เมื่อพูดถึงรถยี่ห้อ Mercedes-Benz ถ้าคุณคุยกับคนไทยด้วยกัน จะพบว่าลูกเด็กเล็กแดงไปจนถึงวัยไม้ใกล้ฝั่งจะรู้จักกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือรถ หรือเป็นคนทั่วไปที่มองรถเป็นแค่ยานพาหนะสำหรับเดินทางจากจุด A ไปถึง B คนทั้ง 2 ประเภทนี้ ก็จะสามารถตอบได้ว่ามันคือรถยุโรประดับสูง มีราคาค่าตัวค่อนข้างแพงไปจนถึงแพงเฉียดขอบฟ้า ทำให้รถยนต์ของค่ายนี้ได้รับบทบาทอันหลากหลาย ตั้งแต่การเป็นรถใช้งานประจำวันของครอบครัวผู้มีอันจะกิน ไปจนถึงการเป็น “ความใฝ่ฝันขั้นสูง” หรือเป้าหมายในการใช้ชีวิตของคนบางกลุ่ม ทำนองว่าก่อนตายก็ขอให้ได้เป็นเจ้าของเบนซ์สักคันก่อน

สมาชิกในตระกูลฝั่งพ่อผมหลายคนก็เป็นแบบนั้น พ่อของผมโชคดีพอที่จะสามารถเป็นเจ้าของเบนซ์ใหม่ๆ 3 คันด้วยเอกสิทธิ์ละเว้นภาษี (เป็นรถป้ายทะเบียนฟ้า อ.02) เราใช้ชีิวิตกับ 300D W123 ก่อนจะเปลี่ยนเป็น 190E W201 ซึ่งพ่อสั่งเข้ามาวิ่งในไทยตั้งแต่ราวปี 1983 ในช่วงที่เมืองไทยขึ้นภาษีรถนำเข้าสูงมากจนมีเพียงไม่กี่คนที่ได้ขับ หลังจากนั้นก็ตามมาด้วย 260E W124 Code B มีกาบ ส่งจากเยอรมันมาแตะเมืองไทยปลายปี 1989 แต่หลังจากนั้นเมื่อเศรษฐกิจฝืดเคือง เงินบาทลอยตัว และการที่พ่อไม่ได้รับการต่อสัญญาจากที่ทำงานเก่า ชีวิตครอบครัวเราจึงไม่มีโอกาสซื้อเบนซ์ใหม่อีกนับแต่นั้นเป็นต้นมา

การที่ผมเกิดมาก็นั่งตักพ่อหมุนพวงมาลัยเบนซ์เป็นคันแรกในชีวิต (อันตราย..รู้ครับ แต่ตอนนั้นไม่รู้ไง) อาจทำให้ผมไม่เข้าใจความรู้สึกและแรงปราถณาของคนที่อยากมีเบนซ์สักคันในชีวิต จนกระทั่งวันหนึ่งคุณลุงสำเร็จ (พี่ชายของพ่อ) ซึ่งขับแต่ Toyota มาเกือบตลอดชีวิต ได้เกษียณอายุราชการจากแขวงการทางนครนายก และตัดสินใจว่าจะซื้อเบนซ์สักคัน “ลุงจะใช้รถคันนี้เป็นคันสุดท้ายแล้ว ไม่มีรถคันอื่นอีก” แล้วเราก็ไปจบกับ 190E 1.8 สีน้ำเงิน เกียร์ธรรมดาจากเตนท์แถววงเวียนหลักสี่

สำหรับพวกคุณบางคน อ่านแล้วก็อาจจะยิ้มและมองว่า 190E สมัยนี้คันละห้าหมื่นแปดหมื่นก็มี แต่ในปี 2002 นั้น C-Class ตาถั่วป้ายแดงยังวิ่งกันอยู่ตรึม C-Class W202 ยังราคามือสองยังหลักล้าน และ 190E ก็ยังมีครึ่งล้าน สำหรับข้าราชการต่างจังหวัดคนนึง เงินจำนวนนี้มีความหมายเท่ากับเป้าหมายที่สำคัญของชีวิต สักครั้งหนึ่งที่ได้ใช้รถแบบที่ “พวกคนรวยๆเขาใช้” (ประโยคนี้จำได้ว่าลุงพูดกับผมตอนไปดูรถ)

16 ปีหลังจากวันที่ลุงสำเร็จซื้อรถที่เติมเต็มความฝันให้ตัวเอง เขาก็ตัดสินใจขายรถคันนี้ออก เนื่องจากสุขภาพที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการขับรถอีกต่อไป แต่ขายไม่ออกเนื่องจากเตนท์รถส่วนมากตีราคาให้แค่ 3 หมื่น (บางทีไม่เอาเลยด้วยซ้ำ) เจ้า 190E คันนั้นเลยได้มาอยู่กับผมในราคาครึ่งแสนเมื่อต้นปี 2018 และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือน ลุงสำเร็จก็เข้าโรงพยาบาลด้วยโรคประจำตัวอยู่นานนับเดือน และจากไปหลังจากที่ผมเพิ่งไปเยี่ยมท่านครั้งสุดท้าย และออกจากโรงพยาบาลมาได้แค่ราว 1 ชั่วโมง

หลังจากที่ได้เบนซ์กลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งโดยไม่ได้คาดฝัน ทุกวันนี้ “ลุง” (ชื่อเล่นของรถคันนั้น) ได้ออกวิ่งบ้างบางครั้งคราว ได้เข้าอู่นานพอๆกับเวลาที่ใช้การได้ และดูดเงินในบัญชีสำหรับการซ่อมแซมไปแล้วเกินแสนบาท..ซึ่งมันคงไม่จบแค่นี้หรอก แต่อย่างน้อยการที่ได้กลับมาขับ 190E ซึ่งเป็นรถที่ผมโตมากับมันในวัยประถม ก็ทำให้ผมได้เห็นวิวัฒนาการของโลกรถยนต์ในช่วงชีวิตของผมอย่างชัดเจน เมื่อได้โอกาสในการลองขับ Mercedes-Benz C-Class ไมเนอร์เชนจ์ C 220 d คันที่คุณเห็นในภาพข้างบนนี้

..กว่าสามทศวรรษที่โลกยานยนต์หมุนไป เรามาจบกับรถที่ขยายบอดี้ขึ้นเหมือนงูเหลือมกินหมาอิ่ม แต่ความสบายบนเบาะคนขับกลับไม่ได้เพิ่มขึ้น เบาะแข็งขึ้น มีที่แหกแข้งขาน้อยลง ทัศนะวิสัยรอบคันแย่ลง แต่เรายอมแลกสิ่งเหล่านั้นกับรายการอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ยาวขึ้น ปกป้องชีวิตเราได้มากขึ้น ในยามค่ำคืน แสงไฟในห้องโดยสารของ C-Class ใหม่สว่างหลากหลายราวราตรีของโอซาก้า ในขณะที่ 190E มีแสงสีพอๆกับกรุงเปียงยาง..ในวันที่ฝนตกกลางคืน…และมองจากอวกาศเข้ามา

ยิ่งไปกว่านั้น 190E ของผมตอนสมัยที่มันยังใหม่ อัตราเร่งนี่ Vios เห็นแล้วหัวเราะ กินน้ำมันน้องๆอูฐ ถ้าจะขับให้สนุก ต้องหาเทปจากหลวงพี่พระพยอมฯมาเปิดฟัง ในขณะที่ C 220 d ใหม่ แม้จะเป็น “Mercedes สำหรับคนเริ่มรวย” เหมือนกัน แต่กลับให้แรงดึงสนุก ดีดตัวหนีรถวัยรุ่นบ้าพลังได้อย่างสบาย เชือดปลายนิ่มๆแบบผู้ใหญ่สอนมวยเด็ก แต่จิบน้ำมันน้องๆรถไฮบริด

และผมไม่รู้สึกแย่กับการที่ต้องมาขับ C 220 d ในรุ่นย่อย “Avantgarde” ซึ่งเป็นรุ่นที่มีอุปกรณ์น้อยที่สุด แต่ก็มีราคาถูกที่สุด คือ 2,349,000 บาท เพราะนี่ล่ะคือผลิตผลรุ่นเหลนโหลนของเบนซ์ที่กำลังทำหน้าที่เป็น “สะพานสู่โลกดาวสามแฉก” สำหรับคนฐานะปานกลางที่อยากจะขอมีเบนซ์สักคันในชีวิต ด้วยราคาที่ลงไปจนใกล้กับรถ D-Segment ฝั่งญี่ปุ่น และหยามจิตใจคู่แข่งร่วมชาติอย่าง BMW 320d Iconic ทั้งหมดนี้คือ Job Description คล้ายกันกับที่ 190E 1.8 มี เมื่อ 27 ปีที่แล้ว

ส่วนคนรวย..จะบอกว่าพี่ครับ..เราไม่มีอะไรต้องพูดกันนะ เพราะระดับพี่ ถึงซื้อ C-Class ก็คงซื้อตัวท้อป C 220 d AMG Dynamic 2.89 ล้านบาทไปแล้ว (ใช้คำว่าซื้อ “ไปแล้ว” เพราะถ้าป่านนี้ยังไม่ได้ไปจอง ก็ไม่ต้องเอา เพราะรถน่าจะถูกขายไปหมดแล้ว) หรือถ้าเป็นคนอายุน้อยหัวใจวัยรุ่น ก็คงไปหา CLA200 หรือ GLA200 ซึ่งแม้จะเป็นเบนซ์ แต่อารมณ์ทางดีไซน์และลักษณะตัวรถมันจำกัดอยู่กับวัยรุ่นเสียมากกว่า

C 220 d Avantgarde มีความยาวตัวถัง 4,686 มิลลิเมตร กว้าง 1,810 มิลลิเมตร สูง 1,442 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,840 มิลลิเมตร ระยะ Track ล้อหน้า/หลัง เท่ากับ  1,588/1,570 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวถังอยู่ที่ 1,585 กิโลกรัม ซึ่งเบาลงกว่ารุ่น Plug-in Hybrid ที่ต้องแบกถ่านก้อนโตอย่าง C 350 e (1,780 กิโลกรัม) ถังน้ำมันของรถรุ่นนี้ สเป็คประกอบในเราได้ถังน้ำมันขนาดใหญ่ 66 ลิตร (ในเมืองนอกบางประเทศจะได้ 41 หรือ 50 ลิตร)

เทียบกับคู่แข่งใน Segment เดียวกัน

3-Series (F30)

  • ยาว x กว้าง x สูง : 4,633 x 1,811 x 1,429 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ : 2,810 มิลลิเมตร

A4 (B9)

  • ยาว x กว้าง x สูง : 4,726 x 1,842 x 1,427 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ : 2,820 มิลลิเมตร

จัดว่า C-Class นี้จะมีขนาดตัวใหญ่กว่าซีรีส์ 3 รุ่น F30 ที่กำลังจะตกรุ่นเพียงจิ๊ดเดียว แต่สั้นกว่าและแคบกว่า Audi A4 B9 บางคนเห็นตัวเลขแล้วอาจจะไม่เชื่อ แต่นี่ล่ะครับพิษสงของการออกแบบ การที่เบนซ์ใช้กระจกประตูขนาดเล็กมาก ทำให้เวลาจอดอยู่เดี่ยวๆดูแล้วเหมือนกับตัวรถนั้นทั้งยาวทั้งใหญ่

รถทดสอบของเราที่เป็นรุ่น Avantgarde นี้ จะมีจุดที่สามารถสังเกตความแตกต่างจากรุ่นย่อยอื่นได้ คือกระจังหน้า ที่เป็นแบบดาวใหญ่ดวงเดียวกลางกระจังที่มี 2 ซี่ตามแนวนอน ซึ่งเบนซ์เคยทำวิจัยมาพักใหญ่แล้วพบว่าลูกค้าส่วนมาก ถ้ามีโอกาสเลือก ส่วนใหญ่จะชอบดาวใหญ่แบบนี้ มากกว่ากระจังหน้าในรุ่น Exclusive ที่เป็นดาวเล็กลอยที่ขอบบนและกระจังโครเมียมคล้ายพวก S-Class ส่วนรุ่น AMG Dynamic แม้จะเป็นดาวเดียวเหมือน Avantgarde แต่กระจังหน้าจะมีซี่เดียวและเป็นแบบ Diamond Grille ที่ดูไกลๆเหมือนมีเพชรประดับอยู่ทั่วกระจัง

ความต่างอีกประการหนึ่งคือ Avantgarde เป็นรุ่นเดียวที่จะได้ไฟหน้าทรงตาแตกแปดหลอด เป็นไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบไฟสูงที่ปรับต่ำหลบรถสวนมาโดยอัตโนมัติ แต่ไม่มีการปรับทิศทางการส่องของแสง ในขณะที่รุ่นย่อยอื่นๆจะได้ไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ส่วนล้ออัลลอยนั้น สมัย C350e Avantgarde จะเป็นขนาด 17 นิ้ว พอมาเป็น C220d Avantgarde ขยับเป็น 18 นิ้วและเปลี่ยนลายใหม่ ใช้ยาง Runflat ของ Michelin รุ่น Primacy 3 ด้านหน้าขนาด 225/45R18 และด้านหลัง 245/40R18

รูปโฉมภายนอกโดยรวม ในความเห็นส่วนตัว แม้ผมจะไม่ใช่คนชอบล้อโตๆ ก็ยอมรับว่าขนาด 18 นิ้วนี่ล่ะดูสวยแบบพอได้และยังเหลือแก้มยางไว้รับมือกับถนนสภาพเลวทรามในบางท้องที่ได้บ้าง ไฟหน้าและไฟท้ายลวดลายใหม่ที่มากับการไมเนอร์เชนจ์นั้นต้องมองใกล้ๆถึงจะเห็นความทันสมัยที่เพิ่มขึ้น ตัวรถออกแบบมาให้มีส่วนหน้ายาวและใช้กระจกหน้าต่างขนาดเล็กทำให้มีสัดส่วนดูสปอร์ตและถ้าวิ่งมาคันเดียว บางทีแยกไม่ออกเหมือนกันอันไหน C-Class หรือ E-Class

ผมพกกุญแจไว้ในกระเป๋า แล้วเอามือจับที่เปิดประตูอย่างที่เคยทำกับ C 350 e AMG Dynamic ที่เคยขับ แต่พอดึงก้านจับก็พบว่าล็อค จากนั้นอุบัตการณ์หน้าแหกก็เกิดขึ้นเพราะผมต้องโทรไปถามคุณหมูถึงได้รู้ ว่า C 220 d Avantgarde นั้น ไม่มี Keyless GO ดังนั้นจึงต้องกดปุ่มเพื่อปลดล็อค/ล็อครถเองทุกครั้ง..คือแหม เข้าใจครับว่าพยายามทำราคา แต่สมัยนี้รถหกแสนบาทเขามีใช้กันแล้ว ไม่กลัวโดนลูกค้าว่าบ้างรึ?

วัสดุหุ้มเบาะของรุ่น Avantgarde กับ Exclusive จะเป็นหนังเทียม Artico รุ่น Avantgarde จะมีแต่เบาะสีดำ คู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า เอน/เลื่อนหน้าถอยหลัง/ปรับองศาการเทของเบาะรองนั่งได้ พนักพิงศีรษะเป็นแบบมีปุ่มกดเพื่อปรับองศาการดันได้ ซึ่งแม้จะปรับไปหลังสุดแล้ว ก็จะยังดันหัวอยู่นิดๆ คนที่ขับแล้วชอบเอาหัวอิงหมอนอาจจะรู้สึกรำคาญนิดๆ ตอนหมอนรองเองก็ไม่ได้นุ่มนวลสักเท่าไหร่ ฟองน้ำของเบาะจะค่อนข้างแข็งแบบรถเยอรมันสมัยใหม่ มีปีกข้างขนาดค่อนข้างโตสำหรับรถสไตล์บ้านๆ ส่วนรองน่องสามารถปรับยืดออกมาได้ด้วยมือเหมือนเบาะของพวก ซีรีส์ 3 รุ่น M Sport

พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทางด้วยคันโยก โดยรวมแล้วถือว่าสามารถปรับส่วนต่างๆให้รองรับการใช้งานของคนได้หลายไซส์ แต่คนตัวใหญ่กว่าปกติอาจจะรู้สึกคับเพราะแผงประตูยกสูงเบียดไหล่นิดๆและคอนโซลกลางพยายามยกระดับความสูงให้คล้ายรถสปอร์ตคูเป้แต่ก็จะยันกับเข่าคนนั่งนิดๆเช่นกัน สิ่งที่จะขาดไปในตัว Avantgarde (แต่มีในรุ่นย่อยอื่น) คือระบบบันทึกความจำตำแหน่งเบาะนั่งและพวงมาลัยปรับด้วยไฟฟ้า ไอ้อย่างหลังนี่ไม่เท่าไหร่ แต่อย่างแรกนี่สิ เวลาคนอื่นมาขับแล้วไซส์ต่างกันมากๆ กว่าจะปรับคืนตำแหน่งของเราได้เป๊ะๆ เสียเวลาไม่ใช่น้อย

เบาะหลังมีลักษณะค่อนไปทางแข็งคล้ายเบาะหน้า มีพนักรองศีรษะที่ค่อนข้างแข็ง ตำแหน่งเบาะรองนั่งต่ำ แต่มีดีไซน์โอบตัวดีพอประมาณ ทำให้คนตัวสูงไม่เกิน 160 สามารถนั่งได้สบายกำลังสวย แต่คนตัวสูง 180 เซนติเมตรหรือบอดี้ใหญ่จะเมื่อยเข่าเวลานั่ง และพื้นที่เหนือศีรษะก็ไม่เหมาะกับคนตัวสูง นั่งแล้วหัวติดต้องไถลก้นมาด้านหน้าหน่อยจึงจะนั่งได้

สำหรับความสบายในภาพรวม ผมคิดว่า BMW ซีรีส์ 3 รุ่น F30 ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย คนตัวเล็กๆอาจจะไม่รู้สึก แต่ถ้าเป็น Audi A4 40TFSI จะมีตัวเบาะที่ค่อนข้างแบน แต่ฟองน้ำเบาะจะนุ่ม และมีพื้นที่วางขาเยอะกว่า C 220 d

สำหรับคนนั่งหลัง มีที่เท้าแขนให้ ในที่เท้าแขนจะมีที่วางแก้ว 2 ที่ซ่อนอยู่สามารถกดออกมาใช้งานได้ มีม่านไฟฟ้าสำหรับช่วยลดแสงแดดที่กระจกบานหลัง และที่กระจกบานประตูก็มีม่านลดแสงแบบดึงขึ้นด้วยมือมาให้ ช่องลมแอร์ตอนหลังเป็นแบบปรับแรงลมได้ แต่ปรับความเย็นแยกกับด้านหน้าไม่ได้ (เป็นช่องลมเฉยๆ)

ฝากระโปรงท้ายของ C 220 d Avantgarde สามารถเปิดได้จากปุ่มบนแผงประตูด้านคนขับและที่รีโมทกุญแจ นอกจากนี้เบนซ์ไทยยังใจดีให้ระบบแหย่เท้าใต้กันชนเปิดฝากระโปรงและกดปุ่มปิดด้วยระบบไฟฟ้ามาให้อีกต่างหาก ใจดีจริงพ่อคุณ แต่ถ้าพี่แลกได้ พี่ขอแลกระบบเตะเปิดกับ Keyless Go ได้มั้ยคะลูก

ห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ มีความจุ 455 ลิตร พนักพิงหลังของเบาะเป็นแบบที่สามารถแยกพับซ้าย/ขวา/กลาง เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระ มีชุดเครื่องปฐมพยาบาลมาให้โดยซุกอยู่ที่ซอกตาข่ายด้านซ้ายตามมาตรฐานของ Mercedes-Benz ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆจะเป็นของที่ทำในประเทศไทย

ส่วนยางอะไหล่หรือชุดปะยาง ไม่ต้องเปิดดูนะครับ เพราะรถรุ่นนี้ใช้ยาง Runflat ถึงโดนตะปูตำหรือขูดจนแก้มบึ้ม โครงยางนิรภัยที่ซ่อนอยู่ข้างในมันแข็งพอให้คุณวิ่งด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปได้ไกลหลายสิบกิโลเมตรจนกว่าจะพบร้านยางนั่นล่ะ

บรรยากาศภายใน หากมองแบบผ่านๆ มันจะดูคล้ายกับ C-Class W205 รุ่นอื่นๆที่แล้วมา แต่ในรถรุ่นไมเนอร์เชนจ์นี้ คุณจะได้พวงมาลัย 3 ก้านแบบใหม่พร้อมสวิตช์สัมผัสที่ใช้ควบคุมการทำงานของจอ MID และจอกลางของรถ พูดถึงจอกลาง ก็จะได้จอเวอร์ชั่นใหม่ ขยายขนาดเป็น 10.25 นิ้ว ในรถรุ่น AMG Dynamic จะได้พวงมาลัยสปอร์ต D-shape ในขณะที่ Avantgarde กับ Exclusive จะเป็นพวงมาลัยกลมธรรมดา อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่มีในรุ่น Avantgarde คือแดชบอร์ดและตอนบนของแผงประตูแบบหุ้มด้วยหนังพร้อมเย็บตะเข็บ

มีที่วางแก้วให้ตรงคอนโซลกลาง 2 แก้วโดยซ่อนอยู่ใต้ฝาปิด ส่วนกระจกแต่งหน้า มีมาให้ 2 ข้างพร้อมไฟแต่งหน้าแบบติดตั้งบนเพดาน อาจจะยากหน่อยสำหรับคุณผู้หญิงเวลาจะแต่งหน้าเก็บรายละเอียดใต้ขอบตา

ด้วยความที่เป็นภายในสีดำ (Avantgarde มีสีเดียว) และตกแต่งด้วยลายไม้ด้านสีน้ำตาลเข้ม Open-pore oakwood ห้องโดยสารจึงดูทะมึน ไม่แสบแสดแรดแตกเท่ารุ่น AMG Dynamic ที่มีรถสีขาวเบาะหนังสีแดงแฟนต้าให้เลือก  และไม่หรูเท่ารุ่น Exclusive ที่บางคันจะมากับภายในสีเบจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ห้องโดยสารของ C 220 d Avantgarde จะดูมีความสวยสกาวขึ้นด้วยไฟ Ambient Light ที่สามารถเลือกได้ 64 สี (รถรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์เลือกได้ 3 สี) ซึ่งถ้าคุณไม่ชอบสักสี ก็ลดความสว่างของมันลงได้

สวิตช์ควบคุมต่างๆจัดวางมาในสไตล์เดียวกับเบนซ์ยุคใหม่ทั้งหลาย แต่จะมีบางจุดเล็กๆที่ต่างกันกับตัวก่อนไมเนอร์เชนจ์ แผงควบคุมกระจกไฟฟ้า และสวิตช์สำหรับปรับเบาะจะอยู่บนแผงประตู ถัดมา ใต้ช่องแอร์ตรงที่เคยเป็นสวิตช์ระบบกล้องและเซนเซอร์ในรุ่นก่อน กลายเป็นซี่ว่างๆ 2 ร่องแทน ถัดลงมาเป็นปุ่มหมุนสำหรับเปิดไฟหน้า, ไฟตัดหมอกหลังกับปุ่มปรับความสว่างไฟหน้าปัด ปุ่มสตาร์ทจะซ่อนมาทางซ้ายของสวิตช์ไฟหน้า ส่วนปุ่มเบรกมือไฟฟ้า จะอยู่แถวล่างลงมา

พวงมาลัยที่เปลี่ยนใหม่ทำให้มีการย้ายสวิตช์ต่างๆจากรุ่นเดิม บนก้านซ้ายของพวงมาลัยจะเป็นปุ่มสำหรับคุมจอกลาง (เดิมใช้คุมจอ MID หน้าปัด) และปุ่มควบคุมเครื่องเสียงกับฟังก์ชั่นการรับโทรศัพท์ (เดิมอยู่ก้านพวงมาลัยด้านขวา) ส่วน Cruise Control ที่เคยเป็นก้านคล้ายไฟเลี้ยว ถูกย้ายมาเป็นปุ่มอยู่บนก้านพวงมาลัยด้านขวา โดยอยู่ติดกับสวิตช์สัมผัสซึ่งเอาไว้ใช้คุมจอ MID ของหน้าปัด ก้านไฟเลี้ยวยังอยู่ซ้ายมือเหมือนเดิม และเปิด/ปิดระบบปัดน้ำฝนด้วยการบิดปลายก้านไฟเลี้ยว

ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ มีสวิตช์คุมอยู่ใต้ช่องแอร์ แยกปรับอุณหภูมิได้ 2 ฟาก หรือจะสมัครสมานปรองดองความเย็นกันก็แค่กดปุ่ม Sync ถัดลงมาจากสวิตช์ปรับอากาศ ก็คือกลุ่มสวิตช์สำหรับลัดไปฟังก์ชั่นต่างๆของจอกลาง ประกอบด้วย NAVI/RADIO/MEDIA/TELEPHONE/VEHICLE และตบด้วยปุ่มไฟฉุกเฉินที่ขนาดเล็กโคตรๆ นาฬิกาแบบอนาล็อกฝั่งอยู่ตรงกลางกลุ่มสวิตช์ลัดเหล่านี้ ซึ่งบางท่านอาจจะงงว่าใช้ Comand Controller หรือ Shortcut บนพวงมาลัยก็ได้นี่หว่า..ผมคิดว่าเขาคงทำให้มันใช้ง่ายสำหรับลูกค้าวัยดึกที่ไม่ค่อยชอบเทคโนโลยีน่ะครับ

ส่วนไอ้เจ้า Comand Controller ที่อยู่ตรงคอนโซลกลาง มันก็ทำหน้าที่แบบเดิมของมัน มี Touchpad ที่เอานิ้วลากเลื่อนคลิกได้ มีทั้งสวิตช์ปุ่มหมุนๆกดๆ สำหรับไว้สั่งการระบบ Multimedia ของรถ ทางด้านขวาของ Controller ก็มีปุ่มลูกกลิ้งปรับเสียงวิทยุ ปุ่มเปิด/ปิดการทำงานของจอกลางและเปิด/ปิดม่านไฟฟ้าหลัง ส่วนด้านซ้ายของ Controller จะเป็นปุ่มปรับโหมดนิสัยรถ Dynamic Select ปุ่มเปิด/ปิดการทำงานของเซนเซอร์จอด ปุ่มการทำงานกล้องและระบบจอดรถอัตโนมัติ และปุ่มเปิด/ปิดระบบ Start/Stop

จอกลางมีขนาดโตขึ้นกว่ารุ่นเก่า กลายเป็น 10.25 นิ้ว สามารถใช้งานได้หลากหลายเหมือนเดิม แต่มีกราฟฟิคภาพต่างๆที่สวยงามขึ้น การปรับตั้งค่าต่างๆของตัวรถ ในเบนซ์ช่วงหลายปีก่อนจะทำได้บนหน้าปัด ในรุ่นใหม่นี้จะย้ายการปรับตั้งค่ามาอยู่ที่จอกลาง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของไฟส่องสว่าง ระบบล็อคต่างๆ และที่ชอบมากคือสามารถแสดง Power Meter ซึ่งจะมีกำลังโชว์ม้า (เป็นหน่วย kW เท่านั้น) และแรงบิด (เป็น Nm เท่านั้น) และมี Voltmeter กับมาตรวัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่องมาให้อีกด้วย

เครื่องเสียงของรุ่น Avantgarde และ Exclusive จะเป็นแบบธรรมดาที่สุดคือ Mercedes-Benz AUDIO20 Navigation-capable NTG 5.5 ซึ่งไม่มีระบบนำทางมาให้ในรุ่น Avantgarde ต้องซื้อ SD Card เสียบเพิ่มเอง ส่วนคุณภาพเสียงที่ได้ ก็อยู่ในระดับปานกลางเหมือนเครื่องเสียงรถยนต์ในระดับทั่วไป เบสบวมนิดๆ รายละเอียดเสียงช่วง MID ยังไม่อิ่มหู อย่าว่างู้นงี้กันเลย เครื่องเสียงสแตนดาร์ดกับลำโพง Burmester ในพวกรุ่น AMG Dynamic มันก็ยังไม่ได้น่าประทับใจเท่าไหร่เลยครับ

แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่เคยเปลี่ยนเครื่องเสียงรถ ไม่ได้มีสเตอริโอเจ๋งๆที่บ้าน ไม่ได้เพ่งเล็งรายละเอียดอะไรมาก ก็พอรับได้ครับ สำหรับความเห็นผมน่ะ AUDIO20<Burmester ใน AMG Dynamic<เครื่องเสียง Standard BMW<Harman Kardon ใน BMW<Bower and Wilkins ใน Volvo ครับ

ผมยังไม่มีโอกาสได้ลองระบบ Apple CarPlay/Android Auto ในรถคันนี้ และปัจจุบันลองถามเจ้าของรถที่ใช้ C-Class ไมเนอร์เชนจ์ บางท่านต่อได้ บางท่านต่อไม่ติด บางท่านบอกว่าขึ้นอยู่กับรุ่นมือถือที่ใช้ ดังนั้นก่อนซื้อรถ ให้เอามือถือคุณลองเชื่อมกับรถ Demo ของศูนย์ดูก่อนนะครับว่าใช้งานได้หรือไม่

แผงมาตรวัดของรุ่น Avantgarde และ Exclusive จะเป็นแบบเข็มคลาสสิค มีจอ MID อยู่ตรงกลาง ไม่ได้ใช้จอ TFT 12.3 นิ้วที่ดูล้ำยุคแบบรุ่น AMG Dynamic อย่างไรก็ตาม พูดถึงความสวยงามก็นับว่าดูดีขึ้นกว่าแผงมาตรวัดของ C-Class รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ ขีดบอกความเร็วจากเดิมที่ซอยถี่ทุก 5 กิโลเมตร/ชั่วโมงก็เปลี่ยนเป็นซอย 10 แทน ทำให้ดูรกตาน้อยลง ลักษณะของเข็มสีแดงและมาตรวัดเชื้อเพลิงและอุณหภูมิน้ำแบบดิจิตอลเหมือนเดิม จอ MID ตรงกลาง เปลี่ยนกราฟฟิคใหม่สีน้ำเงินสดใสขึ้น

ที่จอ MID นี้ คุณสามารถดูข้อมูลได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น Trip meter, อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย, อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบ Real-time, ข้อมูล Media ที่กำลังเล่น ในรถที่เสริมระบบนำทาง ก็จะโชว์ Navigation route ได้ และนอกจากนี้ยังใช้เพื่อการเช็คระดับน้ำมันเครื่อง และเช็คปริมาณสารบำบัดมลพิษ AdBlue กับระยะทางที่ยังสามารถวิ่งได้ด้วย AdBlue ที่มีในถัง ซึ่งคุณควรเช็คทุกเดือนเป็นอย่างน้อยนะครับ ไม่งั้นจะซวยได้ เดี๋ยวค่อยเล่า

หลายท่านอาจจะชอบหน้าปัดแสงสีเยอะสไตล์แฟนซี แต่ในความเห็นส่วนตัวผม ถ้านับว่านี่เป็นรุ่นย่อยที่เน้นทำราคา มันก็พอรับได้ เวลาขับรถทางไกลแล้วต้องมองแบบเหลือบๆเผลอจะอ่านค่าง่ายและชัดกว่าพวกจอสีสมัยใหม่ด้วยซ้ำ  แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนคือเวลาตั้งค่าให้โชว์ความเร็วดิจิตอล พ่อคุณ MID แกก็จะโชว์แค่ความเร็ว เป็นตัวเลขเล็กๆ แล้วเหลือพื้นที่ไว้อีกมากที่น่าจะเอาอย่างอื่นมาใส่ให้เกิดประโยชน์

***รายละเอียดทางวิศวกรรมและการทดลองขับ***

ในช่วงตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2018 จนถึงปัจจุบัน Mercedes-Benz เลิกทำตลาดรุ่น C 350 e และนำเครื่องยนต์ดีเซลมาใส่ C-Class ไมเนอร์เชนจ์ขาย โดยจะมีให้เลือกเพียงขุมพลังเดียวไปจนกว่ารุ่น Plug-in Hybrid ใหม่อย่าง C 300 e จะมาถึง

เครื่องยนต์ดีเซลของ C 220 d นี้ เป็นรหัส OM654.920 4 สูบ 16 วาล์ว Diesel Commonrail Turbocharged Intercooler ขนาด 2.0 ลิตร 1,950 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 92.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.5 : 1 กำลังสูงสุด 194 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที ผ่านมาตรฐานมลภาวะ EURO6 และปล่อยไอเสีย CO2 เท่ากับ 122 กรัม/กิโลเมตรตามมาตรฐาน EcoSticker ไทย เสียภาษีสรรพสามิต 25%

OM654 เป็นเครื่องยนต์ดีเซลยุคใหม่ที่ Mercedes-Benz เริ่มนำมาใช้ครั้งแรกใน E-Class W213 ปี 2016 โดยหวังผลเรื่องการพยายามลดมลพิษที่เป็นปัญหาสำคัญของเครื่องยนต์ดีเซล ลดน้ำหนัก และสร้างพลังตามแบบที่เครื่องยนต์ดีเซลควรมี ในเครื่องยนต์ OM654 นี้ จะเปลี่ยนมาใช้เสื้อสูบแบบอะลูมิเนียม นับว่าเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบรุ่นแรกของค่ายนี้ที่เลิกใช้เสื้อสูบเหล็กหล่อ ทำให้น้ำหนักเครื่องยนต์ลดจาก OM651 2.1 ลิตรรุ่นเก่า จาก 203 เป็น 168 กิโลกรัมเท่านั้น นอกจากเปลี่ยนวัสดุเสื้อสูบแล้ว ก็ยังลดความกว้างของผนังกระบอกสูบจาก 94 มิลลิเมตรเหลือ 90 มิลลิเมตร ซึ่งให้ผลดีในการระบายความร้อน และการลดขนาดเครื่อง แต่สายโมดิฟายเน้นพลังอาจจะไม่ชอบ นอกจากนี้ยังมีการเคลือบ Nano Slide ที่ผนังกระบอกสูบอีกด้วย

นอกจากเทคโนโลยีต่างๆที่เสริมเข้าไป บางเรื่องที่เป็นแนวคิดพื้นฐานก็เปลี่ยนเช่นกัน อย่างเรื่องการติดตั้งเทอร์โบและระบบบำบัดไอเสีย ดูจากภาพเครื่องยนต์สองเครื่องข้างบนนี้นะครับ อันบนเป็นเครื่อง OM651 ซึ่งจะติดเทอร์โบไว้กลางๆเครื่อง ตามด้วยเครื่องบำบัดไอเสียดีเซล (DOC) ตามด้วยตัวกรองเขม่าดีเซล (DPF) และระบบห้อง Chamber สำหรับฉีด AdBlue อยู่ห่างออกมา

ใน OM654 เทอร์โบจะย้ายไปอยู่ข้างบน ตามด้วยDOC ห้องฉีด AdBlue จะอยู่หลังจาก DOC ทันที จากนั้นจึงค่อยเข้า DPF ซึ่งปรับมาให้รับการบำบัดไอเสียที่ปน AdBlue มาแล้ว

ทั้งหมดที่ทำนี้ก็เพื่อให้เครื่องยนต์ดีเซลปล่อยมลภาวะต่ำลงโดยเฉพาะกับไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจโดยตรง (ในขณะที่ CO2 เป็นก๊าซเรือนกระจก ส่งผลต่อโลกร้อน ตายเหมือนกันแต่ตายช้ากว่า) สมัยที่เป็นมาตรฐาน EURO5 นั้น เครื่องดีเซลจะปล่อย NOx มากกว่าเบนซินราว 2-3 เท่า แต่ถ้าปรับเครื่องยนต์ให้ผ่านมาตรฐาน EURO6 ปริมาณ NOx จะน้อยกว่าเดิมเท่าตัวและใกล้เคียงกับเครื่องเบนซินมากขึ้น

ในประเทศไทย Mercedes-Benz เป็นรถเยอรมันค่ายเดียวที่มีดีเซลในสังกัดผ่านมาตรฐาน EURO6 ทั้งหมด และเป็นเจ้าเดียวที่ต้องคอยเติม AdBlue โดยเติมตรงช่องข้างช่องเติมน้ำมันนี้ล่ะครับ ดังนั้นในขณะที่หลายคนมองว่ามันเป็นเรื่องยุ่งยาก เสียเงินโดยใช่เหตุ แต่ถ้ามองในระยะยาว ผมว่าถ้ารถดีเซลอยากมีอนาคตต่อจากนี้ อะไรที่ทำให้มลภาวะต่างๆมันลดลงไปได้มากที่สุดก็ต้องนำมาใช้ อนาคตแม้แต่รถกระบะ ถ้าคุณอยากวิ่งต่อไปก็อาจต้องมีระบบบำบัดไอเสียแบบนี้

ส่วนที่ต้องคอยเตือน โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่เคยใช้ดีเซล Mercedes-Benz ยุคใหม่มาก่อน ก็คือ “อย่าปล่อยให้น้ำยา AdBlue ขาด” เพราะเมื่อน้ำยาหมด ระบบสมองกลจะสั่งลดสมรรถนะของเครื่องลง ในบางกรณีถ้าคุณดับเครื่องไปมันจะสตาร์ทไม่ติด ซึ่งวิศวกรเขาตั้งใจทำมาเช่นนั้น เพราะกฎหมายของยุโรปในเรื่องมลภาวะนี้ซีเรียสมาก ถ้าคุณปล่อยให้รถ AdBlue หมดแล้ววิ่งได้ไกลๆ บริษัทรถจะโดนรัฐบาลฟ้องในทำนองเดียวกับที่ Volkswagen โดน

อย่างไรก็ตาม AdBlue ไม่ได้หมดลงง่ายๆหรอกครับ อย่างใน C 220 d คันนี้ มีน้ำยาในถัง 3/4 ถัง และระบบแจ้งว่ายังสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 6,000 กิโลเมตร คนที่จะเดือดร้อนคือพวกที่ใช้รถปีละ 40,000-50,000 โล ต้องเติมบ่อยหน่อย

ระบบส่งกำลังของ C 220 d ประกอบในประเทศนี้ มีเพียงแบบเดียวคือเกียร์ 9G-Tronic รหัส 725.008 เป็นเกียร์ 9 จังหวะพร้อมโหมด +/- กับ Paddle Shift อัตราทดเกียร์มีดังนี้

  • เกียร์ 1  5.354
  • เกียร์ 2  3.243
  • เกียร์ 3  2.252
  • เกียร์ 4  1.636
  • เกียร์ 5  1.211
  • เกียร์ 6  1.000
  • เกียร์ 7  0.865
  • เกียร์ 8  0.717
  • เกียร์ 9  0.601
  • เกียร์ถอยหลัง  4.798
  • อัตราทดเฟืองท้าย  2.473

คันเกียร์แบบติดที่คอพวงมาลัย คนที่ชอบก็บอกว่ามันใกล้มือดี ใช้ง่ายสบายอุรา ส่วนคนที่ไม่ชอบ (รวมถึงผม) ก็คือคนที่อาจจะชินกับรถญี่ปุ่น วิ่งเกียร์ D อยู่ มาถึงสี่แยกเผลอเอามือขวากระดกก้านนึกว่าไฟเลี้ยวซ้าย แต่กลับไปเข้าเกียร์ว่าง หรือบางท่านจะกดฉีดน้ำล้างกระจก เผลอไปเข้าเกียร์ P มันก็จะมีเสียงเงี่ยงโลหะรูดเฟืองดังแครด หรือถ้าเป็นคนประเภทถอยๆรถอยู่แล้วเปิดประตูไปมองข้างหลัง มันก็แครดเหมือนกัน แต่ไม่พังง่ายๆหรอกครับ

นอกจากนี้ C 220 d ยังมีระบบปรับโหมดการขับ DYNAMIC SELECT ซึ่งเลือกได้ตั้งแต่ Eco, Comfort, Sport, Sport+ โดยมีการปรับการทำงานของระบบปรับอากาศ ความไวของคันเร่ง ความก้าวร้าวของเกียร์ น้ำหนักพวงมาลัย และระบบรักษาการทรงตัว ESP คงไม่ต้องบอกนะว่าอย่างไหนคือแรงและก้าวร้าวสุด และมีโหมด Individual ที่ปรับค่าของส่วนต่างๆแยกจากกัน ให้คุณเซ็ตได้ตามใจชอบ

เกียร์ 9G ของ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆหลายคัน จะไม่มีปุ่ม M สำหรับสั่งให้เกียร์ล็อคอยู่ใน Manual Mode โดยไม่ให้เกียร์กลับไปตำแหน่ง “D” เอง ไม่เหมือนพวก AMG แท้ที่จะมีปุ่ม M มาให้ แต่มันมีวิธีอ้อมๆได้ คือคุณเข้าไปที่เมนู Vehicle บนจอกลาง แล้วไปที่ระบบ DYNAMIC SELECT เลือก Configure Individual ก็ให้เลือกการตอบสนองส่วนต่างๆตามใจคุณ แต่ในส่วนของเกียร์ ให้เลือกเป็น M (Manual shifting) เท่านี้ เวลาคุณอยากสั่งให้รถล็อคเกียร์ไว้ Manual Mode ก็ไปเลือกโหมด Individual มาใช้

ในด้านการขับขี่ ถือว่าตอบสนองได้ดีสำหรับรถยนต์ Premium ตัวขนาดนี้ที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล ตัวเลขต่างๆผมลองจับเวลาโดยนั่งคนเดียวตอนกลางคืน และส่งรถให้น้อง Moo Cnoe ลองไปจับอีกครั้งในสองวันต่อมา โดยพยายามทำน้ำหนักบรรทุกให้ใกล้เคียง 150-170 กิโลกรัม ได้ผลดังนี้

0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Comfort mode 8.31, 8.17, 8.25 เฉลี่ย 8.24 วินาที
Sport + mode 7.84, 7.91, 7.86  เฉลี่ย 7.87 วินาที

80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Comfort mode 6.3, 6.17, 6.05 เฉลี่ย 6.17 วินาที
Sport + mode 5.84, 5.76, 5.71 เฉลี่ย 5.77 วินาที

เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง 320d F30 จะพบว่า C 220 d ถีบออกตัวและเร่งไปแตะ 100 ได้เร็วกว่า แต่ถ้าเป็นช่วงเร่งแซงจะได้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน ความเร็วสูงสุดผมกดได้ 241 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเกียร์ 7 ที่ 4,100-4,200 รอบต่อนาที ซึ่งก็ดีกว่า 320d อยู่ราว 3-4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หลัง 220 ไปความเร็วเริ่มไต่ช้าชนิดต้องลุ้นกันแล้ว แต่ความเร็วช่วง 0-1,700 เมตร C 220d เข้าด้วยความเร็ว 215 ในขณะที่ 320d จะได้ 208 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าต่างกันเยอะกว่าที่คาด

เมื่อมองตัวเลขว่านี่คือผลงานจากเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรที่เรตแรงม้าไว้ 194 ตัว ผมถือว่าทำได้น่าพอใจ ถ้าไปดูตารางอัตราเร่งรถรุ่นอื่นๆ พบว่ามันไปเร็วกว่า Lexus IS200t เครื่องเบนซินเทอร์โบที่มีม้ามากกว่ากันหลายสิบตัวและทำความเร็วช่วงปลายได้พอกันอีกต่างหาก อย่าว่างู้นงี้เลย ถ้า C 220 d ใส่โหมด Sport + ไปวัดกับ CLA250AMG ที่เผลออยู่ใน Comfort Mode คุณอาจได้เห็นอะไรสนุกๆ

แม้จะความจุเล็ก และใช้เทอร์โบแปรผันลูกเดียว แต่วิศวกรเลือกขนาดและจูนการทำงานมาได้อย่างเหมาะสม มีแรงดึงตั้งแต่รอบต่ำ 1,700 รอบต่อนาทีและกวาดหา 4,000 รอบแบบไม่เหนื่อย ส่วนในการขับแบบใช้งานปกติ ยิ่งสบายเท้าเพราะวางคันเร่งไม่ต้องลึกก็มีกำลังวังชาดีงาม เกียร์ 9G-Tronic กับกล่องคันเร่งทำงานประสานกันได้ดี ผมสามารถปล่อยมันไว้โหมด Comfort แล้วใช้คันเร่งกำหนดพลังได้ตามใจชอบ เปลี่ยนเกียร์ได้นุ่มเวลารักสันติ และตอบสนองเร็วในยามที่ต้องการ ไม่มีอาการอมๆลังเลแบบเบนซ์สมัยเกียร์ 5 จังหวะเหลืออีกต่อไป

พูดสั้นๆว่า วันนี้ Mercedes-Benz จูนเครื่องและเกียร์ของพวกเขาได้ดีเท่ากับ BMW แล้วล่ะครับ แต่เวลาขับที่ความเร็วต่ำๆคลานตามรถคันหน้า ในโหมด Comfort จะมีอาการยึกยักตามคันเร่งอยู่บ้าง แต่ในโหมด Sport ขึ้นไป คันเร่งและเกียร์จะดุมาก ถ้าคุณใช้โหมดนี้แล้วต้องคลานในความเร็วต่ำๆจะเจออาการยึกและเย่อเหมือนขับรถเกียร์ธรรมดาคาเกียร์ 1 อันนี้ต้องบอกไว้ก่อน

ส่วนเรื่องช่วงล่างและการบังคับควบคุม C 220 d ใช้ช่วงล่างอิสระมัลติลิงค์ 4 ล้อ ชุดช่วงล่าง AIRMATIC (ถุงลม) ที่เคยมีสมัย C 350 e โดนถอดออก แทนที่ด้วยสปริงเหล็กและโช้คอัพสเป็ค Standard Suspension ระบบเบรกเป็นดิสก์ 4 ล้อพร้อมเบรกมือไฟฟ้าและระบบ Brake Hold สำหรับใช้ในเวลารถติด พวงมาลัยเป็นแบบเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้าปรับน้ำหนักตามความเร็ว และเซ็ตน้ำหนักได้จากการปรับโหมดการขับขี่

ผมค่อนข้างแหยงคำว่า Standard Suspension ตั้งแต่ตอนขับ E 220 d W213 แล้วเพราะพ่อเจ้าประคุณไม่ทนการบู๊เลย โยกโย้ โยนตัวเวลาผ่านคอสะพาน แถมยังไม่ได้นุ่มนวลอะไร ใน CLS 300 d ที่เป็นช่วงล่าง Standard ก็ถือว่าดีขึ้นตามพลังรถแต่ยังไม่ประทับใจ พอมา C 220 d นี้กลับผิดคาดครับ เพราะมันแข็งหนึบในระดับหนึ่ง อาจจะเพราะความเบาของรถด้วยที่ทำให้มันคุมอาการยวบได้ดีกว่าพวก E กับ CLS เวลาเล่นหนักๆในโค้ง หรือถ้าเทียบกับ C 350 e ที่ปรับความแข็งช่วงล่างได้ ผมพบว่าเวลาวิ่งไปตรงๆ C 220 d จะแข็งกว่า Comfort setting ของ C 350 e เล็กน้อย เวลามุดแบบซิกแซก C 350 e + Sport Setting ก็ดูเหมือนจะมั่นคงกว่า ยวบน้อยกว่า

แต่ลองเล่นให้ถึงจุดแตกหักดิครับ..รู้เรื่อง C 350 e ต่อให้ใส่โหมดช่วงล่างแข็ง ถ้าคุณเข้าโค้งโดยหักพวงมาลัยแรงไป ท้ายจะออกมาสวัสดี และไม่ได้ออกแบบสวยๆนะครับ ออกแบบมาแล้วแก้คืนยาก ในขณะที่ C 220d นั้นเหวี่ยงแล้วท้ายออกนิดๆ ไม่ต้องแก้อาการมาก อยากกวาดออกสวยๆก็ ESP Sport และเติมคันเร่งเยอะๆ สนุกกว่า คุมได้ง่ายกว่า ส่วนที่ความเร็วสูงมากๆ C 350 e นอกจากได้ถุงลมช่วยแล้วยังมีแบตช่วยกดท้าย อันนี้ต้องยอมเขาไปครับ C 220d จะเริ่มลอยนิดๆหลัง 200 แต่ยังไม่น่ากลัวเท่า 320d F30 รุ่นก่อน LCI ที่รถเริ่มโยนตามลมไปแล้ว

จะจูนให้มันหนึบแข็งกว่านี้? ใจเย็นก่อนนะครับ เพราะแค่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ C 220 d ก็ไม่ถือว่านุ่มนวลอะไร บนถนนขรุขระ ยาง Runflat ส่งแรงสะเทือนมายังห้องโดยสารพอสมควร ผมคิดว่าตอนนี้ถ้าเป็นเรื่องความนุ่มนวลเวลาขับ 320d กับ Audi A4 รุ่นช่วงล่างปกติสามารถซับแรงได้ดีกว่า แต่ยังไม่แข็งขนาด 330e M Sport ที่แข็งแบบยุโรปซิ่งจนเป็นห่วงว่าคนแก่นั่งจะบ่นมั้ย

พวงมาลัย มีน้ำหนักเบาที่ความเร็วต่ำ และทวีแรงขืนมือมากขึ้นที่ความเร็วสูง น้ำหนักหน่วงกลางเบาไม่ต่างจากคู่แข่งเท่าไหร่ พวงมาลัยไวต่อการหมุน หักนิดเดียวก็เปลี่ยนเลนได้ ช่วยให้กับขับในเมืองตามตรอกซอกซอยคล่องมือ แต่เวลาออกทางไกลอาจจะเกร็งนิดๆ การเก็บเสียงของรถที่ความเร็วต่ำ แน่นแบบที่คุณคาดหวังได้จากรถยุโรป แต่ที่เกิน 110 ขึ้นไป กลับมีเสียงลมกรีดตามขอบกระจกเข้ามา ซึ่งมันไม่น่ามีในรถระดับนี้

ส่วนเรื่องความประหยัดเชื้อเพลิงนั้น ผมไม่ได้มีโอกาสทดสอบตามมาตรฐานเว็บแบบปกติ แต่หลังจากรับรถมา ผมเติมน้ำมันเต็มถังและขับไปศรีราชาแล้วหวดกลับกรุงเทพโดยวิ่ง 120 บ้าง สลับกับลองอัตราเร่งบ้าง ก็ได้ 16.5 กิโลเมตรต่อลิตร หลังจากนั้น อีกวัน ผมลองวิ่งทางไกลไปทางอยุธยา ตอนกลางวัน แบบพยายามให้เท้านิ่งๆ แต่ใช้ความเร็ว 120 ถ้าทำได้ แบบนี้ มี 18 กิโลเมตรต่อลิตร

การจะเห็นตัวเลข 10 กิโลเมตรต่อลิตรได้จากรถคันนี้ ก็คงเป็นตอนที่ผมวัดอัตราเร่งอย่างต่อเนื่อง ทดสอบท้อปสปีด และวันรุ่งขึ้นนำรถวิ่งเข้าเมืองเจอรถติดๆมากๆจริงๆ พูดง่ายๆก็คือน้ำมัน 1 ถัง 66 ลิตร คุณอาจวิ่งได้ตั้งแต่ 600 ไปจนถึง 1,100 กิโลเมตรโดยขับแบบปกติ เปิดแอร์ ไม่ต้องเน้นแข่งขันประหยัดเชื้อเพลิง อยากเหยียบบ้างก็เหยียบ

ระบบความปลอดภัยใน C 220 d Avantgarde

  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist
  • ระบบเบรก ABS / EBD / BA
  • ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP
  • ระบบเบรก Adaptive Brake พร้อมฟังก์ชั่น Hold
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill-Start Assist
  • ไฟเบรกกะพริบฉุกเฉิน Adaptive Brake Light
  • ระบบช่วยเบรก Active Brake Assist
  • ระบบเตือนแรงดันลมยาง Tyre Pressure Loss warning system
  • ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Attention Assist
  • เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด Parktronic
  • ระบบช่วยจอดแบบอัตโนมัติ Active Parking Assist
  • กล้องมองภาพขณะถอยจอด
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง
  • ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง
  • ม่านถุงลมนิรภัย 4 ตำแหน่ง
  • ถุงลมนิรภัยหัวเข่าคนขับ 1 ตำแหน่ง

อาจจะยังมีไม่มากเท่าจ้าวแห่งเซฟตี้อย่าง Volvo แต่เมื่อเทียบกับ C 220 d AMG Dynamic คุณได้อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยเท่ากันเกือบทุกอย่าง ขาดไปก็แค่กล้องรอบคัน 360 องศา และ Cruise Control แบบปรับความเร็วลด/เพิ่มอัตโนมัติเท่านั้นล่ะครับ

ระบบถอยจอด Active Parking Assist มีมาให้ตั้งแต่รุ่น Avantgarde วิธีการใช้จำง่ายมาก แค่ขับรถเข้าหาจุดที่คิดว่าจะจอดแบบช้าๆระหว่างนั้นก็กดปุ่ม P ที่มีรูปกล้อง (อยู่ข้างซ้ายของชุด Comand Controller) แล้วเขยิบๆเข้าไป รถจะเริ่มสแกนหาที่จอดและแสดงผลบนจอกลาง จากนั้นใช้ Comand Controller ในการเลือกว่าจะจอดจุดไหน

ในเบนซ์รุ่นก่อนๆที่ผมลองมา อย่าง SLC 300 และ C 300 Cabriolet คุณยังต้องคอยเปลี่ยนเกียร์ D->R เวลาใช้ระบบจอดอัตโนมัติ แต่ใน C 220 d นี้ เป็นเวอร์ชั่นใหม่แล้วครับ รถจะเปลี่ยนเกียร์เอง แต่คุณต้องคอยเอาเท้าบริหารแรงเบรกไว้ตามที่รถมันสั่ง ถึงคุณไม่เบรก บางทีมันก็จะเบรกให้เองครับ แต่มันจะเบรกแรง น้ำหมากแม่ยายกระจายได้

 

****สรุป****

***อาจหรูไม่สุดแต่ขับสนุกกว่าที่คาดในราคาที่เป็นมิตร***

บางทีโลกของรถยนต์ก็เป็นเรื่องตลก เหมือนกับว่าบางครั้งแนวทางการทำรถของบางค่ายก็เดินสวนกันอย่างประหลาด ผมได้สัมผัส BMW ใหม่ๆหลายรุ่นและพบว่าในบางครั้ง ถ้าไม่ใช่รถรุ่นที่มีป้าย M Sport ช่วงล่างและการเซ็ตรถจะมาในแนวผู้ใหญ่เต็มขั้น ยวบ และบางทีก็ขาดความมั่นใจ คันเร่งอ่อน ชอบไล่เกียร์สูงขึ้นเร็วในโหมด Comfort ..นี่คือสิ่งที่คุณจะพบได้ใน Mercedes-Benz รุ่นสามัญสมัยก่อน และเป็นสิ่งที่ผมคาดเอาไว้จาก C 220 d คันนี้

แต่พอมาขับจริง เจ้าดาวสามแฉกราคา 2 ล้านต้น กลายเป็นรถที่ช่วงล่างค่อนไปทางแข็งประมาณหนึ่ง พวงมาลัยไวและคล่อง คันเร่งและเกียร์ทำงานประสานกันดีในระดับที่คนใจร้อนอย่างผมยังสามารถใช้โหมด Comfort ขับไปได้หลายร้อยกิโลเมตรแล้วไม่หงุดหงิด..เห้ยเดี๋ยว นี่มันคือสิ่งที่ BMW 320d E90 เคยมอบให้ผมเมื่อสิบปีก่อนนี่หว่า!? ดังนั้นถ้าพูดเรื่องความสนุกในการขับ C 220 d คันนี้สอบผ่านได้คะแนนดีและดีเป็นอันดับต้นๆของคลาสดีเซล รวมถึงความประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีเช่นกัน แต่ไม่ได้ดีไปกว่า BMW 320d เท่าไหร่

แต่ไม่ใช่ทุกคน ที่ซื้อรถมาแล้วจะมุ่งหาแต่ความสนุกในการขับ วัยรุ่นคงชอบล่ะสำหรับ C 220 d คันนี้ แต่..สำหรับลูกค้าสูงวัยที่กำลังคิดจะซื้อ Mercedes-Benz ใช้เป็นคันแรกในชีวิต ผมขอบอกก่อนว่ามันไม่ใช่รถที่นุ่มนวลชวนฝันเวลานั่งขนาดนั้น ถ้าวิ่งผ่านถนนขรุขระปะท่อแล้วล่ะก็ รถญี่ปุ่นราคาถูกหลายรุ่นสามารถซับแรงกระแทกได้ดีกว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะยาง Runflat ที่มีแก้มและโครงสร้างภายในที่ต้องแข็งกว่ายางปกติ ถ้าเปลี่ยนเป็นยางธรรมดาก็อาจขับสบายขึ้น ถ้ามองในแง่ดี ระหว่างให้คุณพ่อคุณแม่นั่งใน CLA กับ C-Class อย่างหลังก็สบายกว่าอยู่ดี

เรื่องพื้นที่ภายในและความสบายในการโดยสาร C-Class W205 ดูเหมือนจะเทความสนใจให้กับคนนั่งหน้า ในขณะที่เบาะหลังจะมีพื้นที่ไม่เยอะนัก อาจจะเหมาะกับคนตัวสูงไม่เกิน 170 เซนติเมตรมากกว่า ผมรู้สึกว่าถ้าต้องนั่งเบาะหลังไกลๆ F30 ซีรีส์ 3 กับ Audi A4 ยังสบายสำหรับคนตัวสูงใหญ่มากกว่าแม้จะไม่ต่างกันถึงขนาดฟ้ากับดินก็เถอะ

เรื่องอุปกรณ์และความหรูหรา ถ้ามองแบบเทียบข้อมูลกับข้อมูล C-Class ราคาสองล้านต้นในภาพรวมอาจจะเสมอหรือแพ้พวกรถญี่ปุ่นระดับ Accord/Camry ตัวท้อปๆ ด้วยซ้ำ แต่ถ้าให้เทียบกับพรีเมียมซาลูนที่ตัวเท่ากันอย่าง 320d ที่กำลังตกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Iconic ที่ทำราคาพร้อมส่วนลดมาสะใจ หรือรุ่น M Sport ก็ตาม จะพบว่าถ้าไม่นับเรื่องการไม่มี Keyless Go กับระบบบันทึกความจำเบาะ เรื่องอื่นๆ C 220 d Avantgarde จะให้มาครบกว่า อย่างน้อยก็มีกล้องมองหลัง เซนเซอร์ถอยหลัง มีระบบ Brake Hold ในขณะที่ BMW ไม่มี และเบนซ์มีฝาท้ายเปิด/ปิดด้วยไฟฟ้า มีจอกลางที่ขนาดโตกว่า และมีระบบช่วยถอยจอด (แม้ว่าโดยส่วนตัว ผมจะยอมแลกฝาท้ายไฟฟ้ากับระบบช่วยจอดแล้วขอเป็น Keyless Go แทน)

แต่สำหรับคนที่ไม่เคยใช้เบนซ์ยุคใหม่ ผมต้องเตือนก่อนนะครับว่า บริการก่อนการขายมันพรีเมียมจริง แต่หลังการขายจะพรีเมียมหรือเปล่า แล้วแต่บุญแต่กรรมจริงๆครับ อย่าคิดว่าซื้อเบนซ์เพื่อบริการหลังการขายที่ดีกว่ารถญี่ปุ่น เพราะบางทีมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น และเผื่อใจเรื่องความจุกจิกไว้บ้าง ผมไม่กล้าเอาหัวตัวเองพนันว่ามันจะทำตัวน่ารักไปอีกนานแค่ไหน ในรถอย่างตระกูล 300 BlueTEC Hybrid กับ 350 e ทั้งหลายจะมีเคสที่ต้องขึ้นรถยกกันอยู่เนืองๆ ในขณะที่ 220 d นั้นเห็นเพียงเคสเดียวในรุ่นหลังๆ ด้วยความซับซ้อนของรถสมัยนี้ทำให้อะไรก็เกิดขึ้นได้ และเมื่อปัญหาเกิดขึ้น การดูแลแก้ปัญหาก็มีทั้งที่จบสวย และไม่จบ ให้เตรียมพร้อมเรื่องนี้ไว้ด้วย ผมกลัวที่สุดคือการที่ต้องมองรางวัลชีวิตของท่านเปลี่ยนร่างเป็นมารผจญ

แต่ถ้าทุกอย่างมันไปได้ดีไม่มีปัญหา C 220 d ก็จะนับเป็นรถดีที่น่าขับแบบที่ไม่น่าเชื่อว่าเบนซ์จะทำรถรุ่นธรรมดาสามัญราคาเบาให้ขับสนุกได้แบบนี้ และมากับอุปกรณ์ที่จัดได้อย่างแยบยลและหน้าตารถที่ยังดูแพงได้ขนาดนี้ มันเกิดขึ้นแล้ว..และก็มีข่าวเหมือนกันว่า C 220 d นี้จะขายอยู่เพียงไม่นาน ก่อนที่รถ Plug-in Hybrid จะมาทำตลาดแทน ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลเรื่องธุรกิจ หรือเรื่องมลภาวะที่ดีเซลเริ่มกลายเป็นผู้ร้ายในสังคมรถก็ตามแต่

ผมเลยคิดอยู่พักนึงว่าจะมีความเห็นอย่างไร ท้ายสุดก็คิดได้สั้นๆว่า

“อยู่ต่อเลย (อีกสักพัก) ได้ไหม (วะ)”

——////——-

 

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :

ฝ่ายประชาสัมพันธ์

บริษัท Mercedes-Benz (Thailand) จำกัด

เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ


Pan Paitoonpong

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน

ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในประเทศ เป็นของผู้เขียนและคุณ Moo Cnoe

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com 6 กุมภาพันธ์ 2019

Pan Paitoonpong//Copyright (c) 2019

Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com

6 FEB 2019

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are welcome! CLICK HERE!

 


พาไปชมรถคันจริง Mercedes-Benz C 220d Avantgarde (Facelift) : 2,349,000 บาท