ถ้าหากพูดถึง AMG คุณนึกถึงอะไรกันครับ ?
ในหัวของผม อักษรสามตัวนี้ มันพาผมย้อนอดีตไปจนถึงสมัยเป็นเด็กดีดลูกแก้วเลยทีเดียว เมื่อใดก็ตามที่รถยนต์จาก Mercedes-Benz มีคำว่า AMG ต่อท้าย มันมักจะพาเราไปพบกับรถซิ่งมาดผู้ใหญ่ ที่มาพร้อมกับพละกำลังอันไม่ธรรมดา ตั้งแต่ช่วงปลายยุค 80s AMG ยังมีฐานะเป็นสำนักแต่งผู้เชี่ยวชาญงานมอเตอร์สปอร์ตที่เสกคาถาเรียกแรงม้าใส่รถของค่ายดาวสามแฉกจนมีชื่อเสียงบนหน้าปกนิตยสารยานยนต์ทั่วโลก
เมื่อ Mercedes-Benz เปิดตัวรถขนาดกลางอย่าง W124 ไม่กี่ปีหลังจากนั้น AMG ก็สร้าง 124 รุ่นพิเศษออกมาด้วยความบ้าแบบอัจฉริยะ เอาบอดี้ 124 มาใส่เครื่องยนต์ V8 5.6 ลิตร M117 ของ S-Class ลงไป เท่านั้นยังไม่พอ ขยายความจุไปเป็น 6.0 ลิตร โมดิฟายฝาสูบและพาร์ทต่างๆอีกเพียบจนมีแรงม้าถึง 387 ตัว แรงจนนักข่าวได้ลองขับก็ชมว่า “It bangs like a hammer” ชื่อรถ AMG Hammer เลยเป็นชื่อที่ถูกเรียก 124 พันธุ์แสบตั้งแต่ตอนที่ 500E ยังเป็นวุ้นอยู่เลยด้วยซ้ำ
ปัญหาของ Hammer ก็มีอยู่อย่างนึง..ราคามันสูงลิบลิ่วจนคนทั่วไปหาซื้อได้ยาก แล้วพอมาเป็นเมืองไทย โอกาสของคนธรรมดาที่จะได้สัมผัสรถของ AMG ก็แทบจะเหลือศูนย์ เมื่อราว 12 ปีก่อน Mercedes-Benz ประเทศไทยเคยนำ E55AMG Kompressor ตัวถัง W211 เข้ามาขาย มันคือรถแบบที่ผมใฝ่ฝันอยากได้มาตลอด รูปทรงสะอาดตา ไม่มีสปอยเลอร์หรือชุดแต่งให้รกเลอะเทอะเกินงาม ใต้ฝากระโปรงมีขุมพลัง V8 5.4 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จที่เป่าม้าออกมาถึง 476 ตัว แค่สตาร์ทแล้วเดินเบาเสียงก็กระหึ่มน้องๆเครื่องบินรบใบพัดแล้ว..แต่มันก็มีราคาสูงถึง 10.9-11.9 ล้านบาท ถ้าไม่ใช่มหาเศรษฐีจริงก็คงกลัวที่จะซื้อป้ายแดง
ผมได้แค่ลองขับ..และจดจำ แต่ไม่มีวันได้เป็นเจ้าของรถพวกนี้อย่างแน่แท้
ต่อมา..เมื่อราว 3 ปีก่อน ผมมีโอกาสได้ขับ A45 และ CLA45 ซึ่งเป็นผลิตผลจากรั้ว AMG ที่มาในราคาประมาณ 5 ล้านกลาง..ยังเกินเอื้อมสำหรับคนจนแบบผม แต่คนฐานะปานกลางค่อนไปทางรวยสามารถสนองฝันตัวเองได้ รถซีรีส์ “45” เหล่านี้ไม่ทำให้ผมผิดหวังในเรื่องพละกำลังอันรุนแรง ด้วย RACE START โหมดออกตัวพิเศษทำให้มันดีดไปราวกับ F/A-18 ที่ถูกดีดขึ้นจากดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบิน..สะใจ เพียงแต่ว่า..คาแรคเตอร์บางอย่างของรถ “45” เหล่านั้น ดูจะเป็นวัยรุ่นเกินไปสำหรับผม เมื่อขับมันไปนานๆ อยู่กับมันในวันที่รถติดหรือขับไปเรื่อยๆ ผมยิ่งรู้สึกว่ามันคล้ายกับรถซิ่งขับเคลื่อน 4 ล้อจากฝั่งญี่ปุ่น ช่วงล่างแข็งจริงจัง ไม่เหลือความเป็นผู้ใหญ่เอาไว้เลยสักนิด
เมื่อ 2016 Mercedes-AMG ก็มีตัวเลือกใหม่ปรากฏออกมา มันคือรถซีรีส์ “43” ที่เข้ามาสอดระหว่างวัยรุ่นพันธุ์โหดอย่าง “45” กับ V8 ผู้ใหญ่กระเป๋าหนักอย่างพวก “63” ทั้งหลาย..สัมผัสแรกของผมกับ SLC43 นั้นค่อนข้างระคนระหว่างความสมหวังกับความผิดหวัง เรื่องแรงน่ะไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องเสียงเครื่องยนต์ก็ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ หวานปนโหด ไม่ใช่โหดแบบโวยวาย แต่บอดี้ของ SLC นั้นมีอายุมาก และลักษณะการตอบสนองของช่วงล่างนั้นเหมือนรถตระกูล 45 ที่แข็งสะเทือน แล้วบวกความน่าขนลุกเวลาอยู่ในโค้งเข้าไปอีก แต่ด้วยความที่ค่าตัวถูกแค่ 4.99 ล้านบาท ข้อเสียต่างๆจึงดูเป็นเรื่องที่เจรจาได้
บางที ที่ผมคิดเช่นนั้น อาจจะเป็นเพราะผมยังไม่ได้ลองขับ C43 Coupe 4MATIC ซึ่งใช้เครื่องยนต์เดียวกัน เกียร์ลูกเดียวกัน แต่ต่างกันที่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ บอดี้แชสซีส์ใหม่ อุปกรณ์ครบครันกว่าในราคา 5,190,000 บาท ในช่วงเวลาที่ Mercedes-Benz Thailand พยายามสับคิวให้สื่อมวลชนยืมรถทดสอบนั้น ผมเองก็กำลังสานสัมพันธ์อยู่กับ BMW M2 ซึ่งแม้จะเป็นรถที่ราคาสูงเกินตัว แต่ประสิทธิภาพการตอบสนองทำให้ผมลืมความน่าสนใจของ C43 ไปข้ามปี
แล้ววันดีคืนดี Mercedes-Benz Thailand ก็ทำเซอร์ไพรส์ช็อคโลกใบเล็กๆของนักเลงรถชาวไทย ด้วยการประกาศนำ C43 Coupe มาประกอบขายในประเทศ…ช็อคทั้งวงการ เพราะนี่คือรถ AMG แท้รุ่นแรกที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบนอกเยอรมันแล้วขายอย่างเป็นทางการ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ฝั่งเยอรมันมีต่อแรงงานไทย และเจตนารมณ์ของผู้บริหารไทยที่จะผลักดันแบรนด์ AMG ให้ติดลมบนจริง
พวกเขาจัดงานเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ที่สนามพีระฯ และประกาศราคาออกมา 4,140,000 บาท! ทันทีที่อ่านข้อความที่คุณหมูส่งมาเล่าทาง Inbox จากในงาน ผมได้แต่อุทานเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับการสังวาสกับสัตว์เลื้อยคลานสองพยางค์ซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยความตกใจว่าฝั่ง Thailand กล้าขนาดนี้เลยหรือ!!!
แล้วพอข่าวการเปิดตัวและรายละเอียดลงบนเพจ Facebook ของ Headlightmag ก็พบว่ายอด comment และ share ทะลุยอด เกินหน้ารถกระบะและอีโคคาร์หลายค่าย ทำให้คุณหมูเล็งโอกาสงามๆที่จะยืมรถทดสอบมาเก็บภาพคันจริง และเปิดโอกาสให้ผมได้ลองขับ เพียงแต่เรามีเวลาอยู่กับมันไม่นานเพราะคิวจองรถทดสอบ C43 แน่นยิ่งกว่าคิวงานน้องเฌอปรางเสียอีก
เอาวะ! ยังไงก็ต้องขอลองขับให้ได้ล่ะแม้จะได้อยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็เถอะ
C43 4MATIC Coupe นี้ จะมีรหัสตัวถังว่า WDD205364 ขนาดมิติของตัวรถ มีความยาว 4,696 มิลลิเมตร กว้าง 1,810 มิลลิเมตร สูง 1,405 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,840 มิลลิเมตร ความกว้างของช่วงล้อหน้า/หลัง (Front/Rear Track) อยู่ที่ 1,563 และ 1,546 มิลลิเมตรตามลำดับ ความจุถังน้ำมัน 66 ลิตร น้ำหนักตัวตาม Eco Sticker 1,735 กิโลกรัม
ขนาดตัวก็ไม่ได้โตมากเมื่อเทียบกับรถสมัยนี้ แต่ที่น้ำหนักตัวเยอะ เห็นจะเป็นเพราะชุดขับเคลื่อน 4MATIC ที่เสริมเข้ามา C43 หนักกว่า SLC43 ถึง 140 กิโลกรัม และเบากว่า C63 V8 ขับหลังแค่ 50 กิโลกรัม
รูปทรงภายนอกของรถ บอกได้เลยว่าแทบแยกความแตกต่างระหว่าง C43 และ C250 Coupe AMG Dynamic ธรรมดาแทบไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นชุดกันชนหน้า/หลัง สเกิร์ตแบบ AMG Sport Styling กระจังหน้าแบบ Diamond-grill หรือแม้แต่ขนาดล้อ ซึ่งรุ่น C250 AMG Dynamic ของบ้านเราก็ได้ออพชั่นล้อ AMG Multi-spoke 19 นิ้วมาใส่ไปแล้ว ทำให้ C43 ต้องหนีไปใช้ล้ออัลลอยลาย 5 ก้านคู่ Double-spoke แทน เรียกว่าถ้าจับใส่ล้อลายเดียวกัน วิ่งผ่านๆ ไม่ดูป้ายรุ่นก็จะแยกไม่ออก
อย่างไรก็ตาม จุดสังเกตที่พอจะทำให้รู้ได้ว่านี่ของแรงมาเอง อยู่ที่สปอยเลอร์เสริมเป็นตูดเป็ดเล็กๆด้านท้ายรถ กระจกมองข้างสีดำ และป้ายคำว่า BITURBO ที่อยู่ตรงแก้มหน้ารถนั่นล่ะ ดังนั้นใครคิดจะไปล้อเล่นกับเขาก็ควรสังเกตป้ายรุ่นให้ดีก่อน
ภาพลักษณ์ภายนอกโดยรวมของ C43 เป็น Sleeper สไตล์ผู้ใหญ่ที่เอาไว้ฆ่ารถเด็กวัยรุ่นชัดๆ มันแทบไม่มีอะไรบ่งบอกว่านี่คือรถ 367 แรงม้า ไม่ได้มีโป่งข้างโตๆแบบ BMW M2 ดังนั้นจึงอาจจะไม่ถูกใจนักซิ่งที่นิยมรถดูมีมัดกล้าม แต่พวกสายแรงแบบซ่อนๆ เน้นขับเข้าด่านตำรวจปล่อยผ่านสบายๆน่าจะโอเค
กุญแจของรถเป็นแบบ Keyless GO คือเป็น Smartkey แบบที่สามารถพกไว้กับตัว เวลาจะขึ้นรถ ก็เอามือจับตรงที่เปิดประตู รถก็จะปลดล็อคให้ในทันที และสามารถเซ็ตผ่านจอกลางได้ว่าจะให้ปลดล็อคประตูทุกบาน หรือปลดล็อคแค่บานคนขับ
เมื่อก้าวเข้ามาภายใน ก็รู้สึกไม่แปลกใจที่บรรยากาศโดยรวมจะไม่ฉีกแนวไปจาก C250 Coupe AMG Dynamic เท่าไหร่ แม้แต่เบาะนั่งก็มีทรวดทรงที่ละม้ายคล้ายกันมาก ต่างกันที่วิธีการเย็บหนังลงบนตัวเบาะ ลวดลายบนส่วนกลางของเบาะจะต่างกัน และ C43 จะได้ภายในโทนสีดำ เย็บตะเข็บสีแดง และมีเข็มขัดนิรภัยเส้นสีแดง
เบาะนั่งทรงสปอร์ตนี้ ปรับตำแหน่งได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า พร้อมหน่วยความจำตำแหน่งเบาะ 3 ตำแหน่ง ครบทั้ง 2 ฝั่ง ทำงานเชื่อมกับพวงมาลัยปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง มีระบบ Easy Entry ถอยเบาะและยก/ถอยพวงมาลัยหลบเพื่อให้เข้าออกรถได้ง่ายๆ ให้ความรู้สึกกระชับพอสมควรจากปีกด้านข้างที่ค่อนข้างโต ไม่ว่าจะเป็นส่วนของพนักพิงหลังหรือเบาะรองนั่ง มีความแข็งมากกว่าเบาะของ Mercedes-Benz ซาลูนที่เน้นหรูทั่วไปเพื่อไว้รองรับงานจัดหนัก ส่วนที่รองน่องสามารถปรับยืดออกได้คล้ายเบาะ M Sport ของ BMW ทำให้เบาะรองนั่งมีขนาดความกว้างและยาวพอจะรับคนตัวใหญ่อย่างผมได้อย่างสบาย พนักพิงหลังก็ใหญ่โอบอุ้มหลังได้ดีกว่าของ SLC43 เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่หัวทุยหรือชอบนั่งโดยเอาศีรษะพิงหมอนรองแบบเต็มๆ อาจจะรู้สึกว่าพนักพิงศีรษะดันกบาลอยู่บ้าง ดันมากกว่าเบาะของ SLC43 และ BMW M2 ต่อให้ปรับองศาการเอียงไปด้านหลังสุดแล้วก็ตาม ยังดีที่ตัวหมอนมีความนุ่มนวลปราณีหัวอยู่บ้าง หาไม่เช่นนั้นก็คงโดนผมด่าไม่ต่างอะไรกับเบาะของ A45/CLA45
แผงแดชบอร์ด ตกแต่งมาอย่างสวยงามมีสไตล์ ผสานระหว่างแฟชั่นที่มาจากยุคคลาสสิคกับความล้ำสมัยของโลกยุค Everything Automatic ได้อย่างลงตัว Mercedes-Benz (AMG) รู้จักการเลือกใช้วัสดุในจุดต่างๆที่ตัดกันอย่างเหมาะสม ส่วนที่เป็นพลาสติกสีเงินบนแดชบอร์ดกับแผงประตูให้ความรู้สึกคล้าย Brushed Aluminum จริง งานคาร์บอนเคลือบเงาที่คอนโซลกลางก็ทำออกมาได้ดี และช่วยให้เห็นรอยนิ้วมือกับฝุ่นได้ยากกว่าวัสดุดำ Gloss อย่างที่เราพบใน C-Class Cabriolet
สวิตช์ควบคุมต่างๆจัดวางมาในสไตล์เดียวกับเบนซ์ยุคใหม่ทั้งหลาย แผงควบคุมกระจกไฟฟ้า และสวิตช์สำหรับปรับเบาะพร้อมระบบความจำจะอยู่บนแผงประตู ถัดมา ใต้ช่องแอร์จะมีปุ่มสำหรับเปิด/ปิด เซนเซอร์สำหรับการเข้าจอด ซึ่งควบคุมระบบจอดรถอัตโนมัติด้วย เคียงข้างกับสวิตช์เปิดระบบกล้อง 360 องศาไว้มองรอบคัน ใช้งานได้ที่ความเร็วต่ำ ถัดลงมาเป็นปุ่มหมุนสำหรับเปิดไฟหน้า, ไฟตัดหมอกหลังกับปุ่มปรับความสว่างไฟหน้าปัด ปุ่มสตาร์ทจะซ่อนมาทางซ้ายของสวิตช์ไฟหน้า ส่วนปุ่มเบรกมือไฟฟ้า จะอยู่แถวล่างลงมา สังเกตได้ยากอยู่สักหน่อย
พวงมาลัยเป็นแบบสปอร์ต 3 ก้านทรงท้ายตัด แบบเดียวกับของ C250 Coupe AMG Dynamic มีปุ่มสำหรับควบคุมจอ MID ของหน้าปัดอยู่บนก้านซ้าย และปุ่มควบคุมเครื่องเสียงกับฟังก์ชั่นการรับโทรศัพท์อยู่ที่ก้านขวา ชุดก้านคอพวงมาลัยทางซ้ายมือจะประกอบไปด้วยชุดไฟเลี้ยว/ชุดปัดน้ำฝน ก้านสั้นสำหรับปรับพวงมาลัย 4 ทิศทาง และก้านสำหรับ Cruise Control ส่วนทางขวาของคอพวงมาลัยก็จะเป็นคันเกียร์
การใช้งานก้าน Cruise Control ไม่ได้ยาก แค่กระดกเข้าหาตัว 1 ทีก็พร้อมล็อคความเร็วได้เลย แต่ต้องไม่เผลอไปนึกว่าเป็นก้านตบไฟสูงนะครับไม่งั้นจะเข้าโหมด Cruise โดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกันกับคันเกียร์ ซึ่งแม้จะใช้สบายเมื่อชิน แต่บางคนที่ชินกับรถญี่ปุ่นเวลาเลี้ยวซ้ายแล้วเผลอเอามือขวาปัดก็จะไปเข้าเกียร์ว่างได้
จุดนี้ผมไม่ชอบและยังยืนยันว่าคันเกียร์ดีๆที่จับโยกถนัดมือใช้งานได้ง่ายกว่า พอคันเกียร์แบบดั้งเดิมถูกแทนที่ด้วยชุดเมาส์และปุ่มหมุนสำหรับระบบมัลติมีเดีย มันเลยดูเหมือนรถเน้นลูกเล่นมากกว่าที่จะเน้นการขับ ยิ่งถ้าจะกดโหมด M ของเกียร์ คุณต้องย้ายมือข้ามเมาส์ Touch มากดปุ่มที่ฝั่งซ้าย ตัวปุ่มก็เรียบเสมอกันหมดระหว่างปุ่ม M กับปุ่มปรับความแข็งช่วงล่าง ทำให้เสียเวลาจำและคลำพอสมควร
ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ มีสวิตช์คุมอยู่ใต้ช่องแอร์ แยกปรับอุณหภูมิได้ 2 ฟาก หรือจะสมัครสมานปรองดองความเย็นกันก็แค่กดปุ่ม Sync ส่วนชุดเครื่องเสียงของ Burmester นั้น ให้มิติเสียงที่น่าพอใจสมฐานะรถราคาหลายล้าน เพียงแต่ยังขาดความเป็นสามมิติและ Front Stage ที่ลึกล้ำแบบ Bang & Olufsen ของ Audi และยิ่งไม่ต้องไปเทียบกับชุด Bower & Wilkins ของ Volvo
แผงมาตรวัด แตกต่างจาก C-Coupe รุ่นปกติแบบชัดเจน มีการคาดพื้นลายตาหมากรุก และใช้ Font แบบตัวไม่เอียง มาตรวัดความเร็วเพิ่มจาก 260 เป็น 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หน้าจอ MID โชว์ฟังก์ชั่นต่างๆคล้ายของรุ่นปกติ แต่พิเศษตรงที่เพิ่ม AMG Meter มาให้ ซึ่งหน้าจอนี้จะคล้ายของ SLC43 โดยมีวัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง และน้ำมันเกียร์มาให้ แต่ในขณะที่ SLC มีมาตรวัดความร้อนหม้อน้ำเป็นตัวเลข ของ C43 จะถูกเอาออกแล้วแทนที่ด้วยแถบวัดบูสท์แทน ส่วนของหน้าปัดนี้ไม่มีอะไรให้ติยกเว้นมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงกับความร้อน แทนที่จะทำเป็นเข็มให้เหลือบมองง่ายๆกลับขึ้นเป็นดวงไฟเล็กๆแทน มาฟอร์มเดียวกับ Audi ใหม่ๆ และอ่านค่ายากเมื่อมีแสงแยงตา
บรรยากาศห้องโดยสารยามอาทิตย์อัสดง คือจุดเด่นอย่างหนึ่งของ Mercedes-Benz ซึ่งถนัดนักในการเอาไฟส่องกบส่องหมึกมาสาดสีตามจุดต่างๆ ทำให้ดูมีลูกเล่นเหมือนนั่งในเลานจ์แพงๆ คุณสามารถเลือกได้ 3 สีระหว่าง ขาว ส้ม และสีฟ้า แต่มันจะเป็นการปรับแสงเฉพาะบางจุดของห้องโดยสาร แสงไฟหลักยังคงเป็นสีส้มอ่อนแบบเยอรมันสไตล์เบนซ์อยู่
แม้ว่าลูกเล่นทางด้านความหรูหราจะยังไม่เท่าพี่ใหญ่อย่าง E-Class โดยเฉพาะพวกรุ่นที่มีจอแก้วยาวเชื่อมจอกลางกับหน้าปัด แต่ถ้ามองในฐานะรถที่เน้นสมรรถนะด้วย ห้องโดยสารของ C43 ถือว่าทำมาได้ดีแล้วล่ะครับ
***รายละเอียดทางวิศวกรรมและการทดลองขับ****
C43 4MATIC วางเครื่องยนต์เบนซิน รหัส M276.823 (SLC43 จะเป็น .822) V6 DOHC 24 วาล์ว 2,996 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 88.0 x 82.1 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.7 : 1 หัวฉีด Direct Injection แบบฉีดหลายจังหวะ แรงดันเชื้อเพลิง 200 บาร์ เทอร์โบคู่ติดตั้งไว้ข้างฝาสูบรอบนอก แรงดันบูสท์ 1.1 บาร์ กำลังสูงสุด 367 แรงม้า (HP) ที่ 5,500 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร (52.98 กก.-ม.) ที่ 2,000 – 4,200 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC อัตราการปล่อย CO2 ตามตัวเลขที่แจ้งกรมสรรพสามิตอยู่ที่ 183 กรัม/กิโลเมตร (SLC43 ได้ 191 กรัม/กิโลเมตร..ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน รถก็หนักกว่ากลับปล่อยมลพิษน้อยกว่าซะงั้น)
ตัวเครื่องยนต์ M276 ในตระกูล “43” ทั้งหลายนั้น จะใช้เสื้อสูบ และฝาสูบแบบอะลูมิเนียม มีการเคลือบ Nanoslide บนผนังกระบอกสูบเพื่อช่วยลดการสึกหรอ มีระบบแคมชาฟท์แปรผันทั้งฝั่งไอดี ไอเสีย และข้อเหวี่ยงทำมาจาก Forged Steel
สำหรับเรื่องระบบส่งกำลังนั้น C43 ใช้เกียร์อัตโนมัติ ทอร์คคอนเวอร์เตอร์ 9 จังหวะแบบ 9G-Tronic ซึ่งเป็นเกียร์ลูกใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาทดแทนเกียร์ 7 จังหวะลูกเดิม นับเป็นเกียร์ 9 จังหวะพร้อม Torque Converter แบบ Hydrodynamic รุ่นแรกที่ติดตั้งลงในรถระดับพรีเมียม ตัวเลขอัตราทดมีสเป็คดังนี้
เกียร์ 1 ……………….5.354
เกียร์ 2 ……………….3.243
เกียร์ 3 ……………….2.252
เกียร์ 4 ……………….1.636
เกียร์ 5 ……………….1.211
เกียร์ 6 ……………….1.000
เกียร์ 7 ……………….0.865
เกียร์ 8 ………………0.717
เกียร์ 9 ………………0.601
เกียร์ถอยหลัง 4.93 อัตราทดเฟืองท้าย 3.07
จะเห็นได้ว่าอัตราทดเกียร์แต่ละจังหวะเท่ากับ SLC43 เป๊ะ เพียงแต่เปลี่ยนเฟืองท้ายให้จัดกว่า (SLC ใช้ 2.82) มันถูกปรับจูนโดยวิศวกร AMG ให้มีนิสัยมุทะลุดุดันขึ้น (ถ้าไม่ใช่โหมด Eco หรือ Comfort) ในโหมด Sport กับ Sport + จะมีโหมด Double De-clutching และถ้าเข้า Sport + จะมีการตัดองศาจุดระเบิดช่วยในขณะเปลี่ยนเกียร์ และปรับการเปลี่ยนเกียร์ให้ไวกว่าในรุ่นอื่นๆ นอกจากนี้เวลาใส่โหมด M เกียร์จะไม่ยอมเปลี่ยนแม้จะลากรอบจนถึงจุดที่เครื่องยนต์ตัดการทำงานก็ตาม
กำลังจากเกียร์จะถูกถ่ายลงสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ที่เรียกว่า AMG Performance 4MATIC ซึ่งในการทำงานโหมดปกติจะเป็นแบบ Full-time All Wheel Drive มีการส่งกำลังไปที่ล้อหน้าและหลังในอัตราส่วน หน้า 31% หลัง 69%
ตัวเลขอัตราเร่งที่เคลมไว้โดยทางเยอรมนี แจ้งว่า ส่วน C43 นั้นจะใช้เวลาเร่ง 0-100 แค่ 4.7 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุด แจ้งว่าล็อคเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ในการทดสอบจริงเนื่องจากเวลาจำกัด ผมจึงไม่ได้ลองจับอัตราเร่งตามมาตรฐานปกติของเว็บไซต์ แต่เท่าที่จับได้นั้น
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อยู่ที่ประมาณ 5.9-6.05 วินาที
80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาประมาณ 4.2-4.4 วินาที
พละกำลังจากแรงบิด 520 นิวตันเมตร ดึงโหดในลักษณะเดียวกับ SLC43 มันไม่มีโหมด RACE START แต่แค่ตอกคันเร่งลงไป เทอร์โบพร้อมจะติดบูสท์ตั้งแต่ 2,000 รอบในเกียร์แรก ชะงักเพียงพริบตาเดียวก่อนกวาดยาวจนเกือบถึงเรดไลน์ และเดินหน้าต่อราวกับน้ำตกไนแองการ่า ไหลมาเทมาจนใช้เวลาแค่ 22 วินาทีก็แตะ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้แล้ว เสียงคำรามของเครื่องยนต์ขณะกดเต็มเท้า (ในโหมด Sport Plus) จะไม่ดังลั่นมากเท่า SLC43 แต่มาในโทนของ V6 เทอร์โบพันธุ์ดุ ที่ฟังแล้วรื่นรมย์กว่าเสียง 4 สูบเป็นไหนๆ
รถที่เร็วกว่านี้ แล้วราคาถูกกว่านี้ ก็เห็นจะมีแต่รถซิ่งญี่ปุ่นอย่าง WRX STi ซึ่งก็เร็วพอจะไล่กับ C43 ได้ถึงแค่ราว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หลังจากนั้นไป ตีนปลายของ AMG ไหลขึ้นอย่างน่ากลัวกว่า เป็นรถประเภทที่ทำให้คุณรู้สึกว่าถ้าหากโลกนี้ไม่มีใบสั่ง คุณอาจจะย่ามใจจนกดไป 200 แล้วลงมา 100 กดไป 200 แล้วลงมาอีกได้เรื่อยๆ มันง่ายขนาดนั้นเลยครับ
การตอบสนองของคันเร่งกับเกียร์นั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกการขับเคลื่อนไว้โหมดใด ถ้าเป็น Comfort รถก็จะเปลี่ยนเกียร์นุ่มใกล้เคียงรถบ้าน ออกตัวด้วยเกียร์ 2 เนิบๆ (แต่ถ้ากดคันเร่งครึ่งนึงก็ยังไปไวกว่ารถบ้านออกตัวเกียร์ 1 เยอะ) ขับในเมืองสบายเหมือนรถบ้านเกียร์อัตโนมัติทั่วไป เวลาคิกดาวน์จะพยายามลงให้ทีละเกียร์ เว้นเสียแต่ว่าเหยียบคันเร่งมิด ส่วนโหมด Sport Plus นั้น นอกจากจะได้เสียงท่อกับเสียงปุปะปุงปังมาเป็น Sound Effect แล้ว การทำงานของเกียร์ก็จะดุขึ้น ที่รู้สึกแปลกก็คือ เวลาซัดโหดๆ มันเปลี่ยนเกียร์เร็ว คิกดาวน์เร็วคล้ายคลัตช์คู่มาก ซึ่งเกียร์ลูกเดียวกันนี้ไปอยู่ใน SLC43 กลับดูเหมือนไม่ใจถึงเท่า
ในเรื่องความแรง พอสรุปได้ว่ามันสะใจแบบเดียวกับ SLC43 แต่การทำงานของเกียร์ดูจะแสนรู้กว่ากันอยู่นิดหน่อย โดยรวมมันอาจจะไม่ไวเท่า BMW M2 แต่ผมเชื่อว่าน่าจะต่างกันในหลักเสี้ยววินาทีชนิดไม่เอานาฬิกาจับอาจจะไม่รู้
ระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบ AMG Speed-sensitive Sports Steering เรียกซะยาว แต่มันก็คือพวงมาลัยเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า ที่ทาง AMG มีส่วนช่วยในการปรับเซ็ตน้ำหนัก การตอบสนองจะขึ้นอยู่กับโหมดที่เลือก หรือจะเซ็ตเองในโหมด Individual ก็ได้ระหว่าง Comfort กับ Sport ซึ่งในโหมดแรก น้ำหนักที่ความเร็วต่ำจะเบาสบายมือ แต่ไม่ได้โหวงเกินไป และทวีความหนืดขึ้นที่ความเร็วระดับเลขสามหลัก แต่โหมด Sport นั้น “จบกว่า” ด้วยความตึงมือที่เหมาะสมทั้งความเร็วต่ำและสูง
มันอาจจะไม่คมกริบเท่า M2 แต่ก็ไม่ได้ต่างกันจนต้องเอามาคิดเป็นสาระ ที่สำคัญคือการตอบสนองพวงมาลัยดีกว่า SLC43 มาก รายนั้นช่วงถือตรงและยึกซ้ายขวานิดๆเหมือนจะเนือย แต่พอหักเพิ่มอีกนิดกลับเปลี่ยนเลนทั้งคัน แต่ C43 จะหนืดกลางและหักมุมล้ออย่างค่อยเป็นค่อยไปตามองศาการเลี้ยว แต่ถ้าหักเกิน 45 องศาขึ้นไป ความไวจะคล้ายกัน
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระ Four-link พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงก์พร้อมเหล็กกันโคลงเช่นกัน จุดเด่นของ C43 ที่มีเหนือคู่แข่งพิกัด/ราคาใกล้เคียงกันคือช่วงล่างปรับความแข็ง/อ่อนได้ แบบ AMG Ride Control Sports Suspension ซึ่งสามารถเลือกโหมดการทำงานได้ 3 ระดับ คือ Comfort/ Sport/ Sport Plus ซึ่งตัวโช้คอัพจะมีความหนืดที่แปรผันได้หลากหลาย ไม่ได้จับเป็น 3 Step ความหนืด (ถึงใช้คำว่า “เลือกโหมดการทำงานได้ 3 ระดับ” ไม่ใช่ “ปรับความแข็งได้ 3 ระดับ”ไงครับ) และโช้คอัพแต่ละข้างยังปรับให้มีความหนืดที่แตกต่างกัน ในช่วงเวลาเดียวกันได้ ขึ้นอยู่กับสไตล์การขับขี่ในขณะนั้น
ในโหมด Comfort ช่วงล่างของ C43 จะทำตัวประหนึ่งว่ามันเป็น C250 Coupe ธรรมดาๆ นุ่มนวลในช่วงแรกๆของการยุบ แต่แน่นขึ้นเมื่อโช้คอัพยุบมากขึ้น (บางจังหวะรู้สึกว่ารถนิ่งกว่า C250 ที่เป็นโช้คอัพธรรมดาด้วยซ้ำ อาจจะเพราะกลไก Variable Damper ช่วย) ซับแรงกระแทกได้ดีพอประมาณ ถ้าไม่ใช่ว่ายางที่ใช้ เป็นยาง Continental ContiSportContact 5P คู่หน้า มีขนาด 225/40 R19 – คู่หลัง 255/35 R19 ที่แก้มค่อนข้างบางก็คงเป็นรถที่นั่งสบายไปเลย
ขนาดปรับไว้โหมด Comfort ช่วงล่างของมันก็พอให้คุณเล่นโค้งความเร็วต่ำๆได้แบบไม่ขนลุก มีอาการท้ายและหน้าโย้ไปตามแนวระนาบให้รู้สึกบ้างแต่ก็ยังมั่นใจกว่าช่วงล่างเดิมของ C250 Coupe ที่ผมเคยลองมา พอปรับเป็น Sport Plus คราวนี้แข็งหนึบ ฟีลรถสำหรับงานซนแบบ BMW M2 มาเต็ม กลายเป็นรถช่วงล่างแข็งเฟิร์มที่ขับบนถนนขรุขระแล้วกลับไม่น่ารำคาญ เวลาเอาไปโยนโค้งกว้างๆความเร็วสูงนั้น ถ้าเป็น SLC43 จะเหมือนมีปิศาจสิงท้ายรถ พยายามจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ ทำให้ขับแล้วขนลุก แต่ C43 อาการที่่ว่านั้นมีน้อยมาก มั่นคงกว่ามาก แต่ถ้าคุณซนกดคันเร่งเวอร์ๆ ท้ายก็จะออกคล้ายรถขับหลังนิดๆ ไม่ได้น่ากลัวอะไร
ระบบเบรกเป็นชุดแต่งพิเศษของ AMG ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรก ขนาด 360 มิลลิเมตร จานเบรกแบบมีครีบระบายความร้อนและเจาะรู จับคู่กับคาลิเปอร์ 4 Pot ส่วนด้านหลังเป็นจานขนาด 320 มิลลิเมตร มีครีบระบายความร้อน ไม่เจาะรู จับคู่คาลิเปอร์แบบ Floating 1 Pot ธรรมดา มีความสามารถในการยับยั้งความเร็วจาก 200 เหลือ 80 ได้ตามสั่ง ทำซ้ำหลายรอบก็ไม่ออกอาการ แถมเวลากดเบรกหนักๆ ตัวรถยังนิ่ง ไม่ว่อกแว่กน่าสยิวกิ้วแบบ SLC43 ระยะเหยียบแป้นเบรกสั้นปานกลางและมีน้ำหนักต้านเท้าเบากว่า M2 นิดหน่อย
********** สรุป **********
คูเป้ยุโรปแบรนด์หรู แรงโดนเท้า ราคาโดนใจ
สิ่งที่ผมประทับใจใน C43 4MATIC Coupe นี้ก็คือ ในที่สุด AMG ก็ทำรถที่มีคาแรคเตอร์แบบผู้ใหญ่ซิ่ง มีแรงม้าสูง มีความหรูหรา และสามารถขับใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดี และมาในราคาที่คุณไม่ต้องเป็นเศรษฐีร้อยล้านก็ซื้อมาใช้ได้อย่างสบายใจ เหมาะกับคนที่ชอบรถสไตล์ Sleeper สงวนทีในรูปลักษณ์ แต่ถ้าอยากรู้จักก็ลองมาไล่บี้ดูได้ เดี๋ยวสวยแน่นอน
อัตราเร่ง และการตอบสนอง รุนแรงและรวดเร็ว มันทำให้คุณมีความรู้สึกเป็นจ้าวถนนเย่อหยิ่งอยู่ได้สักพักจนกว่าจะมีซูเปอร์คาร์ของแท้มาไล่บี้นั่นล่ะ คุณจึงจะต้องยอมเปิดไฟเลี้ยวชิดซ้ายไป การตอบสนองของคันเร่งกับเกียร์ทำได้ดีในระดับที่น่าพอใจ มันดูจะแสนรู้และพร้อมรับต่อคำสั่งของคนขับดีกว่าเบนซ์ทั่วไปในตลาด แม้แต่เกียร์ในโหมด Sport/Sport Plus ก็รู้สึกว่าทำงานได้คมกริบกว่า SLC43 (ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะเกียร์ 9 จังหวะใน C300 Cabriolet กับ SLC300 ผมก็พบว่าเกียร์ของ C ทำงานดีกว่า)
ช่วงล่างและการเกาะถนน บาลานซ์มาได้ดีแบบเยอรมัน Sport-tuned กล่าวคือ ในโหมด Comfort คุณสามารถพาสาว หรือแม่ยายไปกินข้าวได้แล้วไม่ต้องกลัวว่ามันจะสะเทือนจนโดนแม่ยายเอาร่มตบหัว คุณสามารถใช้ความเร็วสูงเดินทางต่างจังหวัดได้อย่างผ่อนคลายแต่หนักแน่น พอเข้าโหมด Sport/Sport Plus ช่วงล่างและพวงมาลัยจะตึงขึ้นจนรู้สึกได้ C43 ในโหมดนี้สามารถคุมการยวบของบอดี้ได้ดีจนเกือบเหมือน BMW M2 ที่เป็น Benchmark ของคลาส และในขณะที่ SLC43 จะมีลักษณะเหมือนรถพยายามดีดดิ้น พยศ และพร้อมจะท้ายออกตลอดเวลา C43 จะไม่ออกอาการมากเท่า แต่ถ้าคุณตอกคันเร่งในโค้ง..พยายามอย่าคิดว่ามันเป็นรถขับสี่ ให้คิดว่ามันเป็นรถขับหลังที่ล้อหน้ามีส่วนช่วยนิดๆ นั่นล่ะคือมัน
นอกจากเรื่องความแรงแล้ว ความหรูก็ใช่ย่อย อะไรก็ตามที่คุณได้ใน C250 Coupe AMG Dynamic คุณก็ได้มันใน C43 ด้วย เบาะไฟฟ้าพร้อมระบบความจำยกคู่ หลังคา Panoramic เครื่องเสียงลำโพง Burmester ระบบมัลติมีเดียที่เป็นเหมือนเบนซ์ยุคใหม่ ระบบนำทาง ไฟสูงอัตโนมัติ ระบบจอดรถอัตโนมัติ (ที่หลายท่านไม่รู้ว่ามี!) ระบบ Auto-brake hold ที่ไม่มีปุ่มให้กด แค่ว่าตอนรถหยุดนิ่งแล้ว คุณกดเบรกลงไปลึกๆแรงๆ มันก็ทำงานได้ (ฉลาดดีไม่ต้องมีปุ่มเพิ่ม) ทั้งหมดนี้ตบท้ายด้วยการตกแต่งห้องโดยสารอย่างมีรสนิยม ชนิดที่ M2 หรือแม้แต่ M4 ก็ทาบไม่ติด
ถ้ามีอะไรที่ยังกวนใจอยู่บ้าง น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นปัญหาเฉพาะกับบางคน ผมก็จะให้ความเห็นจากมุมมองของผมแล้วกันครับ
ประการแรกคือ แม้จะเป็นรถ Performance Car แต่พื้นฐานของมันยังเป็นรถหรู ในบางจุดก็มีรายละเอียดที่ต้องแชร์กันใช้กับรุ่นปกติ ทำให้อารมณ์รู้สึกขาดๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคุณอยากได้ Performance Car ที่ขับในสนามแข่งได้สนุก คุณอยากได้เบรกมือแบบก้านดึงดีๆ หรือเบรกมือไฟฟ้า? M2 เลือกอย่างแรก และ C43 จบกับอย่างหลัง เสียอรรถรสความซนไป แต่ได้ความสบายกับ Auto-brake hold มาแทน อย่างที่สองคือคันเกียร์ที่อยู่กับพวงมาลัย..มันอาจจะสบายสำหรับคนที่ขับเบนซ์เวอร์ชั่นบ้านๆ แต่ในการขับแบบดุดันรวดเร็ว คันเกียร์ควรจะอยู่ในตำแหน่งที่ฉวยจับได้ง่าย ใช้งานเข้าใจง่าย..แล้วพอจะเข้า Manual Mode ในรถซิ่งอื่นๆคุณแค่ตบคันเกียร์ไปซ้าย หรือขวา แต่กับ C43 คุณต้องคลำหาปุ่ม M ซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายของ Touchpad ที่ไกลจากคนขับและมองเห็นได้ยาก
บางคนอาจจะบอกว่า “ตบปุ่มบวกลบเล่นเกียร์เองเลยได้นี่ มันก็เข้า Manual Mode ให้” ก็ถูกครับ แต่ถ้าคุณไม่ได้แตะ Paddle สักพัก มันก็จะกลับเข้าไปเกียร์ D Auto เองใหม่ และอันที่จริงปุ่มควบคุมโหมดการขับต่างๆมันควรจะอยู่ใกล้มือคนขับ เป็นปุ่มใหญ่ มีความนูน คลำหรือกดได้ง่าย ตรงนี้ถ้าไม่เชื่อคุณลองไปพยายามกดสั่ง Mode ต่างๆใน M2/M4 ดูครับ จะเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร
ส่วนเรื่องเบาะนั้น นานาจิตตัง ผมคิดว่าเรื่องความใหญ่โตและกระชับ C43 สอบผ่านสบาย แค่ว่าพนักพิงศีรษะมันดันหัว และผมเป็นคนที่ชอบขับรถแล้วเอาหัวพิงเต็มที่ เลยรู้สึกขาดความสบายช่วงต้นคอไปบ้าง ก็เท่านั้น
ถ้าเทียบกับรถของคู่แข่ง หากโจทย์ของคุณเป็นรถพรีเมียมแบรนด์ยุโรป งบไม่เกินหกล้าน มันก็จะมีตัวเลือกระหว่าง C43, BMW M2, ฺBMW 430i, Audi A5 45TFSI quattro, หรือ Audi TTS
BMW 430i M Sport จะมีราคาถูกที่สุดด้วยค่าตัว 3,990,000 บาท คุณได้รถที่มีการขับขี่ดี หน้าเบาและไวแบบ 4 สูบ หน้าตาหล่อสำเร็จรูปจากโรงงาน มีสีสันสวยๆแปลกๆให้เลือกเยอะ ช่วงล่างหนึบแบบมีความหนุ่มเหลือ เกียร์กับคันเร่งแสนรู้ แต่ได้แรงม้า 252 แรงม้า..มันพอล่ะครับสำหรับการสร้างรอยยิ้ม แค่จะฉีกยิ้มไม่กว้างเท่าพวก 6 สูบ
ส่วนแบรนด์ Audi ก็มี A5 quattro ซึ่งมีพละกำลังเทียบได้กับ 430i แต่ราคาแพงกว่า C43 ไปราวแสนบาท..ดังนั้นถ้าเลือก A5 แปลว่าคุณอยากได้รถที่หายากบนถนน มีรูปลักษณ์ไม่เหมือนใคร ไม่ตามใคร และได้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่มีนิสัยเป็นขับสี่จริงๆ เพราะถ้าไม่นับจุดนี้ ประสิทธิภาพที่เหลือก็ใกล้เคียงกับ 430i ส่วน TTS นั้น..ผมยังไม่เคยขับครับ แต่ด้วยราคา 4,499,000-4,599,000 บาท คุณอาจจะต้องใจป๋าสักนิด แต่ขนาดรุ่นธรรมดา 230 ม้ายังสร้างอัตราเร่งและความสนุกสนานได้ดี ผมว่า 286 แรงม้าของ TTS ก็อาจจะมีเซอร์ไพรส์ได้เหมือนกัน น่าจะเป็นรถเล็ก คล่อง ที่มีตีนต้นร้ายกาจไม่เบา
ฺBMW M2 เป็นรถที่สร้างขึ้นมาสำหรับการซิ่ง มีความเป็น Performance Car ในตัวมากกว่า C43 ด้วยลักษณะการออกแบบรถที่ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป ได้อารมณ์เพียวแบบรถสมรรถนะสูง เกียร์คลัตช์คู่ที่ทำงานเร็ว โหดได้ และไว เสียงเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงกับท่อไอเสียสปอร์ตคำรามลั่นเสนาะโสดกำลังดี และคุณอาจจะเซอร์ไพรส์ที่รถเล็กขนาดนี้กลับมีตำแหน่งการขับและทัศนิวิสัยดีกว่า C-Class ได้ การเป็นรถขับหลัง บวกกับพวงมาลัยและคันเร่งที่จูนมาดี ทำให้คุณสามารถเลือกว่าจะสนุกกับมัน หรือจะประคับประคองไปอย่างระมัดระวัง ถ้าเป็นการขับแบบเน้นโหด ผมรู้สึกว่า M2 เป็นรถที่ใจถึงกว่า สนุกได้มากกว่า อรรถรสดีกว่า แม้ความเร็วในการเร่งจะไม่ได้ต่างกันมาก
ส่วน C43 นั้น เหมือนกับ Performance Car ที่ยังมีนิสัยรถหรูติดอยู่ ตำแหน่งการขับยังไม่รองรับคนหลายไซส์แบบ M2 วิธีการวางตำแหน่งปุ่มต่างๆ อุปกรณ์ต่างๆ ยังเหมือนรถหรูมากกว่ารถซิ่ง ลากรอบได้ไม่สูงเท่า M2 ใช้วิธีตบคันเร่งเลี้ยวรถได้ไม่มันส์เท่า M2 แต่มันชดเชยคุณด้วยความง่ายและสบายเวลาขับใช้งานแบบปกติ ที่นุ่มนวลกว่า M2 และเกียร์อัตโนมัติ 9G วิ่งในเมืองก็ใช้เหมือนรถเกียร์ออโต้ทั่วไป ไม่เหมือนคลัตช์คู่ของ BMW ที่ต้องคอยกดคันเร่งเพื่อออกตัว ทำให้บางครั้งมีอาการกระชากมากกว่า
พอมาพิจารณาจากค่าตัว 5,939,000 บาทของ BMW M2 กับ 4,140,000 บาทของ AMG C43 มันทำให้เราสรุปได้ว่า
“BMW เป็น Performance Car ที่ดีกว่า..แต่ C43 เป็นรถที่คุ้มค่าการลงทุนมากกว่า”
ส่วนเรื่องเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ที่กำลังมีข่าวอยู่ในขณะนี้ บางคนอาจจะรู้สึกอยากรอรถรุ่นนั้น แลกกับพลังที่เพิ่มเป็น 390 แรงม้า (ใครบ้างจะไม่อยากได้ม้าเพิ่ม) ถือว่าน่าสนใจมาก แต่เท่าที่พอทราบมา ขนาด C-Class Saloon ไมเนอร์เชนจ์ยังไม่ได้เปิดตัวเมืองไทยเลย กว่าตัว Coupe จะมาคงอีกพักใหญ่ และสำหรับ C43 อาจจะต้องรอไปจนถึงต้นปี 2019 เป็นอย่างเร็ว ที่สำคัญคือ C43 เวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์นั้น ค่า CO2 เพิ่มจากรุ่นเดิม (176-183 กรัม/กิโลเมตร) ไปอยู่ที่ 212-217 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ ก็จะต้องเสียภาษีสรรพสามิตเพิ่มจากเดิมอีก 5% ราคารถก็อาจจะสูงกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ถ้าไม่ใช่ว่าทางไทยไปปรับลดกำลังเครื่องลง
เหนือสิ่งอื่นใด ไม่ว่ารถจะเป็นอย่างไร จะดีแค่ไหนในสายตาใคร จะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกอยากขอบคุณ Mercedes-Benz ประเทศไทย ที่นำเอาแบรนด์ AMG เข้ามาและอาจหาญทำราคาลงมาขนาดนี้โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ในโลกที่กำลังหมุนเข้าไปหายานยนต์ไฟฟ้า และรถที่ขับตัวเองได้มากขึ้นทุกที การมีใครสักคนที่ยังรักและกล้าลงทุนผลักดันให้รถ Performance car แบบนี้มีที่ยืนในสังคม มันก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมไม่ใช่หรือครับ ถ้าคุณเป็นนักเลงรถสันดาปภายใน
ปกติผมจะไม่ลงท้ายบทความให้ซึ้งแบบนี้ แต่จากความพยายามที่ Mercedes-Benz Thailand พิสูจน์ให้เห็นโดยเป็นการกระทำจริง มาทีเดียว ปังเดียวจบ ไม่ต้องพูดโฆษณาข้ามปีแล้วสุดท้ายก็แห้ว
ก็คงต้องบอกว่า Danke Schoen! ภาษาเยอรมันที่แปลเป็นไทยว่า “ขอบคุณมากๆครับ”!
——————————————–///————————————————-
ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Mercedes-Benz (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ
————————————————————-
Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในประเทศ เป็นของ Moo Cnoe
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com 22 มีนาคม 2018
–
Pan Paitoonpong//Copyright (c) 2018
Pictures by Moo Cnoe
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
22 March 2018
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are welcome! CLICK HERE!