในเวลา
ต่อมา) เมื่อ 9 ตุลาคม 1967

เมื่อเศรษฐกิจในกลุ่ม Latin America เริ่มมีปัญหาหนักหน่วง Ford จึงคุยกับ
Volkswagen AG ตัดสินใจ นำกิจการใน Brazil ของตน ควบรวมกัน เป็นบริษัท
Autolatina เมื่อปี 1987 เพื่อช่วยกันผลิตและขายรถยนต์ ของทั้ง 2 แบรนด์ที่นั่น
ไปจนถึงปี 1994 เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ต่างฝ่ายจึงแยกกิจการของตนออกจากกัน
ปัจจุบัน Ford มีดีลเลอร์ใน Brazil  233 ราย รวมโชว์รูมและศูนย์บริการ 396 แห่ง

ช่วงต้นทศวรรษ 2000 ขณะที่ Ford เพิ่งเปิดตัว Fiesta Mk-5 เมื่อ 1 เมษายน
2002 ตอนนั้น Ford เล็งเห็นความต้องการรถยนต์ขนาดเล็กกึ่งออฟโรด ราคา
ประหยัดในประเทศกลุ่มดังกล่าว ดังนั้น สำนักงานใหญ่ของ Ford Motor Co.
ใน Dearborn มลรัฐ Michican จึงได้สั่งให้ ศูนย์ออกแบบรถบรรทุกของตน
(Ford-US Truck Vehicle Center) พัฒนารถยนต์ Mini-SUV รุ่นใหม่ขึ้นโดย
ใช้พื้นตัวถัง B3 Platform และงานวิศวกรรมร่วมกับ Ford Fiesta Mk-5 ภายใต้
รหัสโครงการ BV226 Program

ส่วนชื่อในการทำตลาด ถูกเลือกเป็น EcoSport ซึ่งสื่อถึงลักษณะของตัวรถ ที่
เน้นบุคลิก SUV (Sport Utility Vehicle) ในราคาประหยัด (Economy) Ford
เปิดตัวรถยนต์รุ่นนี้ออกสู่ตลาด Brazil ครั้งแรก เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2003

ตัวถังยาว 4,240 มิลลิเมตร กว้าง (รวมกระจกมองข้าง) 1,976 มิลลิเมตร สูง
1,681 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,490 มิลลิเมตร รูปร่างภายนอก เหมือนเป็น
การนำ Ford Escape รุ่นแรก ที่คนไทยรู้จักกันดี มาย่อส่วนให้เล็กลง

ในช่วงแรกที่ออกสู่ตลาด EcoSport รุ่นแรก วางขุมพลังตระกูล Zetec-Rocam
ซึ่ง Ford Brazil พัฒนาขึ้นในช่วงปี 2000 เป็นแบบ เบนซิน 4 สูบ SOHC 8 วาล์ว
ขับเคลื่อนด้วยโซ่ ถือเป็นเครื่องยนต์ Zetec เวอร์ชันประหยัด ที่มีจุดอ่อนทั้งเรื่อง
เสียงดัง และการสั่นสะท้าน แลกกับข้อดีในด้านแรงบิดที่เหมาะสมกับตัวเครื่อง
อันเป็นผลมาจากการติดตั้ง Roller Finger Camshaft ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ Rocam
นั่นเอง

Zetec-Rocam ใน EcoSport  มีให้เลือก 3 ระดับความแรง เริ่มจากขนาด 1,000 ซีซี
พ่วง Supercharge 95 แรงม้า (PS) ซึ่งเคยประจำการใน Ford Ka Mk-1 รุ่นปรับโฉม
ขุมพลังนี้ ถูกยกเลิกไปในปี 2006 หลังจากที่เครื่องยนต์ใหม่ Zetec-Rocam FLEX
บล็อกเดียวกัน แต่เป็นเวอร์ชันซึ่งรองรับได้ทั้งน้ำมันเบนซิน และน้ำมันแก็สโซฮอลล์
E100 (Ethanol ล้วนๆ) คลอดออกมาในเดือนตุลาคม 2004

โดยรุ่น 1.6 FLEX ขนาด 1,600 ซีซี ถ้าเติมน้ำมันเบนซิน จะมีกำลังสงสุด 101 แรงม้า
(PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด142 นิวตันเมตร (14.49 กก.-ม.) ที่ 4,250 รอบ/นาที
แต่ถ้าเติม แก็สโซฮอลล์ E100 ล้วนๆ จะแรงขึ้นเป็น 107 แรงม้า (PS) ที่รอบเท่ากัน
แรงบิดสูงสุดเพิ่มเป็น 150.2 นิวตันเมตร (15.3 กก.-ม.) ที่ รอบเท่ากัน มีเฉพาะรุ่น
ขับเคลื่อนล้อหน้า และเกียร์รรมดา 5 จังหวะ เท่านั้น

ส่วนรุ่น 2.0 FLEX เป็นเครื่องยนต์ 2,000 ซีซี 16 วาล์ว หากเติมน้ำมันเบนซิน กำลัง
สูงสุด 141 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 187.4 นิวตันเมตร (19.09 กก.-ม.)
ที่ 4,250 รอบ/นาที แต่ถ้าเติม แก็สโซฮอลล์ E100 จะแรงขึ้นเป็น 145 แรงม้า (PS) ที่
รอบเท่ากัน ส่วนแรงบิด เพิ่มเป็น 190.9 นิวตันเมตร (19.45 กก.-ม.) ที่ รอบเท่ากัน

รุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ แต่รุ่น 4WD
มีเฉพาะ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ อย่างเดียว พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียนพร้อมเพาเวอร์
ผ่อนแรงแบบไฮโดรลิค ระบบกันสะเทือนหน้า แบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังแบบ
กึ่งอิสระ ระบบเบรก หน้าดิสก์ – หลังดรัม ส่วนระบบ ABS เพิ่งเริ่มติดตั้งให้ในปี 2011

EcoSport เป็นหนึ่งในรถยนต์รุ่นที่ขายดีสุดในประวัติศาสตร์ของของ Ford Brazil
รวมทั้งใน Argentina Venezuela และ Mexico คู่แข่งหลักคือ Fiat Palio Weekend
Adventure และ Volkswagen CrossFox ยอดผลิตกว่า 700.000 คัน ในปี 2011 เป็น
เครื่องยืนยันความสำเร็จของ EcoSport รุ่นแรกได้อย่างดี

2015_01_Ford_EcoSport_Design_Sketch

ในเมื่อขายดีขนาดนี้ Ford ก็เลยเกิดไอเดียว่า พวกเขาควรสร้าง EcoSport รุ่นต่อไป
และคราวนี้ จะไม่จำกัดการผลิตอยู่เพียงแค่ในกลุ่ม Latin America อีกแล้ว นับจากนี้
พวกเขาจะพา เจ้า Crossover SUV คันกะเปี๊ยกนี่ บุกตลาดกว่า 100 ประเทศทั่วโลก!

โครงการพัฒนา EcoSport รุ่นที่ 2 จึงได้รับไฟเขียวจาก บอร์ดผู้บริหารของ Ford ใน
สำนักงานใหญ่ที่ Detroit มลรัฐ Michican สหรัฐอเมริกา ให้สร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง
B2E ซึ่งเป็นพื้นตัวถัง (Platform) แบบใหม่ สำหรับรถยนต์ขนาดเล็กขับเคลื่อนล้อหน้า
ร่วมกันกับ Ford Fiesta รุ่นปัจจุบัน

ศูนย์พัฒนารถยนต์ Ford Development Center ที่เมือง Camacari ใน Brazil รับหน้าที่
ดูแลงานพัฒนา EcoSport รุ่นที่ 2 ขณะเดียวกัน ทีมงานซึ่งนำโดย Ehab Kaoud, Chief
Designer ของ Ford North America ที่ Detroit รับหน้าที่ ดูแลงานออกแบบภายนอก
และภายในห้องโดยสาร ส่วนงานด้านวิศวกรรม เครื่องยนต์ กับระบบส่งกำลัง เป็น
ผลงานของศูนย์วิจัยและพัฒนา Ford ในเมือง Cologne เยอรมนี

Ehab Kaoud เล่าว่า งานวิจัยตลาด มีส่วนสำคัญอย่างมากกับโครงการนี้ Ford จัดให้มี
การสำรวจความคิดเห็นของลูกค้า ตลอดการพัฒนารถยนต์ ทั้ง 3 ช่วง คือในช่วงวาง
แนวคิดการออกแบบ ช่วงค้นหางานออกแบบที่โดนใจลูกค้า และช่วงสุดท้าย หลังจาก
สรุปงานออกแบบ เพื่อคาดการณ์ถึงปฏิกิริยาตอบรับของตลาด

“ในช่วงแรก เรานำภาพ Sketch 5-6 รูป มาให้กลุ่มลูกค้าที่เราเชิญมาร่วมการวิจัยได้ดู
จากนั้น เราจะรับฟังความคิดเห็นของพวกเขา เช่นว่า ทิศทางรูปลักษณ์ของรถคันใหม่
ควรจะอิงกับเส้นสายของ รถยนต์ Station Wagon , SUV หรือ Crossover ”

ผลลัพธ์ที่ได้จากการวิจัยตลาด ทำให้ตัวรถ มีลักษณะที่เรียกว่า Premium Look คือ
ดูมีคุณค่าในระดับสูง และมีเส้นสายหลักร่วมกันกับพี่น้องในตระกูล แต่มีกระจังหน้า
และแนวเส้นเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ที่หนา ใหญ่ ลากขึ้นไปต่อเนื่องจากหน้ารถ
จรดหลังคาด้านหลัง อันเป็นบุคลิกที่แตกต่างจากพี่น้องร่วมตระกูล Ford ทั้งหมด
แต่เมื่อดูโดยรวมแล้ว ผู้คนจะต้องรับรู้ได้ทันทีว่า นี่คือรถยนต์ของ Ford แม้จะมอง
จากระยะไกลก็ตาม นอกจากนี้ การออกแบบเสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar ให้มีกระจก
เชื่อมต่อกันกับบานประตูด้านหลัง ช่วยให้รู้สึกว่า มีพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังเพิ่ม
มากขึ้นจากรถยนต์ทั่วไปในประเภทเดียวกัน

แม้ว่าจะเป็นรถยนต์ SUV ซึ่งมีตัวถังสูงใหญ่ ทำให้มักไม่ค่อยลู่ลม แต่ทีมออกแบบ
ของ Ford ก็พยายาม ทุกวิถีทาง ทั้งการปรับแต่งแก้ไขหุ่นดินเหนียว ไปจนถึงการ
แก้งานออกแบบต่างๆ เพื่อช่วยเพิ่มความลู่ลมให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะส่งผลต่ออัตรา
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในทางอ้อม จนทำให้ EcoSport ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรง
เสียดทานอากาศ Cd 0.371

2014_01_29_Ford_EcoSport_Job1

ด้านการผลิต Ford วางแผนให้ Brazil , India จีน และ ประเทศไทย เป็น 4 โรงงาน
ฐานการผลิตหลักของ EcoSport ป้อนสู่ตลาดโลก โดยใน India Ford ลงทุนมากถึง
142 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสร้างโรงงานใหม่ที่ Chennai เพื่อรองรับการประกอบ
EcoSport ส่งออกขายทั้งในบ้านตัวเอง และในบางประเทศ

เมื่อการเตรียมงาน รุดหน้าไปจนถึงจุดที่มีการอนุมัติแบบพิมพ์เขียวตัวรถทั้งคัน
เหลือเพียงขั้นตอนการทดสอบด้านคุณภาพ ก่อนผลิตออกจำหน่ายเป็นทางการ
Ford จึงตัดสินใจ เผยโฉม เวอร์ชันต้นแบบของ EcoSport เป็นครั้งแรก ในงาน
New Delhi Auto Expo เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2012 แน่นอนว่า เสียงตอบรับจาก
สาธารณชนทั่วโลก ต่างพากันคาดหวังให้ Ford ในแต่ละประเทศ นำ EcoSport
เข้าไปขายในประเทศของตน

ประเทศแรกที่ Ford พร้อมส่งมอบ EcoSport ให้ลูกค้าคือ India โรงงาน Chennai
ตามด้วยการเปิดตัวในประเทศจีน เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2012 ณ งาน Auto China
ที่กรุงปักกิ่ง (Beijing) โดยขึ้นสายการผลิต ที่โรงงานในเมือง Chongqing

จากนั้น การเปิดตัวที่ Brazil จึงตามมาเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2012 และเริ่มทำตลาด
เมื่อเดือนกันยายน 2012 ทั้ง 3 ประเทศ ที่ EcoSport เปิดตัว ลูกค้าต่างพากันให้การ
ต้อนรับเป็นอย่างดี

สำหรับตลาดเมืองไทย Ford เปิดตัว EcoSport ครั้งแรกในภูมิภาค ASEAN ใน
งาน Bangkok International Motor Show วันที่ 25 มีนาคม 2013

แต่เดี๋ยวก่อนครับ การเปิดตัวดังกล่าว เป็นแค่การประกาศว่า Ford จะนำ EcoSport
มาขายในบ้านเรา แต่ยังไม่พร้อมออกขายจริง ในงานวันนั้น จึงมีเพียงรถยนต์
ตัวอย่าง ในขั้น Pre-Production มาให้เราได้เข้าไปทดลองนั่งดูก่อน

จากนั้น ในงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน 2013 Ford จึงประกาศราคาขาย
ของ EcoSport อย่างเป็นทางการ เพื่อเปิดรับจองจากลูกค้า

ส่วนการผลิตออกขายจริง Ford ใช้ฤกษ์ในวันที่ 29 มกราคม 2014 ทำพิธีฉลอง
เริ่มต้นการผลิต EcoSport ในประเทศไทย ณ โรงงาน FTM (Ford Thailand
Manufacturing) ที่จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นโรงงานแห่งที่ 2 ของ Ford ในไทย ที่
แยกออกมาจาก โรงงานของ Auto Alliance เพื่อผลิตรถยนต์นั่ง รุ่น Focus และ
EcoSport โดยเฉพาะ Ford ลงทุนกับโรงงานแห่งนี้ ถึง 450 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
หรือประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท

ทิ้งช่วงไปอีก 2 เดือน วันที่ 20 มีนาคม 2014 คือวันแรกที่ EcoSport ส่งถึงมือลูกค้า
ตามโชว์รูม Ford เรียกได้ว่า กว่าลูกค้าชาวไทยจะได้เป็นเจ้าของ EcoSport ก็ต้องรอ
กันนานมาก ทิ้งระยะห่างจากการเปิดตัวครั้งแรกในเมืองไทย นานถึง 1 ปีเต็ม!!

2015_02_Ford_EcoSport_03

EcoSport มีตัวถังยาว 4,245  มิลลิเมตร กว้าง 1,765 มิลลิเมตร สูง  1,708 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,521 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า (Front Thread) อยู่ที่ 1,519
มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หลัง (Rear Thread) 1,524 มิลลิเมตร ระยะห่างจาก
พื้นถนน ถึงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) สูงถึง 200 มิลลิเมตร ถือว่าสูงกว่ากลุ่ม
รถเก๋งขนาดเล็กอยู่พอประมาณ Ford เคลมไว้ว่าสามารถลุยผ่านน้ำลึกได้สูงสุดถึง
550 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 52 ลิตร

เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งโดยตรงอย่าง Nissan Juke ที่มีขนาดตัวถังกว้าง 1,765
มิลลิเมตร ยาว 4,135 มิลลิเมตร สูง 1,580 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,520 มิลลิเมตร
ระยะห่างจากพื้นถนน 180 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 52 ลิตร

จะพบว่า EcoSport มีความกว้างเท่ากัน แต่ยาวกว่า Juke 110มิลลิเมตร และสูงกว่า
ถึง 128 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาวกว่าแค่ 1 มิลลิเมตร ระยะห่างจากพื้นถนนมากกกว่า
20 มิลลิเมตร

2015_02_Ford_EcoSport_04

รูปลักษณ์ภายนอกที่ใครหลายๆคนได้มาพบตัวจริง จะบอกว่า มันมีความละม้าย
คล้ายคลึงกับปลาปักเป้าอ้าปากพองลม หรือไม่ก็เหมือนกับปลาบู่ชนเขื่อน แต่
การดีไซน์ตัวรถเกือบทั้งคัน ออกแบบมาตามหลักอากาศพลศาสตร์ เช่น ฝา
กระโปรงหน้าที่มีความลาดชันตั้งแต่ไฟหน้าไปจนถึงเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar
ช่วยถ่ายเทแรงปะทะของอากาศที่มาจากด้านหน้าของรถ สปอยเลอร์และครีบ
พลาสติกด้านหลังกระจกของเสาหลังคา C-Pillar ช่วยให้อากาศสามารถไหล
เวียนออกจากตัวรถได้ดีขึ้น

ชุดไฟหน้าเป็นแบบ Multi-reflector หลอดไฟฮาโลเจน พร้อมไฟหรี่แบบท่อ
นำแสงที่ทำหน้าที่เป็น Welcome Light ในตัว กระจกมองข้างมีไฟเลี้ยวมาให้
มีไฟตัดหมอกหน้าและหลังมาให้เสร็จสรรพ กระจังหน้ารุ่น Ambiente จะเป็นสีดำ
ส่วนรุ่น Trend จะเป็นสีเงิน และรุ่น Titanium จะเป็นแบบโครเมียม

มือจับประตูด้านนอกและกระจกมองข้าง ของรุ่น Ambiente จะเป็นสีดำ แต่รุ่น
Trend และ Titanium จะเป็นสีเดียวกับตัวรถ บนหลังคา มีชุด Rack-roof สีเงิน
ติดตั้งมาให้จากโรงงาน

บั้นท้าย มีจุดเด่นอยู่ที่ กล่องเก็บล้ออะไหล่ สีเดียวกับตัวรถ ซึ่งหลายคนบอกว่า
มันดูโบราณเหมือนพวก SUV ในยุคทศวรรษ 1990 ข่าวดีสำหรับคนที่เกลียดมัน
(และเป็นข่าวร้ายสำหรับคนที่ชอบมันไปด้วย) ก็คือ ในรุ่นหลังจากนี้ จะไม่มีกล่อง
เก็บล้ออะไหล่แบบนี้อีกแล้ว แต่จะเปลี่ยนเป็นช่องใส่ป้ายทะเบียนแทน

รุ่น Ambiente จะใช้กระทะล้อขนาด 15 นิ้ว พร้อมฝาครอบแบบเต็มวง สวมยาง
ขนาด 195/65 R15 แต่ในรุ่น Trend และ Titanium จะติดตั้งล้ออัลลอยขนาด
16 นิ้ว พร้อมยาง Goodyear Assurance Fuel Max ขนาด 205 / 60 R16 รุ่น
Titanium จะได้ล้อแม็กลายพิเศษสำหรับ Ford EcoSport โดยเฉพาะ

2015_02_Ford_EcoSport_09

การเข้า-ออกจากตัวรถนั้นใช้กุญแจเป็นแบบ Keyless – GO เหมือนกับ Ford Focus และ
Fiesta EcoBoost ปลดล็อคได้โดยการกดปุ่มสีดำที่อยู่ตรงมือจับประตูทั้งฝั่งคนขับหรือคนนั่ง
แต่ไม่มีระบบช่วยพับกระจกมองข้างได้เมื่อล็อกรถโดยอัตโนมัติมาให้ แต่ถ้าเป็นรุ่น Ambient
กับ Trend กุญแจจะเป็นรีโมทคอนโทรลแบบมีสวิชต์ สั่งล็อก – ปลดล็อก และตัวกุญแจจะพับ
เก็บได้เหมือนมีดพกขนาดเล็ก ที่เรียกว่า Jack Knift Key แบบเดียวกับ Fiesta

2015_02_Ford_EcoSport_Interior_02

เมื่อเปิดประตูรถ คุณจะพบกับบรรยากาศของรถที่คล้ายคลึงกับบรรดารถของ Ford
ในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยกับคันเกียร์และมือจับเปิดประตูที่ยกชุดมาจาก Fiesta
หรือแม้กระทั่งวิทยุกับชุดมาตรวัดที่มีการเปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อย แต่มองเผินๆ
เหมือนยกชุดมาใส่ทั้งดุ้น

การเข้าออกจากห้องโดยสารฝั่งคนขับถือว่าทำได้โอเค ไม่ต้องคอยระวังว่าหัวจะต้อง
ไปโขกกับเสาหลังคาคู่หน้าขณะเข้าออก ถ้าคุณปรับตำแหน่งเบาะคนขับอยู่ให้ลงต่ำจนสุด
แต่ในฝั่งคนนั่ง ตัวเบาะถือว่าสูงพอประมาณ ทำให้เวลาเข้าออก ต้องคอยก้มหัวหลบกัน
ให้ดี (แต่สำหรับพี่ J!MMY ทุกครั้งที่เข้าไปนั่ง นั่นหมายถึงหัวต้องไปโขกกับเสาหลังคา
อยู่บ้าง จนเจ้าตัวบ่นอุบว่า ช่องทางเข้าออก เล็กกว่ารถยนต์ทั่วไปนิดนึง)

แต่สิ่งที่ทุกคนต้องพึงระลึกก่อนเข้าออกเสมอ คือต้องเก็บชายกางเกงหรือกระโปรงให้
เรียบร้อยก่อนขึ้นรถทุกครั้ง เพราะชายประตูที่ยื่นออกมาจากตัวรถ อาจจะทำให้เสื้อผ้า
ชุดโปรดของคุณเลอะเทอะ ถ้าคุณเพิ่งพารถคันนี้ไปลุยดินโคลนที่ไหนมา

แผงประตูด้านข้าง มามุกเดียวกับ Fiesta คือไม่มีสวิตช์ล็อคกลอนประตูมาให้ บริเวณพื้นที่
วางแขนบุด้วยหนังสังเคราะห์ ตำแหน่งวางแขนบนแผงประตูรอบรับท่อนแขนเพียงแค่ช่วง
ข้อศอกจนถึงกลางข้อแขนเท่านั้น ส่วนท่อนแขนที่เหลือจนถึงปลายนิ้ว ไม่สามารถวางได้
เพราะตำแหน่งวางแขนออกแบบให้เป็นขั้นบันได้เล็กๆ กลายเป็นราวจับประตู ถือว่าวางแขน
ได้ไม่สบายเท่าที่ควร

อีกทั้งตำแหน่งของสวิตช์กระจกไฟฟ้าติดตั้งในตำแหน่งไกลจากตัวผู้ขับขี่ จนต้องเอื้อมมือไปกด
หรือไม่ก็ต้องก้มมองหาตำแหน่งสวิตช์ก่อนกดทุกครั้ง

ด้านล่างของแผงประตู มีช่องวางของจุกจิก และมีช่องสำหรับใส่ขวดน้ำมาให้

 

2015_02_Ford_EcoSport_Interior_03

ชุดเบาะนั่งของ EcoSport ทุกรุ่นจะใช้โครงสร้างเบาะเดียวกันทั้งหมด แต่ในรุ่น Titanium
ตัวเบาะจะหุ้มหนัง Torino เดินตะเข็บสีแดงมาให้จากโรงงาน เบาะรองนั่งถือว่ากำลังดี
ไม่ยาวไม่สั้นจนเกินไป หัวมุมเบาะไม่ได้ออกแบบให้ร่นเข้าไปแบบที่ Fiesta EcoBoost เป็น

พนักพิงหลังมีปีกเบาะมาช่วยโอบรับร่างกายของผู้โดยสาร คล้ายกับเบาะ Bucket Seat แต่ในความ
เป็นจริง ปีกเบาะที่โผล่ออกมาดูจะดันร่างของผู้โดยสารไว้ไม่ให้หลุดออกจากเบาะเฉยๆมากกว่า
แต่ถ้าเป็นคนที่มีสรีระใหญ่ หรือเรียกง่ายๆว่าอ้วนเท่ากับคุณเจ้าของเว็บ Headlightmag ของเรา
จะรู้สึกว่าตัวเบาะนั้นเล็กเกินไป อีกทั้งตัวปีกข้างของเบาะยังให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าแค่ดัน
สีข้างไว้เฉยๆ ไม่ได้มีการโอบรับใดๆเลย

พนักพิงศรีษะไม่ดันหัวกบาลมากเท่า Fiesta EcoBoost ถ้าลองเอานิ้วไปจิ้ม ตัวฟองน้ำมีการยุบตัว
เหมือนจะนุ่ม แต่ถ้าลองเอาหัวไปโขกจะให้ความรู้สึกที่แข็งมากๆ จนผมสงสัยว่าถ้าเกิดเหตุรถชนกัน
แล้วหัวของผู้โดยสารไปโขกกับพนักพิงแรงๆเนี่ย จะกลายเป็นคนความจำเสื่อมแบบในละครไทย
รึเปล่า?

ตัวเบาะมีที่ปรับดันหลังและพนักเท้าแขนฝั่งคนขับมาให้ เฉพาะในรุ่น Titanium สำหรับคนที่สรีระ
ปกติอย่างผม ตำแหน่งพักเท้าแขนถือว่ากำลังดี แต่มีความยาวน้อยไปหน่อย ทำให้การวางแขนอาจ
รู้สึกไม่สบายเท่าที่ควร แต่คนที่สรีระใหญ่ ตำแหน่งที่วางแขนจะต่ำไป ทำให้ต้องพับเก็บและใช้
ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย

ในแง่ของการใช้งานในภาพรวม ตัวเบาะถือว่าทำได้ในระดับกลางๆ คือไม่ได้โอบรับกระชับ
ทุกสัดส่วนเหมือน Fiesta แต่ก็ไม่ได้โล่งกลวงเหมือนไม่มีอะไรคอยซัพพอร์ตเลย การเดินทาง
ระยะไกล ไม่ถึงกับสะดวกสบาย แต่ก็ไม่ทำให้ร่างกายเมื่อยล้าระหว่างการเดินทาง

ใต้เบาะผู้โดยสารด้านหน้ายังมีช่องเก็บของสำหรับเก็บรองเท้าคู่โปรดเอาไว้สำหรับเปลี่ยนในรถ
หรือเก็บของจุกจิกอย่างอื่น แบบเดียวกับเบาะของ Fiesta

2015_02_Ford_EcoSport_Interior_04

การเข้าออกห้องโดยสารด้านหลัง แม้จะดูสะดวกกับคนที่มีรูปร่างปกติ แต่ถ้าใครที่มีสรีระร่างตุ้ยนุ้ย
(อีกแล้ว) อาจมองว่าแคบไปนิดนึง ซึ่งก็เป็นไปตามขนาดและความยาวของตัวรถ ปัญหาเรื่องหัวที่
อาจโขกกับเสาหลังคาขณะหย่อนก้นลงไปนั่ง มีโอกาสเกิดขึ้นได้บ้าง แต่น้อยกว่าการเข้าออกจาก
ประตูคู่หน้า

แต่เรื่องที่เหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นประตูไหนๆคือชายประตูที่ยื่นออกมาจากตัวรถนั้น ยาวจนทำให้
ขากางเกงหรือกระโปรงเลอะได้ตลอด ถ้าคุณเผลอเอาขาไปรูดกับชายประตูในขณะที่รถยังไม่ได้ล้าง

แผงประตูด้านข้างไม่มีสวิตช์ล็อคกลอนประตูมาให้และ พนักวางแขนยังรองรับแค่ข้อศอกไปจนถึง
ตรงกลางแขน เหมือนประตูคู่หน้าไม่มีผิด การวางแขนก็ยังทำได้ไม่ค่อยสบายนัก แต่ยังดีที่มือจับ
และแผงข้างประตูยังตกแต่งด้วยวัสดุสีเงิน พนักวางแขนหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ ไม่ทำให้ผู้โดยสาร
ด้านหลังรู้สึกเป็นพลเมืองชั้น 2

ส่วนช่วงวางของที่แผงประตูด้านหลัง สามารถใส่ได้แค่ขวดน้ำขนาด 7 บาท หนึ่งขวด

2015_02_Ford_EcoSport_Interior_05

เบาะนั่งด้านหลังมีการหุ้มหนังมาให้เหมือนกับเบาะคู่หน้า ออกแบบโครงสร้างของเบาะให้ค่อนข้าง
เรียบเนียน ไร้ร่องเบาะและปีกเบาะใดๆไว้โอบรับร่างกาย ส่วนหนึ่งเพราะต้องการให้ตัวเบาะสามารถ
พับได้อย่างเรียบเนียนและไม่กินพื้นที่ แต่ในความเป็นจริง ผมว่ามันน่าจะมีวิธีการออกแบบที่ดีกว่านี้
เพราะเวลาที่รถเกิดการเหวี่ยงหรือโยนตัว ผู้โดยสารข้างหลังรู้สึกเหมือนจะไถลและหลุดออกจากเบาะ
อยู่ตลอด อีกทั้งตัวรถยังไม่มีศาสดาหรือมือจับที่ราวหลังคามาให้เลยซักชิ้นเดียว ครั้นจะให้เอื้อมมือ
ไปจับราวจับประตูก็ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่

ตัวฟองน้ำของเบาะอยู่ในระดับที่เรียกว่าแน่นจนเกือบแข็ง แต่สามารถนั่งได้โดยที่ไม่รู้สึกปวดเมื่อยใดๆ
ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางใกล้หรือไกล พื้นที่วางขา (Leg Room) มีพื้นที่ถือว่ามากพอสมควร ถ้าเทียบกับ
ขนาดของตัวรถ สามารถนั่งได้สบาย แม้ว่าผู้โดยสารด้านหน้าจะมีขนาดใหญ่อย่างพี่จิมมี่หรือแม้กระทั่ง
พี่แพนก็ไม่เป็นปัญหาเลย

ตัวเบาะสามารถปรับเอนได้หลายตำแหน่งตามความสะดวกสบายของผู้โดยสารตอนหลัง โดยใช้วิธี
การดึงเชือกที่อยู่ด้านข้างของเบาะ แต่ไม่มีพนักวางแขนตรงกลางมาให้

ฝั่งขวาของเบาะหลังคนขับยังมีช่องจ่ายไฟ 12V เพื่อให้ผู้โดยสารด้านหลังสามารถนำที่ชาตแบตเตอรี่
โทรศัพท์มือถือในรถยนต์มาใช้ได้ โดยที่ไม่ต้องไปตบตีแย่งชิงกับผู้โดยสารด้านหน้าแต่อย่างใด

พนักพิงศรีษะเป็นรูปตัว L คว่ำตามยุคสมัย และยังคงความแข็งไม่แพ้พนักพิงศรีษะดานหน้าเลย เอา
หัวโขกก็เจ็บพอกัน จนอยากถามว่าออกแบบให้มันนุ่มกว่านี้อีกหน่อยไม่ได้หรือครับ? พนักพิงแบบนี้
ไม่บดบังทัศนวิสัยด้านหลังของคนขับรถ แต่ถ้าเป็นผู้โดยสารข้างหลังจะไม่ค่อยชอบมัน เนื่องจากต้อง
ยกขึ้นใช้งานตลอดเวลาที่นั่งโดยสารมิเช่นนั้นจะโดนพนักพิงทิ่มหลังและคออยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้ ตัวเบาะนั่งสามารถแยกพับเก็บได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่จุสัมภาระด้านหลังรถ
รูปแบบการพับเบาะเหมือนกับ Honda Mobilio, Toyota Avanza และ Ford Everest รุ่นเก่า ในแบบ
“ยกเบาะม้วนหน้า” วิธีการก็คือ คุณต้องออกแรงดึงเชือกที่ใช้ปรับเอนเบาะ และพับพนักพิงหลังโน้ม
มาข้างหน้า แล้วดึงเชือกอีกรอบพร้อมกับยกเบาะทั้งชุดยกขึ้นมา เพื่อให้มีพื้นที่ในการเก็บสัมภาระ
มากขึ้น แต่ต้องบอกไว้ตรงนี้ว่าพื้นที่อยู่ใต้เบาะ ไม่ได้เรียบเนียนเหมือนกับพื้นห้องเก็บสัมภาระ
เนื่องจากข้อจำกัดของถังน้ำมันที่ถูกติดตั้งไว้ใต้เบาะคู่หลัง

2015_02_Ford_EcoSport_Interior_06

Ford EcoSport มีพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระขนาด 560 ลิตร แต่เมื่อพับเบาะตลบขึ้นไปทั้งฝั่ง
ซ้าย-ขวาจะมีพื้นที่สำหรับใส่ข้าวของได้ถึง 705 ลิตร และใหญ่พอที่จะสามารถขนเครื่อง
ซักผ้ากลับบ้านได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องจ้างรถส่งของมาขนให้เปลืองสตางค์ในกระเป๋า

แต่ฝาท้ายจะใช้วิธีการเปิดแบบบานประตูตู้กับข้าว โดยกดปุ่มสีดำที่อยู่ในชุดไฟเบรคฝั่ง
ขวา ไม่เหมือนรถทั่วไปที่เปิดฝาท้ายขึ้นข้างบน และนี่ก็เป็นอีกประเด็นที่ทำให้ลูกค้าบ่นกัน
ขรมว่าทำไม Ford จึงไม่สลับบานประตูให้เปิดได้อีกฝั่งเพื่อให้เหมาะกับประเทศที่ใช้รถ
พวงมาลัยขวา ทำให้เวลาขนของจะต้องเดินอ้อมบานประตูอยู่ตลอด ได้แต่หวังว่าปัญหา
นี้น่าจะถูกแก้ไขในรุ่นต่อไป

ม่านบังสัมภาระ ถูกติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สามารถถอดยกออกเมื่อไม่ใช้งานได้
หากต้องการบังไม่ให้คนข้างนอกมองเห็นข้าวของด้านท้ายรถ แค่ดึงม่านมาเกี่ยวไว้กับขอยึด
บริเวณด้านข้างผนังห้องเก็บของ และถ้าเลิกใช้งาน ก็ดึงออกจากขอเกี่ยว รูดม้วนกลับไปอยู่
ในตำแหน่งเดิม เหมือนในบรรดารถยนต์ Station Wagon ทั้งหลายนั่นเอง

เมื่อเปิดยกพื้นห้องเก็บของด้านหลัง จะพบกับแม่แรงและเครื่องมือประจำรถ ติดตั้งอยู่บน
โฟมที่ฝังอยู่ในหลุมสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งออกแบบมารองรับโดยเฉพาะ

2015_02_Ford_EcoSport_Interior_07

งานออกแบบภายในห้องโดยสารเป็นการยกจาก Fiesta มาขัดเกลาใหม่ ให้เข้ากับบุคลิกของ
ตัวรถมากขึ้น เมื่อกวาดมองด้วยสายตา สิ่งที่เปลี่ยนไปคือช่องแอร์ที่ออกแบบใหม่ให้มีขนาด
ใหญ่ขึ้น คันเกียร์ยกชุดมาจาก Focus ชุดมาตรวัดและวิทยุปรับปรุงรายละเอียดใหม่ เปลี่ยน
สีไฟในห้องโดยสารให้กลายเป็นสีฟ้า ที่ดูผ่อนคลายและสบายตามากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ารถคันที่เรานำมาทดลองขับกัน จะใช้แผงประดับช่องแอร์เป็นสีเงิน
ทว่า ตอนนี้ EcoSport ล็อตหลังๆ ที่จำหน่ายกันในบ้านเรา จะใช้แผงประดับช่องแอร์เป็น
สีดำเงา เพื่อลดปัญหาแสงแดดยามบ่ายสะท้อนเข้าสายตาทั้งคนขับและผู้โดยสารมากเกินไป

ตำแหน่งของอุปกรณ์ในตำแหน่งคนขับ ไล่จากขวา มา ซ้าย สวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้ามีมาให้
ครบทั้ง 4 บานทุกรุ่น เฉพาะฝั่งคนขับจะเป็นแบบ One-Touch ขึ้น – ลงได้ เพียงการกดหรือยกขึ้น
ครั้งเดียวจนสุด ที่ผมรู้สึกว่าติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ลึกเกินไปหน่อย เพราะผมชอบเผลอไปกด
กระจกหน้าต่างประตูบานขวาหลังลงเสมอๆ เวลาจะจ่ายเงินค่าทางด่วน ถ้าไม่ก้มลงมามองปุ่มกด

ถัดขึ้นไป ติดกับมือจับเปิดประตูเป็นสวิชต์กระจกมองข้างปรับด้วยไฟฟ้า ถัดมาเป็นตำแหน่ง
เปิด – ปิดไฟหน้าและไฟตัดหมอกหน้า – หลัง แต่ไม่มีที่หมุนปรับระดับแสงไฟในคอนโซล
หน้ามาให้

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน ทำจากยูริเทน หุ้มหนังที่ฝั่งซ้ายและขวาของวงพวงมาลัย ปรับระดับ
สูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ไกล จากตัวผู้ขับได้ ยกชุดมาจากFiesta ประดับด้วย Trim สีเงิน
มีสวิชต์ควบคุมการทำงานของชุดเครื่องเสียงมาให้ ที่ฝั่งซ้ายของแป้นพวงมาลัย ไม่มีระบบ
Cruise Control มาให้

ด้านข้างของพวงมาลัย คือก้านไฟเลี้ยวและก้านใบปัดน้ำฝน ที่ยังคงสลับตำแหน่งไม่เหมือน
ชาวบ้านชาวช่องด้วยการให้ไฟเลี้ยวอยู่ที่ก้านฝั่งซ้าย และก้านใบปัดน้ำฝนอยู่ฝั่งขวาเหมือน
กับ Fiesta

แป้นฐานเกียร์กับคันเกียร์ยกชุดมาจาก Fiesta EcoBoost ที่ยกคันเกียร์มาจาก Focus อีกที

2015_02_Ford_EcoSport_Interior_08

ชุดมาตรวัดยกมาจาก Fiesta แทบทั้งหมด แต่มีการเปลี่ยนรายละเอียดหลายๆอย่างเพื่อให้
ดูดีมีชาติตระกูลและรู้สึกผ่านคลายมากขึ้นเมื่อได้มอง คือการเปลี่ยนฟอนต์ตัวเลขในมาตรวัด
และรายละเอียดของไฟสัญญาณแจ้งเตือน รวมไปถึงจอแสดงข้อมูล MID แต่การดีไซน์ฟอนต์
กับ Layout ของจอ MID จะแตกต่างออกไปจาก Fiesta EcoBoost อยู่พอสมควร

แต่สิ่งที่น่าจะมีมาเพิ่มหลังจากปรับปรุงรายละเอียดของมาตรวัด แต่กลับไม่มีมาให้คือมาตรวัด
อุณหภูมิระบบหล่อเย็น ที่ควรจะมีมาให้ได้แล้วกับรถปี 2014 แบบนี้ ที Fiesta EcoBoost ยังใส่
มาให้ได้เลย ทำไม EcoSport จะใส่มาบ้างไม่ได้?

ปุ่มทางซ้ายของชุดมาตรวัดเป็นปุ่ม Ford Power Start หรือปุ่มสตาร์ทและดับเครื่องยนต์

2015_02_Ford_EcoSport_Interior_09

เครื่องปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ Digital วงกลมฝั่งซ้ายเอาไว้ปรับระดับความ
แรงของพัดลม ปุ่มกด Auto ฝั่งขวาไว้เลือกอุณหภูมิ ส่วนวงกลมตรงกลางเป็นปุ่มกด
เลือกทิศทางของความเย็นสู่ห้องโดยสาร รวมไปถึงสวิตช์ไล้ฝ้ากระจกหน้า – หลัง
และสวิตช์เลือกการหมุนเวียนของอากาศ ยกชุดมาจาก Fiesta EcoBoost พอจะสู้
กับแดดและสภาพอากาศเมืองไทยได้ แต่ไม่ได้เย็นเร็วจนฉ่ำไปถึงขั้วหัวใจ

ชุดเครื่องเสียงก็ยกมาจาก Fiesta EcoBoost อีกเช่นกัน เป็นงานออกแบบที่หน้าตา
ปุ่มกดเหมือนโทรศัพท์ Nokia รุ่นเก่าๆ เช่น 8250 แต่เปลี่ยนรูปแบบของปุ่มควบคุม
ตรงกลางจากที่เป็นสวิตช์นูนขึ้นมา ให้เรียบเหมือนกับปุ่มอื่นๆบนแผงวิทยุ ที่ยังไงก็
ยังยืนยันว่า การใช้งานเครื่องเสียงชุดนี้ระหว่างการขับขี่เป็นเรื่องที่อันตราย เพราะ
ต้องละสายตาจากถนนมากกว่าปกติขณะการขับขี่ เพื่อมามองว่าปุ่มกดมันอยู่ตรง
ไหนบ้าง มีระบบสั่งงานด้วยเสียงแบบใหม่ชื่อ SYNC จาก Microsoft คุณภาพเสียง
ก็ดีไม่แพ้กัน แต่ด้วยตัวรถที่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้เสียงที่ออกมาจะรู้สึกกลวงๆไม่ค่อย
แน่นเหมือนกับ Fiesta EcoBoost ที่ปกติผมจะปรับระดับเสียงไว้ที่เลข 5 – 6 แต่ใน
EcoSport ผมต้องปรับเสียงไปที่ระดับ 6 – 7 แต่เรื่องคุณภาพไม่ด้อยไปกว่าเดิมเลย
แต่ยังคงความช้าและดีเลย์ในการกดปุ่มเหมือนเดิม

มีเซ็นเซอร์กะระยะถอยหลัง 4 จุด ที่มุมกันชนหลัง พร้อมระบบแสดงผลบนหน้าจอ

คุณภาพเสียงการคุยโทรศัพท์ผ่านทาง Bluetooth ถ้าเป็นตอนที่รถจอดอยู่นิ่งๆหรือ
กำลังวิ่งอยู่ที่ความเร็วไม่สูงมากนัก คู่สายสนทนาจะได้ยินเสียงชัดเจน แต่เมื่อไหร่ที่
ตัวรถต้องเร่งความเร็วจนรอบเครื่องยนต์สูงขึ้น คู่สายจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่กำลัง
ครวญครางอยู่ชัดเจนมาก และถ้าเป็นตอนที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงตั้งแต่ 100
กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป คู่สายจะเริ่มได้ยินเสียงลมที่กำลังไหลผ่านตัวถังชัดเจนจน
ไม่สามารถคุยโทรศัพท์แบบหาสาระเป็นเรื่องเป็นราวได้ ต่อให้ผมจะเพิ่มเสียงการ
พูดให้ดังขึ้นก็ตาม ในจุดนี้ต้องมีการแก้ไข เพราะใน Fiesta Ecoboost ผมไม่เจอกับ
ปัญหาเหล่านี้เลย

ถัดลงไปเป็นช่องเก็บของแบบ 2 ชั้น ชั้นบนเป็นช่องใส่เอกสารและคู่มือประจำรถ ช่องล่าง
ช่องใส่ของขนาดใหญ่ที่สามารถรักษาความเย็นได้ด้วยลมจากเครื่องปรับอากาศ สามารถ
ใส่น้ำอัดลมกระป๋องได้มากสูงสุดถึง 6 ใบ

2015_02_Ford_EcoSport_Interior_10

ข้างลำตัว ผู้ขับขี่กับผู้โดยสารด้านหน้า ไม่มีกล่องคอนโซลใดๆมาให้เลย มีแค่ช่องวางแก้วน้ำ
2 ตำแหน่ง สำหรับ ผู้โดยสารด้านหน้า และ 1 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ช่องใส่แก้วน้ำ
ทำออกมาค่อนข้างหลวมไปหน่อย ถ้าต้องใส่ขวดน้ำแบบ 7 – 8 บาท หรือน้ำอัดลมแบบกระป๋อง
แต่ถ้าใส่แก้วกาแฟน่าจะกำลังพอดี

เบรกมือ ติดตั้งในตำแหน่งซ้ายมือ ไม่ยอมย้ายฝั่งมาทางขวาให้

2015_02_Ford_EcoSport_Interior_11

มองขึ้นไปด้านบนจะเห็นแผงบังแดดที่ทำจากพลาสติกแข็ง ไม่มีการบุนุ่มใดๆมาให้ แต่ที่
มองแล้วตลกจนผมต้องถามคือใครเป็นคนจัดอุปกรณ์ที่แผงบังแดดมาให้ครับ? แผงบังแดด
ฝั่งคนนั่งมีไฟแต่งหน้ามาให้ แต่ไม่มีแผ่นปิดกระจก กลับกันฝั่งคนขับมีแผ่นปิดกระจก แต่ไม่มี
ไฟแต่งหน้ามาให้ เป็นการจัดอุปกรณ์ที่ผมมองว่า ตลกมากๆ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรมาให้เลย

ถัดไปเป็นไฟส่องห้องโดยสารตรงกลาง ขนาบข้างกับไฟอ่านแผนที่ซ้าย-ขาว เขยิบไปอีกหน่อย
จะเป็นสวิตช์เปิด-ปิดหลังคา Sunroof แบบ One Touch มีม่านบังแดดสีเดียวกับหลังคารถมาให้
และตัว Sunroof สามารถยกขึ้น รวมทั้งเปิดกางออกได้ แต่เฉพาะแค่บริเวณผู้โดยสารด้านหน้า
เท่านั้น ร่องวงกลมที่อยู่ข้างๆกับสวิตช์ คือไมโครโฟนที่เอาไว้พูดคุยเวลาเชื่อมต่อต่อโทรศัพท์กับ
วิทยุ รวมไปถึงคอยฟังคำสั่งของ Voice Command และมี ช่องเก็บแว่นตากันแดด ซึ่งติดตั้งใน
ตำแหน่งเดียวกับรถยนต์ทั่วไป แตกต่างจาก Ford Focus ที่แปะเอาไว้เหนือบานประตูฝั่งคนขับ

2015_02_Ford_EcoSport_2015_02_Ford_EcoSport_Visibility_1

ทัศนวิสัยด้านหน้า สามารถมองเห็นได้ชัดเจนตามแบบฉบับรถยกสูง ต่อให้ปรับเบาะคนขับ
ลงต่ำจนสุด โดยเฉพาะรถคันนี้ที่มีระยะห่างระหว่างพื้นถนนมากกว่าคู่แข่งอย่าง Juke และ
HR-V  แต่มุมเสา A-Pillar และคอนโซลหน้ารถ ที่โค้งเข้าด้านใน ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกว่า
มุมมองดูแคบลงนิดหน่อย

2015_02_Ford_EcoSport_2015_02_Ford_EcoSport_Visibility_2

มองมาทางด้านขวา เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา มีการบดบัง รถที่แล่นสวนทางกัน
ของถนน อย่างชัดเจน เพราะการออกแบบให้เสามีความลาดชันขึ้นมาตั้งแต่ฝากระโปรงหน้า
เพื่อให้ตัวรถสามารถจัดการกระแสลมได้ดีขึ้น กระจกสามเหลี่ยมโอเปร่าที่อยู่ติดกับเสาคู่
หน้าก็ไม่ทำให้ทัศนวิศัยดีขึ้นเลย แต่กลับกัน กระจกมองข้าง ถูกออกแบบมาให้มองเห็น
ตำแหน่งวัตถุต่างๆ ได้กระจ่าง ชัดเจน และไร้ซึ่งการบดบัง อีกทั้งปลายกระจกถูกออกแบบให้
โค้งออกไป เพื่อลดจุดบอดของสบายตาขณะเปลี่ยนช่องทางจราจร

2015_02_Ford_EcoSport_2015_02_Ford_EcoSport_Visibility_3

มองไปทางซ้าย เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย อาการหนักพอๆกับฝั่งขวาเลย ตัวเสา
ทั้งใหญ่และหนา เหมือนเสาตอม่อสะพานพระราม 8 จนบดบังทัศนวิศัยอย่างชัดเจน กระจก
สามเหลี่ยมโอเปร่ามีก็เหมือนไม่มี ยิ่งถ้าเป็นตอนกลับรถ คนขับอาจจะต้องยืดคอมาข้างหน้า
เพื่อดูว่ามีรถกำลังวิ่งสวนมาหรือไม่กระจกมองข้างฝั่งซ้าย พอจะมีการเบียดบังพื้นที่ขอบ
ซ้ายสุด เข้ามาบ้างเล็กน้อย

2015_02_Ford_EcoSport_2015_02_Ford_EcoSport_Visibility_4

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลังเป็นไปตามคาด เสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar ออกแบบค่อนข้างหนา
จนทำให้บดบังรถจักรยานยนต์ที่ตามมา แต่กระจกบังลมด้านหลังถือว่ามีขนาดใหญ่ และ
สามารถมองเห็นได้ชัดว่ามีรถอะไรตามหลังมาบ้าง ทำให้การเหลือบมองมาเพื่อเปลี่ยน
ช่องทางจราจร เบี่ยงเข้าเลนซ้าย หรือ ขวาทำได้ค่อนข้างรวดเร็ว

2015_02_Ford_EcoSport_Engine_01

********** รายละเอียดทางวิศวกรรมและการทดลองขับ **********

เมื่อเปิดฝากระโปรงขึ้นมา เพลงของสแตมป์ อภิวัชร์ก็ลอยเข้าหูผมทันที
“สวัสดีครับ เราเคยรู้จักกันรึเปล่า?”

เพราะว่าในตลาดต่างประเทศ Ford จะติดตั้งเครื่องยนต์ 3 สูบเรียง DOHC 12 วาล์ว
998 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 71.9 x 81.9 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.0 : 1
จ่ายแบบฉีดตรงเข้าห้องเผาไหม้ Direct Injection พ่วงด้วย Turbocharger และ
Intercooler กำลังสูงสุด 125 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 170
นิวตันเมตร / 17.33 กก.-ม. ที่ 1,400 – 4,500 รอบ/นาที

แต่สำหรับตลาดเมืองไทย ในช่วงขวบปีแรกที่เปิดตัว Ford กลับเลือกติดตั้งขุมพลัง
มาให้เพียงแบบเดียว นั่นคือ เครื่องยนต์ Duratec 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,499 ซีซี
กำลังอัด 11.1 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Ti-VCT

กำลังสูงสุด 110 แรงม้า (PS) ที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร หรือ
14.46 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที

ความจริงก็คือ นี่เป็นเครื่องยนต์เดียวกันกับ Ford Fiesta 1.5 ลิตร ที่เปิดตัวตามมา
กระตุ้นตลาด หลังจากที่ Ford ออกมาโวยวาย ว่าตนได้รับผลกระทบจากการปล่อย
ให้โครงการรถคันแรก ในยุคสมัยรัฐบาลที่แล้ว จำกัดความจุกระบอกสูบเครื่องยนต์
ไว้ที่แค่ 1,500 ซีซี ทำให้ Fiesta 1,600 ซีซี ถึงกับขายไม่ออก จอดนอนรอลูกค้า
เคียงคู่กับรุ่น 1,400 ซีซี ซึ่งแทบจะไม่มีใครเหลียวแลอยู่แล้ว Ford จึงต้องแก้ไข
ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการสั่งนำเข้าเครื่องยนต์ Duratec 1,500 ซีซี ลูกนี้มาจาก
อินเดีย มาวางให้กับ Fiesta กันอย่างรีบด่วน

การที่ Ford เลือกเปิดตัว EcoSport ด้วยเครื่องยนต์ 1,500 ซีซี จาก Fiesta ทำให้
ลูกค้าจำนวนไม่น้อย ต่างพากันผิดหวังอย่างรุนแรง จนถึงขั้นตัดสินใจ ไม่ซื้อรถยนต์
รุ่นนี้ในช่วงแรกกันเยอะมาก

ช่วยไม่ได้ครับ ในเมื่อผู้บริโภคคนไทย คาดหวังว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ Ford จะนำขุมพลัง
EcoBoost 3 สูบ 1,000 ซีซี สุดเจ๋ง เข้ามาเปิดตลาดกับ Fiesta ทั้งที ก็น่าจะเผื่อแผ่
อานิสงค์มาให้กับ EcoSport กันบ้าง ที่ไหนได้ กลับกลายเป็นเครื่องยนต์หน้าตาเดิมๆ
จาก Fiesta 1.5 ลิตร โผล่มาเซย์ฮัลโหล ซะงั้น

2015_02_Ford_EcoSport_Engine_02_6_DCT

ส่วนระบบส่งกำลัง สู่ล้อคู่หน้า Ford ยกเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ PowerShift
แบบคลัทช์คู่จาก Getrag รุ่น 6DCT250 จาก Fiesta และ Focus มาติดตั้งให้
ชนิดไม่ต้องเสียเวลาพัฒนากันใหม่ ให้เปลืองต้นทุนเล่น เกียร์ลูกนี้ ใช้คลัทช์คู่แบบ
แห้ง ที่ส่งกำลังและแรงบิดผ่านผ้าคลัตช์ธรรมดา จึงไม่ต้องใช้ปั๊มน้ำมัน Torque
Converter ของเหลวอื่นๆ หรือ Oil-Cooler และท่อภายนอกเหมือนเกียร์แบบ
ระบบคลัตช์เปียก นอกจากนี้ยังมี ระบบการลดความเร็วไปสู่เกียร์ว่าง (Neutral
Coast Down) เมื่อผู้ขับขี่ถอนเท้าจากคันเร่งและเหยียบเบรค ที่จะช่วยให้
ประหยัดประน้ำมันมากขึ้น

เกียร์ลูกนี้ มีความยาว 350 – 400 มิลลิเมตร น้ำหนักเบาตั้งแต่ 72 – 82 กิโลกรัม
รองรับแรงบิดสูงสุดได้ถึง 240 – 280 นิวตันเมตร ใช้น้ำมันเกียร์ 1.7 – 1.9 ลิตร
อัตราทดเกียร์ มีดังนี้

เกียร์ 1……………………….3.917
เกียร์ 2……………………….2.429
เกียร์ 3……………………….1.436
เกียร์ 4……………………….1.021
เกียร์ 5……………………….0.867
เกียร์ 6……………………….0.702
เกียร์ถอยหลัง…………………3.507
อัตราทดเฟืองท้าย……………3.895 (เกียร์ 1,2,5,6) / 4.353 (เกียร์ 3,4,R)

เมื่อเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรและเกียร์จาก Fiesta ต้องมาแบกตัวถังที่ใหญ่และหนัก
กว่าเดิม สมรรถนะจะออกมาเป็นเช่นไร? เรายังคงทำการทดลองจับเวลาในตอน
กลางคืนตามมาตรฐานเดิมของเรา คือ เปิดแอร์ นั่ง 2 คน น้ำหนักตัวไม่เกิน 170
กิโลกรัมเปิดไฟหน้า และผลที่ได้ เมื่อเทียบกับคู่แข่ง มีดังนี้

ecosport_1

ตัวเลขที่ออกมา โดยส่วนตัว ผมมองว่าเป็นไปตามที่คาดไว้ เพราะ Fiesta เครื่อง
1.6 ลิตร ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ 12.67 วินาที แต่เจ้า EcoSport
นั้นใช้เครื่อง 1.5 ลิตร และยังต้องแบกตัวถังที่ใหญ่และหนักกว่า Fiesta ทำให้ตัวเลข
ที่ออกมาช้ากว่า Fiesta เกือบ 1 วินาที แต่อัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
กลับช้ากว่า Fiesta เพียงแค่ 0.1 วินาที อันนี้แปลกดี

เมื่อลองมาเปรียบเทียบกับคู่แข่งในระดับ B-Segment Crossover ด้วยกัน EcoSport
ทำตัวเลขออกมาได้ช้าที่สุด แต่ก็เป็นไปตามขนาดของตัวถังและเครื่องยนต์ รวมไปถึง
ระบบส่งกำลัง เพราะอย่าง Juke ที่ได้เกียร์ CVT มาช่วยในเรื่องการเร่งแซง และ HRV
ที่วางเครื่อง 1.8 ลิตร แถมยังมาจับคู่กับเกียร์ CVT ทำให้ตัวเลขเจ้านั้นเขาขึ้นนำโด่งเป็น
อันดับ 1 ในรถยนต์พิกัดนี้ทั้งหมด

ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น ช่วงออกตัว เข็มความเร็วจะไต่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในระดับเกือบเทียบกับรถยนต์ 1.5 ลิตร ทั่วๆไป แต่พ้นช่วง 140 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ไปแล้ว ตัวรถจะเริ่มไต่ขึ้นไปช้าลงนิดนึง และเมื่อพ้น 160 กิโลเมตร/
ชั่วโมงแล้ว เข็มจะไต่ช้าลงอย่างชัดเจน ต้องใช้เวลาพักหนึ่ง กว่าจะแตะถึง
ระดับ 181 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 5,700 รอบ/นาที

ขอย้ำกันเหมือนเช่นเคยว่า เรายังคง มีจุดยืนที่จะไม่สนับสนุนให้ใครก็ตาม
ที่อ่านบทความนี้จบแล้ว ไปทดลองหาความเร็วสูงสุดกันเอาเอง เพราะอาจ
ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตตนเอง และเพื่อนร่วมทาง ซึ่งการขับรถที่เร็วจน
เกินกฎหมายกำหนด ก็ถือเป็นความผิดทางกฎหมายจราจรอีกด้วย

2015_02_Ford_EcoSport_Engine_03_Top_Speed

ในการขับขี่จริง ตอนแรกก็คิดไว้ว่าตัวรถน่าจะอืดพอสมควร แต่พอนำมาขับขี่
ใช้งานจริงๆ อัตรเร่งของเครื่องยนต์ 1.5 ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด อัตราเร่ง
ของรถมีเรี่ยวแรงพอที่จะแซงบรรดาพวกช้าแข่ขวาหรือรถบรรทุกที่อยู่ข้างหน้า
ได้อย่างไม่ยากเย็น เพียงแต่ต้องกะระยะและประมาณกำลังของรถให้ดีๆ
แต่ยังไงก็ตามมันก็อืดที่สุดในบรรดารถ B-segment Crossover นั่นแหละ

สำหรับใครก็ตามที่เท้าขวาไม่ค่อยหนัก ผมคิดว่าอัตราเร่งที่รถคันนี้ทำได้
ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือเดินทางไกล เพราะ
ขนาดผมกดเร่งแซงขณะวิ่งอยู่ที่ความเร็ว 120 พละกำลังของเครื่องก็ยังมี
มาให้ใช้งานได้แบบไม่ขาดสาย แต่ใครที่คิดว่าเท้าหนักอาจจะต้องทำใจ
พอสมควรเลยละ ถ้าคุณท่องเอาไว้ในใจว่านี่คือเครื่อง 1.5 ลิตรจาก Fiesta
ที่แบกตัวถังขนาดใหญ่ขึ้น เข็มวัดรอบที่กวาดขึ้นไปขณะเหยียบหรือ กระทืบ
คันเร่งจนมิดไปถึงตัวถัง จะทำให้คุณรู้สึกว่า “มันก็ไม่ได้แย่นี่หว่า แต่แค่ควร
จะแรงกว่านี้สักหน่อย น่าจะทำให้ขับสนุกขึ้น”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เลวร้ายมากสุดของ EcoSport ไม่ใช่เครื่องยนต์ แต่มัน
คือเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch PowerShift(หาย) ที่ลูกค้า Ford Fiesta
และ Focus ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านเรา คุ้นเคยกันดี

ทุกอาการอันไม่พึงประสงค์ ซึ่งเราเคยพบใน Fiesta 1.6 และ 1.4 ลิตร มัน
ก็ยังปรากฎให้พบใน EcoSport เหมือนกันไม่มีผิด!

อาการที่ไม่พึงประสงค์อย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเกียร์คลัทช์คู่ Powershift
6 จังหวะ ที่ผมและพี่จิมมี่เจอมาคือ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเหยียบคันเร่งจนมิด
เพื่อเร่งแซงรถที่อยู่ข้างหน้า และถอนคันเร่งเพื่อจะกลับเข้าเลนซ้ายเหมือนเดิม
แต่ทันใดนั้น คุณเห็นจังหวะที่จะแซงได้อีกคันเพื่อให้พ้นจากรถที่คอยขับช้า
ขวางทางคุณอยู่ คุณก็กระทืบคันเร่งอีกรอบ เพื่อที่จะเรียกกำลังของเครื่อง
อีกครั้ง เกียร์จะเกิดอาการ นิ่ง อึ้ง ทึ่ง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นเวลา 2 วินาที
ก่อนที่จะสำเหนียกได้ว่าคนขับต้องการกำลังของเครื่องที่มากขึ้น จึงค่อยเปลี่ยน
เกียร์ลงมาเพื่อให้ตัวรถทะยานไปข้างหน้า แต่กว่าจะมาก็สายไปเสียแล้ว รถ
บรรทุกที่กำลังวิ่งสวนเลนมา กำลังเข้าใกล้มากขึ้นด้วยความเร็ว จนทำให้
ผมต้องถอนคันเร่งและหักพวงมาลัยกลับเข้าเลนของตัวเองเหมือนเดิม

หรือพูดให้เข้าใจแบบง่ายๆคือจังหวะที่คุณเหยียบคันเร่งแบบ เร่ง-ยก-เร่ง
เกียร์จะงงกับคำสั่งนานพอสมควร กว่าจะตัดสินใจทำตามคำสั่งที่ถูกต้อง

และอาการแบบนี้ ทั้งผมและพี่จิมมี่เจอมาแล้วรวมกันถึง 3 รอบ!!!

อาการเกียร์กระตุกอันเลื่องชื่อลือชา ก็ยังพบเจอได้อยู่เหมือนเดิมเช่นกัน
ทั้งๆที่ตัวเลข Odometer เพิ่งจะอยู่ที่ 17200 กิโลเมตรเท่านั้น แต่รถคันแรกที่
ผมนำมาทดสอบ ตัวเลขที่ Odometer ยังอยู่ที่หลักพัน กลับไม่มีอาการกระตุก
ให้เห็นเลย

การเก็บเสียงในห้องโดยสารทำได้ดีกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย เสียงลมที่เข้ามาใน
ห้องโดยสารน้อยกว่าคู่แข่งอย่าง Juke ประมาณหนึ่ง ไม่ว่าจะวิ่งด้วยความเร็ว
ที่สูงถึง 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียงลมที่เข้ามาในห้องโดยสาร ยังน้อยกว่า
เสียงยางที่กำลังบดไปกับถนนและเสียงครวญครางของเครื่องยนต์เสียอีก

ส่วนการเก็บเสียงจากพื้นรถ ทำได้ค่อนข้างแย่ เสียงยางที่ดังเข้ามาในห้อง
โดยสาร อยู่เกณฑ์ดังเอาเรื่อง ทำให้บรรยากาศในการเดินทางเสียอรรถรส
ไปพอสมควร ขณะที่การเก็บเสียงจากเครื่องยนต์ก็ดังไม่แพ้กัน แต่ยังอยู่
ในระดับที่พอรับได้อยู่ ถ้าไม่ใช่ตอนเร่งแซงด้วยความเร็วสูง

พวงมาลัยเป็นแบบ แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยระบบไฟฟ้า
EPAS (Electronic Power-Assisted Steering) ที่คม เบา และไว เหมาะกับ
การมุดในเมืองในช่วงความเร็วต่ำได้อย่างคล่องตัว ให้ความรู้สึกว่าเป็น
พวงมาลัยไฟฟ้าชัดเจนก็จริง แต่มีชีวิตชีวาและเป็นธรรมชาติมากกว่า March
กับ Almera พอสมควร

ในขณะเดียวกัน ระยะฟรีของพวงมาลัยในช่วงไม่กี่มิลลิเมตรแรกที่เริ่มหักเลี้ยว
ตัวรถจะไม่ค่อยตอบสนองใดๆเลย แต่เมื่อหักพวงมาลัยเพิ่มอีกนิดเดียว ตัวรถจะ
เลี้ยวไปตามทิศทางของพวงมาลัยอย่างรวดเร็ว และอาการนี้เป็นทั้งความเร็วต่ำ
และความเร็วสูง

แน่นอนว่าพวงมาลัยที่ไวขนาดนี้ มันก็มีทั้งด้านดีและด้านด้อย ถ้าใครที่ยัง
เป็นมือใหม่ หรือยังไม่ค่อยคุ้นกับพวงมาลัยรถคันนี้ ผมขอแนะนำให้ค่อยๆ
ขับไปอย่างช้าๆ และลองหมุนพวงมาลัยเปลี่ยนเลน เพื่อเรียนรู้และดูบุคลิก
ของมัน แล้วจะใช้ชีวิตกับมันได้อย่างมีความสุข แต่ถ้าคุณยังไม่ชินกับ
พวงมาลัยที่ไวขนาดนี้ แล้วเผลอไปเปลี่ยนเลนหรือหักหลบสิ่งกีดขวางที่อยู่
ข้างหน้าอย่างกระทันหัน แม้ใช้ความเร็วไม่สูงนัก ก็มีโอกาสที่รถจะเสียการ
ทรงตัวและพลิกคว่ำได้ อย่าลืมว่ารถที่คุณขับอยู่นี้ มันสูงกว่ารถเก่งทั่วไปอยู่
พอสมควรนะ

ในช่วงเดินทางไกล พวงมาลัยจะเพิ่มน้ำหนักขึ้นตามความเร็วรถ ในระดับที่เกือบ
จะพอดี ในช่วงการหักเลี้ยวเพื่อแซงหรือเปลี่ยนเลน ทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น
ไม่ต้องเกร็งข้อมือหรือแขนตลอดเวลาจนปวดเมื่อย แต่ถ้าเป็นไปได้ อยากขอเพิ่ม
ทั้งน้ำหนักและความหนืดของพวงมาลัยอีกนิดเดียว

ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบ อิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็ก
กันโคลง  ส่วนด้านหลัง เป็นแบบกึ่งอิสระ Torsion Beam คอยล์สปริง ที่ยังคง
บุคลิกความเป็น Ford ไว้อย่างเหนียวแน่น

ในช่วงความเร็วต่ำขณะขับขี่คลานไปตามสภาพการจราจร หรือมุดไปตามตรอก
ซอกซอย แสดงอาการตึงตังในแบบที่รถเล็กจากยุโรปส่วนใหญ่เป็นกัน ช่วงล่าง
พยายามซับแรงสะเทือนเท่าที่มันจะทำได้ กระนั้น เราก็ยังคงรับรู้ถึงขนาดของ
ก้อนกรวดและหลุมบ่อ ฝาท่อและเนินสะดุด ที่เรากำลังขับผ่านได้ชัดเจนอยู่ดี

ในช่วงความเร็วสูง ช่วงล่างที่เซ็ตมาหนึบแน่นตามสไตล์ของ Ford ช่วยเพิ่มความ
มั่นใจให้ผมได้ดี แม้ว่าจะวิ่งด้วยความเร็วที่สูงถึง 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยที่ตัวรถ
ไม่แสดงอาการแกว่งข้างหรือโคลงไปมา แม้จะวิ่งอยู่บนถนนที่เป็นลอนคลื่น และถ้า
จะให้พูดความจริงคือ มันดีกว่าช่วงล่างของคู่แข่งอย่าง Honda HR-V เสียอีก

อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่คิดว่าเจ้า EcoSport จะทำได้ คือทั้งผมและพี่จิมมี่สามารถคลายมือ
จากพวงมาลัยหลวมๆ ที่ความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ถึง 5 วินาที โดยที่ไม่
กังวลหรือกลัวเลย นั่นแสดงให้เห็นว่าตัวรถตั้งศูนย์ถ่วงล้อมาได้ค่อนข้างดี

การสาดโค้งในช่วงความเร็วสูงบนทางด่วนในจุดที่พี่จิมมี่มักจะลองเป็นประจำ
ในยามดึก ผมสามารถใช้ความเร็วได้ถึง 90 – 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั่นแสดง
ให้เห็นว่า ช่วงล่างให้การยึดเกาะถนนที่ดี แม้ว่าตัวรถจะเอียงออกทางด้านข้าง
ค่อนข้างเยอะในสไตล์รถยกสูง และตัวช่วงล่างจริงๆสามารถพาคุณเข้าโค้ง
ได้เร็วกว่านี้อีกนิดนึง

แต่สิ่งที่ทำให้ต้องถอนคันเร่งและคอยเลี้ยงพวงมาลัยเฉยๆคือยาง Goodyear
Assurance Fuel Max ที่ติดมาจากโรงงาน เพราะตัวแก้มยางหนาและเป็นยาง
ที่เน้นการประหยัดน้ำมัน เหมาะกับการใช้งานแบบบ้านๆทั่วไป มากกว่าการรีด
สมรรถนะของรถยนต์ ถ้าได้ยางทีดีกว่านี้ น่าจะเข้าออกโค้งได้เร็วกว่านี้

ระบบห้ามล้อ เป็นแบบ หน้า – ดิสก์เบรก หลัง-ดรัมเบรก พร้อมตัวช่วยมาตรฐาน ทั้ง
ระบบป้องกันล้อล้อก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรก
ตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronics Brake Force Distribution) ติดตั้งมาให้ครบ
ทุกรุ่น โดยมีระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล Traction Control และ
ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP (Electrinics Stability Program) พร้อมระบบช่วย
การออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA (Hill Launch Assist) แถมมาให้ตั้งแต่รุ่น
Ambiente เกียร์อัตโนมัติ

การตอบสนองของระบบเบรคในภาพรวม ถือว่าทำได้ไม่เลว สามารถหน่วงความ
เร็วลงได้อย่างฉับไว และมั่นใจ ในระดับที่รถบ้านๆทั่วไปพึงจะเป็น

ในช่วงความเร็วต่ำ การชะลอรถระหว่างคลานไปตามสภาพการจราจรในเมือง
จะว่า Linear ก็ไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบนัก เพราะการคลานในเมืองส่วนใหญ่ เราจะ
กดแป้นเบรคกันไม่ค่อยลึกอยู่แล้ว ทำให้การหยุดรถเป็นไปด้วยความนุ่มนวล
แต่ถ้ามีเหตุให้ต้องเหยียบเบรคกระทันหัน ตัวรถก็จะเพิ่มน้ำหนักในการเบรคจน
กลายเป็นหน้าจิกมากกว่านุ่มนวล

ระยะของแป้นเบรคถือว่าสั้นกว่ารถทั่วไปนิดหน่อย แต่ในแง่ของการใช้งาน ถือว่า
กำลังดี ไม่ตื้นหรือลึกจนเกินไป เซ็ทมาให้หน่วงความเร็วลงอย่างช้าๆในช่วง 20%
แรกที่กดแป้นเบรคลงไป แต่เมื่อกดให้ลึกกว่านั้น คาลิปเปอร์จะเพิ่มแรงจับกับจาน
เบรคอย่างชัดเจน จนตัวรถจิกไปข้างหน้า ยิ่งกดลึกมากเท่าไหร่ หน้ารถก็ยิ่งจิก
มากขึ้นเท่านั้น จิกมากกว่ารถทั่วไปพอสมควร

ฟังดูมันก็ดีอยู่หรอกครับ แต่อย่าไปเผลอชลอรถในระหว่างเข้าโค้งก็แล้วกัน เพราะ
ทั้งผมและพี่จิมมี่ได้เจอกับตัวเองว่า เมื่อกำลังเข้าโค้งด้วยความเร็ว แล้วมีเหตุที่ทำให้
ต้องชลอรถระหว่างการเข้าโค้ง สัมผัสแรกที่กดแป้นเบรค จะรู้สึกว่ารถหน่วงความเร็ว
ลงไม่พอ จนทำให้ต้องกดแป้นเบรคลงไปเพิ่มแค่นิดเดียว แต่การทำแบบนั้นทำให้ตัว
รถออกอาการหน้าจิกจนท้ายเริ่มเหวี่ยงออกข้าง ทำให้ต้องรีบถอนเท้าออกจากแป้นเบรค
แล้วคืนพวงมาลัยหน่อยๆ เพื่อแก้อาการท้ายออก ไม่เช่นนั้นตัวรถอาจจะไปชนขอบทาง
ก็เป็นได้

2015_02_Ford_EcoSport_2015_02_Ford_EcoSport_Safety_1
batch_Screen Shot 2558-06-16 at 7.01.31 PM

ด้านความปลอดภัย Ford EcoSport เป็นอีกรุ่นนึงที่ใช้เหล็กโบรอน ที่มีความแข็งแรง
กว่าเหล็กทั่วไปมากถึง 4 เท่า และยังสอบผ่านมาตรฐานการชนจาก Euro NCAP
ของยุโรป ในระดับ 4 ดาวจากคะแนนเต็ม 5 ดาวโดยได้คะแนนการปกป้องผู้ขับขี่
และผู้โดยสารด้านหน้า 93% การปกป้องผู้โดยสารบนเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก 77%
ปกป้องคนเดินถนน 58%

รายละเอียดเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ตามลิงค์นี้ คลิกที่นี่

อย่างไรก็ตาม รถที่ทำการทดสอบจนผ่านมาตรฐานนี้ ติดตั้งถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านถุงลมนิรภัย
มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานด้วย ซึ่งแตกต่างจากรถที่จำหน่ายในบ้านเรา ที่จะมีแค่ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
เท่านั้น

2015_02_Ford_EcoSport_Fuel_Consumption_1

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

เราทำการทดลองด้วยมาตรฐานดั้งเดิมของเว็บเรา ด้วยการนำรถไปเติมน้ำมัน
เบนซิน 95 Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ริมถนนพหลโยธิน ใกล้สถานี
รถไฟฟ้า BTS อารีย์ ในช่วงกลางคืน

ตามธรรมเนียมแล้ว รถที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 ซีซี ราคาไม่เกิน 1.3
ล้านบาท หรือรถกระบะ เราจะต้องเขย่ารถและอัดกรอกน้ำมันลงถังให้ได้มากที่สุด
จนกระทั่งน้ำมันเอ่อออกมาถึงคอถัง เพื่อลดความเพี้ยนของตัวเลขการทดลองให้
น้อยที่สุด แต่เราทำแบบนั้นกับ EcoSport ไม่ได้ เพราะปากช่องคอถังน้ำมัน มี
แผ่นเหล็กคล้ายๆกับลิ้นนิรภัยคอยทำหน้าที่ปิดกันสิ่งต่างๆไม่ให้เข้าไปในถังน้ำมัน

เราจึงใช้วิธีที่ง่ายที่สุดที่เคยทำมาแล้วกับ Fiesta รวมไปถึง Honda City
และ Jazz นั่นคือ การเติมน้ำมันเต็มถัง เอาแค่หัวจ่ายตัดก็พอ ไม่ต้องเขย่า ไม่ต้องกรอก
น้ำมันลงไปมากกว่านี้

2015_02_Ford_EcoSport_Fuel_Consumption_2

จากนั้น เราจะใช้วิธีการดั้งเดิม คือ ขับออกจากปั้ม เลี้ยวกลับที่ถนนพหลโยธิน เข้า
ซอยอารีย์ เลี้ยวขวาลัดเลาะไปออกซอยโรงเรียนเรวดี ถนนพระราม 6 ขึ้นทางด่วน
ที่ด่านพระราม 6 แล้วก็ ขับรถกันไปยาวๆ จนถึงปลายสุดของระบบทางด่วน สาย
อุดรรัถยา เลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วนสายเดิม มุ่งหน้าย้อนกลับเข้ากรุงเทพฯ โดยใช้
ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน ตามมาตรฐานเดิม

ผู้ร่วมทดลองในคราวนี้ คือตัวผมเอง Pao Dominic สมาชิก The Coup Team
ที่ร่วมทดลอง อัตราสิ้นเปลือง ระยะหลังๆมาตลอด ส่วนผู้ขับทดลอง ยังคงเป็นพี่
J!MMY ที่ยังคงจับจองตำแหน่งพลขับแบบนี้ไปเหมือนเช่นเคย

เจ้าตัวบอกว่า “กลัวคุณผู้อ่านจะไม่เชื่อถือผลที่ออกมา เลยขอขับเองตามเดิม”

เมื่อถึง ทางลง จากทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน
เลี้ยวกลับที่ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex
พหลโยธิน กันอีกครั้ง เพื่อเติมน้ำมัน เบนซิน 95 Techron ให้เต็มถัง เอาแค่เพียง
ให้หัวจ่ายตัดก็พอ เหมือนครั้งแรกที่เริ่มต้นทดลอง

2015_02_Ford_EcoSport_Fuel_Consumption_3

และจากนี้ คือตัวเลข ที่ EcoSport 1.5 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 6DCT ทำได้จริง…

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 93.9 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.22 ลิตร
คำนวนแล้ว ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉี่ย 15.09 กิโลเมตร/ลิตร

ecosport_2

ถ้าเปรียบเทียบกับคู่แข่งในกลุ่ม Small Crossover SUV ด้วยกันทั้งหมดแล้ว
EcoSport ประหยัดน้ำมันเป็นอันดับที่ 2 รองลงมาจาก HR-V เพราะรายนั้น
ต้องยกคุณงามความดีให้ทั้งเกียร์ CVT และการออกแบบให้ตัวรถลู่ลมกว่า
EcoSport แต่ถือว่า ทำผลงานออกมาได้ดีกว่าที่เราคิดไว้ เพราะตอนแรกทั้ง
พี่จิม พี่แพน และผมลงหวยเอาไว้ว่าเจ้า EcoSport น่าจะกินน้ำมันกว่า Juke แต่
ผลที่ออกมาคือ Juke กินน้ำมันมากกว่าซะงั้น

2015_02_Ford_EcoSport_2015_02_Ford_EcoSport_Fuel_Consumption_5
2015_02_Ford_EcoSport_2015_02_Ford_EcoSport_Fuel_Consumption_6

คำถามที่หลายคนสงสัยก็คือ น้ำมัน 1 ถัง จะพาคุณแล่นไปได้ไกล แค่ไหน?
คำตอบก็คือ หลังจาการเติมน้ำมันเต็มถัง มีการขับขี่ทั้งตอนกลางวันและ
กลางคืน เจอทั้งสภาพการจราจรที่หนาแน่นและโล่ง และต้องขับทางไกล
เพื่อไปสุพรรณบุรี มีทั้งคลานตามกันไป ทั้งกดตอนถนนโล่ง เมื่อแล่นไปถึง
464.6 กิโลเมตร ตาม Trip Meter เรายังเหลือน้ำมันในพอที่จะแล่นได้อีก
50 กิโลเมตร ตามมาตรวัดบนหน้าปัดนั่นหมายความว่า น้ำมันหนึ่งถังถ้าขับ
แบบเจอสภาพการจราจรทุกรูปแบบ น่าจะทำตัวเลขได้อยู่ที่ 500 กิโลเมตร
แต่ถ้าหากขับทางไกลเนียนๆ หรือเป็นคนที่ไม่เหยียบคันเร่งหนักมาก ตัวเลข
อาจจะอยู่ที่ 550 กิโลเมตรต่อน้ำมัน 1 ถัง

2015_02_Ford_EcoSport_05

********** สรุป **********
Sub-compact Crossover ที่คล่องตัวในเมือง เอนกประสงค์ทุกการใช้งาน
แต่ขอเครื่องยนต์ EcoBoost กับเกียร์ใหม่ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น!

มาถึงตรงนี้คุณคงจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าเจ้าปลาปักเป้าพองลมตัวกระเปี๊ยก
นี่ มีข้อดีมาพอให้คุณละใบจอง Honda HR-V กำเงินมาดาวน์รถคันนี้ หรือเลือก
ที่จะไปมองคู่แข่งอย่าง Juke หรือรถคันอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ในพิกัดนี้

แต่สำหรับผม การนำเจ้า EcoSport มาลองใช้ชีวิตเป็นเวลา 1 สัปดาห์เต็ม ทำให้ผม
เริ่มมองเห็นข้อดีหลายๆข้อที่คู่แข่งอย่าง Juke ทำไม่ได้ เช่นพื้นที่เบาะโดยสารแถว
ที่สอง ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง ห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายที่ใช้สอยได้อรรถ
ประโยชน์จากเบาะที่พักได้หลากหลายรูปแบบจนสามารถขนเครื่องซักผ้ากลับบ้านได้
(ผมไม่ได้ขนจริงๆหรอกนะ แค่ดูจากในรูปที่ Ford ส่งมาให้นั่นแหละ)

ไม่เพียงเท่านั้น EcoSport ยังคงมีช่วงล่างที่ดีเด่นในสไตล์ของรถแบรนด์ยุโรป (ถึงแม้
ว่าจะพัฒนาแถวๆ Brazil ก็ตาม) จน HR-V ต้องหันมามองค้อน อีกทั้งยังมีระบบ
ช่วยเหลือด้านความปลอดภัยที่ให้มาเพียงพอต่อการป้องกันและปกป้องเจ้าของรถและ
ผู้โดยสารทั้งคัน ให้มีชีวิตรอดจนสมารถผ่อนรถได้ครบทุกงวดที่ไฟแนนซ์กำหนด

ที่สำคัญ การที่ตัวรถมีขนาดเหมาะสม ช่วยทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกคล่องตัวขณะใช้งานในเมือง
ไม่ว่าจะเลี้ยวลัดเลาะตรอกซอกซอย ปีนฟุตบาท(เตี้ยๆ)พอได้บ้าง รวมไปถึงพวงมาลัย
ที่มีความไวและคมต่อการลัดเลาะไปตามสภาพการจราจรในเมืองใหญ่

ในภาพรวมผมยืนยันได้ว่า EcoSport ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสมตามโจทย์ที่
ทีมออกแบบและวิศวกรของ Ford ตั้งใจให้มันเป็น ยิ่งด้วยการสร้างรถคันนี้บนพื้นฐานของ
Ford Fiesta ดังนั้นทุกบุคลิกด้านดีของ Fieata จึงถูกถ่ายทอดมาให้ EcoSport อย่างไม่มีกั๊ก

2015_02_Ford_EcoSport_06

แล้วข้อเสียกับสิ่งที่ต้องปรับปรุงของมันล่ะมีอะไรบ้าง?

1. ยกเครื่องยนต์ Zigma ลูกนี้ออกแล้วจับเครื่องยนต 1.0 ลิตร EcoBoost ใส่แทน
เพื่อเพิ่มพละกำลังและจุดขาย ให้ตัวรถดูน่าซื้อขึ้น เพราะลำพังเครื่อง 1.5 ลิตร จาก
Fiesta ถือว่าอืดเกินไปสำหรับตัวถังที่ใหญ่ขนาดนี้

(ได้ยินมาว่าในปลายปีนี้ Ford เตรียมทำตามเสียงเรียกร้องของพี่น้องชาวไทย
ด้วยการนำเครื่องยนต์ EcoBoost 1.0 ลิตร มาสถิตย์อยู่ใต้ฝากระโปรง EcoSport
สักที)

2. แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเกียร์ Dual Clutch อันแสนจะฉลาดล้ำหลุดโลก ไม่ว่าจะ
เป็นเกียร์ทำตัวเอ๋อๆเหมือนเด็กขาดแร่ธาตุไอโอดีน หรือแม้แต่อาการชักกระตุก
ของเกียร์เหมือนคนเป็นโรคลมชัก ไม่เช่นนั้นก็เปลี่ยนไปใช้เกียร์แบบอื่นที่ดูจะเข้า
ท่าเข้าทางกว่านี้น่าจะดีกว่า

(แต่ก็ได้ยินมาอีกว่า Ford รู้ตัวมาซักพักแล้วว่าเกียร์ลูกนี้ มันออกฤทธิ์เดชก่อปัญหา
ไว้เยอะมากจนพวกเขากลับไปใช้เกียร์อัตโนมัติแบบปกติ ในรถเก๋งรุ่นใหม่ๆที่จะ
ขายในบ้านเรา ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป)

3. ปรับแก้ระยะฟรีของพวงมาลัยในช่วงไม่กี่มิลลิเมตรแรกที่หักพวงมาลัย ให้น้อยลง
กว่านี้ พร้อมกับเพิ่มความหนืดและน้ำหนักในย่านความเร็วสูงอีกนิดเดียว และลด
ความไวของพวงมาลัยให้ช้าลงอีกหน่อย ผมเข้าใจว่าวิศวกรตั้งใจเซ็ตมาแบบนี้
เพื่อให้ใช้งานในเมืองได้อย่างคล่องตัว แต่ผมขอถามหน่อยครับว่า แล้วทางด่วนนี่
มันไม่ใช่ในเมืองหรอครับ?

4. ปรับปรุงการตอบสนองของระบบเบรคให้มีความ Linear มากกว่านี้ โดยที่เบรค
ต้องไม่จิกมากจนเกินไป แต่ยังสามารถเบรคได้อย่างมั่นใจ และเอาอยู่

5. เปลี่ยนงานดีไซน์ของแผงประตูใหม่ ให้สามารถวางแขนได้สบายกว่านี้ รวมไปถึง
เลื่อนตำแหน่งของสวิตช์กระจกไฟฟ้าให้ใกล้มือมากกว่านี้ เพราะผมชอบเผลอไปกด
กระจกหน้าต่างประตูบานขวาหลังลงเสมอๆ เวลาจะจ่ายเงินค่าทางด่วนถ้าไม่ก้มลง
มามองปุ่มกด

6. ปรับปรุงงานออกแบบเบาะนั่งของผู้โดยสารคู่หน้า ให้เพิ่มความสบายในการ
เดินทางมากกว่านี้ เพราะต่อให้ตัวเบาะจะนั่งสบายกว่า Fiesta แต่มันก็ยังไม่ทำให้
เกิดสุนทรียภาพระหว่างการเดินทางเท่าไหร่นัก เมื่อเทียบกับเบาะนั่งของ HR-V

รวมไปถึงเบาะของผู้โดยสารด้านหลังที่เรียบแบน ให้เพิ่มปีกเบาะและส่วนโอบรับ
ที่มากกว่านี้

และควรเพิ่มความนุ่มพนักพิงศรีษะ ที่เอานิ้วกดลงไปเหมือนจะนุ่ม แต่พอเอาหัวโขก
เข้าจริงๆถึงกับเจ็บเอาเรื่องเลยละ

7. แก้ปัญหาเสา A-Pillar ที่หนาและบดบังมุมมองด้านหน้ารถจนเกินเหตุ ให้กับรถ
รุ่นต่อไป

8. เปลี่ยนทิศทางการเปิดประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ให้เหมาะสมกับลักษณะ
การใช้ของคนไทย และบรรดาตลาดที่ใช้รถยนต์พวงมาลัยขวาด้วย

9. มือจับศาสดาที่ Ford ก็ยังยืนยันนอนยันไม่ใส่มาให้ งั้นผมก็ยังต้องพูดเหมือนเดิม
ว่าใส่มาให้เถอะนะ เพื่อลูกค้าที่ซื้อรถไปใช้งานจะได้สบายใจ ต้นทุนคงไม่หนีไป
กว่ากันซักเท่าไหร่หรอก

2015_02_Ford_EcoSport_07

แล้วถ้าต้องเทียบกับคู่แข่งจากค่ายอื่นล่ะ?

ในตลาดกลุ่มนี้ มันก็มีทางเลือกเพียงแค่ 2 รุ่นนี่เท่านั้นแหละครับ

Honda HR-V เพียบพร้อมด้วยพละกำลังและอัตราการกินน้ำมันที่ประหยัด
ที่สุดในกลุ่ม เป็น Sub-compact Crossover ที่ทำมาเพื่อคนทุกเพศทุกวัย ซึ่ง
ไม่ได้เน้นลุยหนัก แต่มีช่วงล่างตึงตังในความเร็วต่ำและนิ่มเกินไปในความ
เร็วสูง นอกนั้นต้องยอมรับกันเลยว่า มันเป็น Sub-compact Crossover SUV
ที่ดีที่สุด จบที่สุด ในตลาดบ้านเรา ณ เวลานี้

Nissan Juke รถยนต์สำหรับคนโสดหรือคนมีแฟน หลากหลายอายุตั้งแต่
นิสิต นักศึกษา ไปจนถึงส.ว. (สูงวัย) ไม่เหมาะกับการขนของหรือมีผู้โดยสาร
ตอนหลัง เพราะงานออกแบบ “จงใจให้คับแคบ” และอัตราสิ้งเปลืองเชื้อเพลิง
ที่กินมากกว่าใครเพื่อน แต่ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แลกมาด้วยช่วงล่าง
หนึบแน่น มีชีวิตชีวา และมั่นใจที่สุดในบรรดาคู่แข่ง การบังคับรถเป็นไป
ตามสั่ง รวมไปถึงรูปลักษณ์ที่สวยแปลกและแหวกแนวจนเปรี้ยวเยี่ยวราด
เหมือนผู้หญิงวัยรุ่นตอนปลายใส่ชุดราตรีทาลิปสติกปากสีแดงฉ่ำแบบ Glossy

แล้วถ้าตัดสินใจได้แล้วว่า Ford EcoSport น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับ
คุณ คำถามต่อมาคือ รุ่นย่อยไหน จึงจะเหมาะสมกับคุณมากที่สุด?

Ford EcoSport เวอร์ชั่นไทย มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย มีราคาค่าตัว ดังนี้

Ford EcoSport Ambient M/T……………674,000
Ford EcoSport Ambient A/T…………….714,000
Ford EcoSport Trend A/T………………..764,000
Ford EcoSport Titanium A/T……………844,000

เริ่มต้นจากรุ่น Ambient M/T ที่ถึงแม้การตกแต่งภายนอกจะดูโล้นและไม่ค่อย
หรูนัก กรอบกระจกมองข้าง และมือจับประตูกลายเป็นสีดำ ไม่ใช่สีเดียวกับตัวถัง
กระจังหน้าเป็นสีดำ ล้อกระทะเหล็กพร้อมฝาครอบขนาด 15″ ไม่มีราวหลังคาและ
ไฟตัดหมอกมาให้ แต่มีเครื่องเสียง 4 ลำโพงพร้อมช่องต่อ AUX เบาะแถวหลัง
ปรับเอนและพับได้แบบแยกส่วน 60:40 พร้อมอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ถุงลม
นิรภัยคู่หน้าระบบเบรค ABS EBD กุญแจรีโมทนิรภัยและสัญญาณกันขโมย

ถ้าเป็นรุ่น Ambient A/T จะเพิ่มระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP พร้อม
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
จากโรงงาน เรียกได้ว่าสวยแบบงบน้อย แต่ปลอดภัยเหมือนรุ่นใหญ่

เขยิบขึ้นมารุ่น Trend ที่ต้องเพิ่มงบประมาณในมืออีก 50,000 แต่ได้กระจังหน้า
สีเงิน กรอบกระจกมองข้าง และมือจับประตูสีเดียวกับตัวถัง ล้อแม็กขนาด 16″
ราวหลังคาสีดำและไฟตัดหมอกกรอบสีดำ อุปกรณ์ความบันเทิงและอำนวย
ความสะดวกเพิ่มขึ้นมาอย่าง ชุดเครื่องเสียง 6 ลำโพงพร้อมช่องต่อ AUX และ
USB และสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงที่พวงมาลัย เบาะนั่งฝั่งคนขับปรับได้ 6 ทิศทาง
พร้อมทั้งวัสดุหุ้มเบาะเป็นผ้าเกรดพรีเมี่ยม กระจกไฟฟ้าขึ้น-ลงอัตโนมัติฝั่งคนขับ
และมีช่องเก็บแว่นตามาให้

ในความคิดผมรุ่น Trend ดูจะเป็นรุ่นที่ดูน่าคบหาที่สุด ด้วยค่าตัวเกาะกลุ่มอยู่กับ
รถยนต์ B-Segment แต่ได้รถยกสูงเอาไว้ลุยน้ำท่วม ที่เอนกประสงค์พร้อมทั้ง
อุปกรณ์ความบันเทิงและความปลอดภัยอย่างครบครัน

แต่ถ้าใครที่คิดว่า ซื้อรถทั้งทีก็ต้องซื้อรุ่นท็อปสิ ก็ต้องหันมามองรุ่น Titanium
ที่ราคาค่าตัวโดดขึ้นมาจากรุ่น Trend อีก 80,000 บาท แต่ได้การตกแต่งและ
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้นจนครบครัน ไม่ว่าจะเป็น หลังคา Sunroof
เปิด-ปิดด้วย สวิตช์ไฟฟ้า กระจังหน้าโครเมียม ล้อแม็กลายพิเศษขนาด 16 นิ้ว
ราวหลังคาสีเงินและกรอบไฟตัดหมอกตกแต่งโครเมียม ระบบเปิด-ปิดไฟหน้า
และปัดน้ำฝนอัตโนมัติ กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ พวงมาลัย
และหัวเกียร์หุ้มหนัง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ กุญแจรีโมทแบบ Keyless-GO
และปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ วัสดุหุ้มเบาะเป็นหนังแท้สีดำ เบาะดันหลังและ
พนักเท้าแขนฝั่งคนขับ ไฟอ่านแผนที่ ช่องจ่ายไฟ 12V ที่เบาะแถวหลัง
เซ็นเซอร์กะระยะถอยหลัง

เรียกได้ว่า อัดแน่นเต็มคันรถเลยละครับ

2015_02_Ford_EcoSport_08

อย่างไรก็ตาม ต่อให้สมาชิกในบ้านของคุณลงมติว่าจะลองหันมาคบกับ EcoSport
สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นประเด็นสำคัญ อันไม่อาจจะทำเป็นเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ได้
นั่นคือการดูแลลูกค้าของโชว์รูมและศูนย์บริการ Ford ซึ่งยังคงมีชื่อเสียงเลื่องลือ
ระบือนาม ไปทั่วทั้งร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ว่าขาดความเอาใจใส่ต่อความรู้สึกของ
ลูกค้า ทำงานกันแบบลูบหน้าปะจมูก ให้ผ่านพ้นตัวแบบขอไปที ไม่ว่าจะเป็นงาน
ง่ายๆ อย่างตรวจเช็คตามระยะในสมุดรับประกัน หรืองานช้างอย่างการถอดรื้อ
เปลี่ยนเกียร์ PowerShift ทั้งลูก รวมทั้ง Protocol การเจรจาของบริษัทแม่
ในกรณีที่รถลูกค้าเจอปัญหา Defect เป็นเช่นนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ถ้าถามว่าเรายังพอจะมีหวังได้เห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นจาก Ford
หรือไม่?

ก็คงตอบได้ว่า ตั้งแต่ต้นปี 2014 เป็นต้นมา ผมได้ยินว่า Ford ตัดสินใจที่จะ
แก้ปัญหาคาราคาซังเหล่านี้ ด้วยการยกเครื่องบริการหลังการขายของตนใหม่
ในหลายๆประเด็น เช่นการคัดเลือกศูนย์บริการที่มีเสียงบ่นจากลูกค้าน้อยที่สุด
ราวๆ 4-5 แห่ง จากทั่วประเทศ เพื่อเป็นตัวอย่างให้ดีลเลอร์รายอื่นนำไปปรับปรุง
ศูนย์ฯและโชว์รูมของตนให้ดีขึ้น รวมทั้งพยายามแก้ปัญหาของเกียร์อัตโนมัติ
PowerShift ด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพโมดูลควบคุมเกียร์ หรือ TCM
ที่ผลิตระหว่างปี พ.ศ. 2553 – 2558 เป็น 10 ปี หรือ 240,000 กม อย่างใดอย่าง
นึงถึงก่อน ซึ่นนั่นหมายความว่า หากขับรถอยู่แล้วเกียร์มีปัญหาเมื่อใด ก็สามารถ
นำรถเข้าไปเคลมเปลี่ยนอะไหล่ชุดเกียร์ดังกล่าวได้เลย จากนี้ไปอีก 10 ปี นับตั้งแต่
วันที่ออกรถ และอื่นๆอีกมากมาย

พูดกันตามตรง ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาเพื่อจัดการด้วยวิธีการจัดการที่เหมาะสม
จะให้เปลี่ยนแปลงแบบปุบปับเลย ก็คงจะเป็นไปไม่ได้

ถ้าคุณรอได้หรือยังไม่รีบร้อนนัก อยากจะรอให้ Ford นำขุมพลัง EcoBoost
มาวางใน EcoSport รุ่นปรับโฉม Minor Change (นี่จะตั้งชื้อให้คล้ายกันไป
ไหนเนี่ย เรียกผิดเรียกถูกตลอดเลย) ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในบ้านเราปลายปี
2015 นี้กันก่อน ก็ย่อมได้

แต่ถ้ารอไม่ไหว มีเหตุจำเป็นต้องรีบใช้รถ หรือแม้แต่ขี้เกียจจะรออีกต่อไป
ลองถามตัวเองให้แน่ใจอีกครั้งว่า คุณรับได้กับข้อด้อยทั้งหมดที่ควรปรับปรุง
ตามที่ผมได้เขียนไว้ในรีวิวนี้ และเลยเถิดไปถึงบริการหลังการขายของ Ford
ซึ่งเป็นที่ชื่นชมของลูกค้าชาวไทยในเวลานี้ได้หรือไม่?

ถ้าคิดว่าทำใจยอมรับได้หรือมีศูนย์บริการที่รู้จักมักจี่ พอฝากผีฝากไข้ได้

ก็ให้คุณเดินเข้าโชว์รูมพร้อมกับเซ็นใบจองได้เลย เพราะมาถึงตรงนี้
ก็คงไม่มีใคร
ห้ามคุณได้อยู่แล้ว

ในเมื่อใจคุณนั่นรักรถคันนี้ไปหมดแล้วนี่ครับ

————————–///—————————

 

2015_02_Ford_EcoSport_09

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Ford Sales (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ

บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม

+ เจาะรถเด่น : เทียบ Spec-Option SubCompactSUV 3 รุ่น 3ยี่ห้อ แบบหมัดต่อหมัด

——————————————————————————–

Pao Dominic
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ เป็นผลงานของ ผู้เขียน
ส่วนลิขสิทธิ์ภาพถ่ายเป็นของ J!MMY
และ Ford Motor Company
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
19 มิถุนายน 2015

Copyright (c) 2015 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
June 19th,2015

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE