สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน
เรามาพบกันอีกครั้งกับผมนายแพนเจ้าเก่า แน่นอนว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการลองขับรถ
จากค่าย Subaru มันก็พลาดไม่ได้ที่ผมจะมีส่วนร่วม หลังจากที่ J!MMY ได้รับการติดต่อ
โดยทาง Motor Image ประเทศไทยเพื่อเชิญเข้าร่วมทดลองขับ Subaru Levorg ใหม่
ที่กรุงไทเป ไต้หวัน เขาก็ถามผมสั้นๆว่า “ว่างมั้ย? ไปมั้ย? ถ้าไปได้ก็อยากให้ลองไปดูนะ
จะได้มีประสบการณ์ลองรถที่เมืองนอกบ้าง” โถ..เคยได้ยินคำว่าปลาใหญ่ในปากหมีมั้ยครับ
บอกมาแค่นี้หมีก็งับปลาตัวขาดสองท่อนแล้ว ไม่ใช่แค่เพราะจะได้ลองรถสเตชั่นแวก้อน
ของ Subaru ที่เป็นฝาแฝดกันกับสปอร์ตซาลูนอย่าง WRX เท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะผมเอง
ไม่เคยได้เยือนไต้หวันมาก่อนเลย ถ้าไม่นับการแวะหยุดพักที่สนามบิน Taoyuan ระหว่าง
การเดินทางไป Hawaii กับคุณพ่อเมื่อปี 2006 ผมอยากลองมาไต้หวันหลายครั้งแล้ว
แต่ติดที่ขาดแคลนงบประมาณ เพราะงบประมาณถูกใช้ไปกับการเที่ยวญี่ปุ่นหรือฮ่องกง
จนหมดลงก่อนทุกครั้งไป
ยิ่งไปกว่านั้น มีคนเตือนว่าไต้หวันนั้น นอกจากอาหารอร่อยแล้ว ยังมีสาวแว่นเยอะมาก
นั่นยิ่งทำให้ผมแทบจะแพ็คกระเป๋าบินไปคอยทีมงาน Subaru ล่วงหน้าสักสัปดาห์
เลยด้วยซ้ำไป จะเป็นอย่างไรล่ะทีนี้?
ในบทความนี้ เพื่อความสะดวกของท่านผู้อ่านที่มีรสนิยมและความชอบหลากหลาย
ผมขออนุญาตเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอซึ่งปกติจะถนัดเขียนสไตล์ “ไหลไปตามกาลเวลา”
แล้วหันมาแยกออกเป็น 3 ส่วน เพื่อที่ท่านใดสนใจอ่านเฉพาะบางเรื่องก็สามารถข้ามไปอ่าน
จุดที่สะดวกได้ แก้ปัญหาพวกที่ชอบบ่นว่ายาวไปไม่อ่าน ไม่อยากอ่านก็ Scroll หน้าเอา
PART 1 – THE TRIP จะคุยกันเรื่องการเดินทางและประสบการณ์อื่นๆในภาพรวม
PART 2 – THE TALK จะอธิบาย Product Concept ขนาดและน้ำหนักพร้อมพาชมภายในรถ
PART 3 – THE TEST เครื่องยนต์ ช่วงล่าง เบรก แล้วไปลองขับของจริงในสนามปิด ใช้ความเร็วไม่ได้มาก
(ไม่มีการปล่อยให้สื่อมวลชนขับออกถนนใหญ่) แต่คุ้มตรงที่ได้สะบัดพวงมาลัยกันเต็มที่
ขอให้เลือกอ่านตามใจชอบนะครับ เอาล่ะ เมื่อพร้อมแล้วก็รัดเข็มขัดแล้วเลื่อนลงไปอ่าน
กันได้ ณ บัดนี้
.
*****THE TRIP*****
เช้าตรู่ของวันที่ 13 ตุลาคม
ผมนั่งทอดกายอยู่บนเครื่องบินโดยสาร Airbus A330-300 ของการบินไทยอย่างสบายอารมณ์
เก้าอี้ที่นั่งกว้างและสะดวกสบายต่อการขยับตัวเป็นที่สุด เครื่องบินกำลังจะออกจากท่าอากาศยาน
สุวรรณภูมิในเวลาไม่ช้า ผมจิบน้ำแอปเปิ้ลเย็นกำลังดีช้าๆพลางคิดถึงความสุขที่รออยู่ข้างหน้า
คิดถึงไต้หวัน ดินแดนที่ยังไม่เคยสัมผัส
แต่เปล่าหรอก อันที่จริงผมพูดประชดตัวเองไปอย่างนั้น ความจริงก็คือท้องของผมกำลัง
เล่นงานอย่างเจ้าของมันอย่างแสนสาหัส ผมต้องนั่งเกร็งตัวและโขยกไปมาเบาๆด้วยความที่
ไม่สามารถทำอะไรได้ กลัวพี่สาวที่นั่งข้างๆจะรำคาญถ้าผมดิ้นแรงไป เครื่องบินของเรา
ควรจะออกตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วและเคบิ้วครูว์ก็อาร์มเดอะดอร์ล็อคชูนิ้วโป้งให้กันไปแล้ว
ตามระเบียบคือเวลานี้ทุกคนต้องนั่งรัดเข็มขัด จะลุกไปเข้าห้องน้ำก็ไม่ได้ทั้งๆที่เครื่องบินก็
ไม่ได้เคลื่อนไปไหน ผมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นโดยสัญชาติญาณครับ เพราะได้ยินเสียงเครื่องยนต์
สตาร์ทเหมือนเครื่องดูดฝุ่นขนาดยักษ์ แล้วตามมาด้วยความเงียบ ดังอยู่ 2-3 ครั้งแล้วก็ดับ
สักพักกัปตั้นอีกครั้ง (ผมจำชื่อจริงของเขาไม่ได้ แต่เวลาเขาพูดออกไมค์เขาจะเริ่มต้น
ประโยคว่า “สวัสดีครับ ผมกัปตันอีกครั้งนะครับ อยู่ตลอด งั้นใช้ชื่อนี้เลยละกัน) ก็ประกาศ
ออกลำโพงใหญ่ว่า “สวัสดีครับ ผมกัปตันอีกครั้งนะครับ ผมต้องขออภัยที่จะต้องเรียนแจ้ง
ให้ทราบว่าเที่ยวบินของเราจะล่าช้ากว่ากำหนด เนื่องจากไม่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ติดได้”
“เรามีความจำเป็นต้องให้รถลากนำกลับไปยังที่จุดจอดเครื่องบินอีกครั้ง แล้วทางวิศวกร
จะดำเนินการตรวจสอบและซ่อมแซม คาดว่าจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงครับ”
ตลอดเวลาครึ่งชั่วโมงนั้นผมปวดบิดท้องตัวเองรออยู่ตลอด เครื่องไม่ขึ้นก็เข้าห้องน้ำไม่ได้
จะไปเข้าตอนนี้เคบิ้นครูว์ก็ยังไม่ดิสอาร์มเดอะดอร์ชูหัวแม่โป้งแปะกัน ตัวดิ้นพราดๆอยู่บนเก้าอี้
แต่ใจแทบไปอยู่ในส้วมเครื่องบินแล้วต่อให้มันแคบจนผมต้องถอยหลังเอาตูดเข้าก็ตาม
ทุกคนบนเครื่องก็ดูหงุดหงิด ส่งรังสีอำมหิตออกมาบางๆ มันเป็นบรรยากาศที่สุดแสนจะอึดอัด
ผมพยายามนึกเรื่องอื่นเพื่อให้ลำไส้หายเกร็งลงบ้าง ก็คิดกับตัวเองว่าทำไมเครื่องบินถึง
สตาร์ทไม่ติด และก็ตอบตัวเองในหัวว่า..อาจจะเป็นเพราะการบินไทยไม่ได้ใช้ไดเกียว
“ต้น ต้น เครื่องบินเป็นอะไรอ่ะ”
“สตาร์ทไม่ติด สงสัยหัวเทียนบอด”
วินาทีคิดอะไรก็ได้ที่ทำให้ลืมเรื่องท้องตัวเองแหละครับ ใช้จินตนาการเพื่อต่อสู้กับ
ความจริงอันน่าปวดขี้ไปงั้น
สักพัก เสียงไมค์ก็ดังขึ้น กัปตันอีกครั้งมาแล้วครับ
“สวัสดีครับ ผมกัปตันอีกครั้งนะครับ..ทางวิศวกรได้ตรวจสอบแล้ว ทราบว่าไม่สามารถ
ทำการแก้ไขได้ทัน ผมต้องขออภัยผู้โดยสารทุกท่าน ขณะที่ทางสายการบินกำลัง
เตรียมเครื่องลำใหม่ให้ท่านแล้ว อีกสักครู่รถบัสจะมารับท่านเพื่อไปพักผ่อนเปลี่ยน
อิริยาบทที่เกท E2A เช่นเดิมนะครับ ต้องขออภัยอีกครั้งในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้”
เลยกลายเป็นว่าการดีเลย์เนื่องจากปัญหาทางเทคนิคครั้งนี้ช่วยให้ผมสามารถ
รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด พอรถบัสจอดถึงเกท E2A ปุ๊บผมวิ่งหาห้องน้ำด้วย
อารมณ์ปิติตื้นตันเกษมสุดๆราวกับคู่รักชาวอินเดียที่วิ่งมาโผกอดกันกลางทุ่งในหนัง
Bollywood!
จัดแจงทำธุระเสร็จ ก็เดินหน้าชื่นมื่นมายืนรออยู่ที่ E2A เหมือนเดิม รอทางสายการบิน
เรียกขึ้นเครื่อง
จบเรื่องส้วมๆกันเถอะ
เป็นอันว่าทางสายการบินสามารถจัดหาเครื่อง A330 ลำใหม่และย้ายสัมภาระให้
พวกเราทุกคนได้อย่างรวดเร็วมาก แม้จะเสียเวลาไปกว่า 2 ชั่วโมง แต่การได้นั่ง
เครื่องบินลำใหม่ที่สตาร์ทเครื่องยนต์ติด (ลำนี้น่าจะใช้ไดเกียวเครื่องฟิตสตาร์ทติดง่าย)
แอร์เย็นฉ่ำ มันทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย..จากจุดนั้นมามีปัญหาแค่ว่าผู้โดยสาร
2 ท่านในเที่ยวบินเกิดตัดสินใจปฏิเสธไม่เดินทางกับการบินไทยต่อ กัปตันอีกครั้งก็เลย
ประกาศขออภัยพวกเราในเครื่องพร้อมทั้งแจ้งว่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 5 นาที
ในการนำกระเป๋าใบใหญ่ของผู้โดยสารทั้งสองออกจากใต้ท้องเครื่องบินถึงจะเดินทางได้
โชคดีว่าพวกเขาใช้เวลาแค่ 5-10 นาทีจริงๆ นี่ถ้าเป็นสมัยก่อนที่เราไม่มีระบบบาร์โค้ด
หรือ Bag Tracking Code ว่ากระเป๋าอยู่ตรงไหนในเครื่องบิน ผมว่าเราคงต้องไปนั่งรอ
กันอีกชาติเศษๆ
ขอบคุณเทคโนโลยี. ขอบคุณการดีเลย์ครั้งนี้. และทุกๆคนที่พยายามช่วยให้การเดินทาง
ของเราเพี้ยนไปจากตารางเดิมน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้
ประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆหลังจากออกจากสุวรรณภูมิ เราก็ร่อนล่งจอดที่สนามบิน
Taiwan Taoyuan International Airport เราทีมคนไทยทั้ง 12 คนจากสื่อมวลชน
หลากหลายสำนัก เดินลงจากเครื่องบินและรอคิวตรวจคนเข้าเมือง ระหว่างนั้น
ก็มีเจ้าหน้าที่จูงน้องหมาโกลเด้นตัวเบ้อเร่อวิ่งมาดมคนนั้นคนนี้เป็นระยะเพื่อตรวจหา
สิ่งแปลกปลอมและยาเสพย์ติด เขาเรียกเจ้าโกลเด้นตัวนั้นว่าเป็น Sniff Squad หรือ
หน่วยดมพิเศษนั่นล่ะครับ ผมก็ออกอาการประสาทหน่อยๆเพราะกางเกงตัวที่ใส่มา
มีกลิ่นและขนของแมวเต็มไปหมด เพราะก่อนออกจากบ้านเมื่อตีสอง ผมเอาเจ้าดั๊มบ์ดัมบ์
แมวบานอฟฟี่หน้าโง่ของคุณแม่มานั่งถูเล่นบนตักรอรถของ Grab Taxi ดังนั้นถ้า
คุณหมาหน่วยดมเกิดมาถูกใจกลิ่นตรงนั้นเข้า ดีไม่ดีผมอาจเสียคนได้
หน่วยดมพิเศษเดินเหยาะๆมาหยุดตรงเป้ากางเกงผม ทำทีดมๆแล้วก็ส่ายหัว วิ่งเหยาะๆ
จากไป เดาว่าหน่วยดมน่าจะจมูกดีพอแยกแยะถูก หรือไม่ก็ไม่ถูกใจกลิ่นเลยขี้เกียจตอแย
ทีมคนไทย นำโดยคุณตวัน PR จาก Subaru ไทย และคุณ Ivan จากทางสิงคโปร์
ซึ่งพูดภาษาจีน ไทย อังกฤษคล่อง พาเราออกจากสนามบินขึ้นรถบัสแล้วมุ่งเข้าตัวเมืองไทเป
ความรู้สึกแรกพบนครไทเป
– คล้ายกรุงเทพในหลายแง่มุมยกเว้นว่าถนนบ้านเขานั้นเป็นถนนชิดขวา พวงมาลัยซ้าย
– ทำไมตึกรามบ้านช่องชอบเป็นสีน้ำตาล? ไม่สีกาแฟนม สีช็อคโกแลตเย็น ก็สีชานมเย็น?
และถ้าเป็นโกดังก็มักจะเป็นสีเขียวสังขยา? แล้วทำไมบนยอดตึกจะชอบมีสิ่งที่คล้ายๆบ้าน
เป็นจุกอยู่บนยอด ไม่ใช่หลายตึก แต่เป็นกันทุกตึก
– ไปตรงไหนก็เป็นภูเขา ไต้หวันอยู่บนเกาะ Formosa ซึ่งเป็นภาษาโปรตุเกส แปลว่าเกาะ
ที่สวยงาม เกิดจากแผ่นเปลือกโลกชนกัน ทำให้มีภูเขาสูงๆเต็มทั้งเกาะ และบางแห่งก็สูงมาก
ดอยอินทนนท์บ้านเราสูง 2.4 กิโลเมตร แต่ที่นี่มีดอยชนิดที่สูงถึง 3.3 กิโลเมตรอยู่ด้วย
– นั่งรถเข้าไทเป สิ่งที่สังเกตได้คือสภาพพื้นที่จะสลับกันไปตลอดระหว่างทุ่งนา ทุ่งเกษตร
โรงงานอุตสาหกรรม แฟลต อาคารที่อยู่อาศัย เหมือนทุกอย่างที่ว่าไปนี้ถูกนำมาเขย่ารวมกัน
แล้วเทลงไปตรงพื้นที่ระหว่างหุบเขา ไทเปจึงมีบรรยากาศรวมๆระหว่างกรุงเทพ, เชียงใหม่
และอยุธยา แต่ว่าเจริญกว่า
– คนไทเปขับรถโหดเหมือนกัน บนทางด่วนก็มีพวกมุด ปาด จี้ โผล่มาให้เห็นเหมือนกัน
ยิ่งพอเข้าใกล้ตัวเมืองมากขึ้น จู่ๆมองไปทางขวาก็เห็นเครื่อง 777 ลำเขื่องๆกำลังลงจอด
ก็ตกใจนิดหน่อยก่อนที่จะมองเห็นจากบนทางด่วนว่าตรงเกือบใจกลางเมืองไทเปก็มี
สนามบินอีกแห่งด้วย (ตามภาพที่ถ่ายมาข้างบน)
ดังนั้นจึงหายแปลกใจว่าทำไมไทเปไม่ค่อยมีตึกระฟ้าอย่างที่กรุงเทพหรือโตเกียว
อาจจะเป็นเพราะพื้นที่รอบสนามบินนั้นต้องไม่มีตึกสูงเกินกำหนด ดังนั้นถ้าจะหาตึกระฟ้า
ในกรุงไทเป ก็คงต้องเป็นเจ้าตึก Taipei 101 ที่โดดเด่นเป็นสง่าอยู่ กับตึกอีกไม่กี่แห่ง
ที่อยู่ละแวกใกล้เคียงกันเพราะอาคารอื่นๆส่วนมากก็ไม่ได้สูงกว่าปกติเท่าไหร่ อีกส่วนหนึ่ง
ก็อาจเป็นเพราะไต้หวันตั้งอยู่บนแนวที่เปลือกโลกชนกัน ทำให้มีแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง
การสร้างอาคารสูงๆจึงมีความอันตรายมากกว่า
เราเข้าพักที่โรงแรม Miramar Garden Hotel Taipei ซึ่งเป็นโรงแรมธุรกิจ
ค่อนข้างหรูพอประมาณ (ผมลองค้น agoda ดูเล่นๆเห็นราคาเริ่มต้นที่ราว 5-6 พันต่อคืน)
ขนาดห้องที่ชั้น 11 ห้อง 1110 ที่ผมนอนนี้กว้างมากจนแทบอยากจะพาม้ามาวิ่งเล่น
มีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่พร้อมเต้าเสียบปลั๊กที่ว่างอยู่ 2 เต้า ไต้หวันนี่เขาใช้ไฟ 110V นะครับ
ไม่ใช่ 220V แบบบ้านเรา ดังนั้นจะชาร์จจะเสียบอะไรก็ดูหม้อแปลงนิดนึงว่ามันรองรับ
ส่วนขาปลั๊กเป็นแบบปลั๊กขาเสียบแบนคู่แนวตั้งธรรมดา มีรูสำหรับสายดิน เครื่องใช้ไฟฟ้า
ที่มีปลั๊กสเป็คไทยขาแบนสามารถเสียบได้เลย แต่ถ้าเป็นปลั๊กก้านกลม ควรมีอแดปเตอร์พกไป
ผมรุดเข้าตรวจสอบส้วมเป็นสิ่งถัดไป โชคดีว่าโรงแรมนี้นอกจากห้องน้ำจะใหญ่กว้าง
แยกเป็นสัดส่วน มีทั้งแบบยืนอาบและนอนแช่แล้ว ชักโครกยังมีหัวฉีดน้ำอิเล็กทรอนิกส์
แบบเดียวกับส้วมในกรุงโตเกียวมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ผมจึงทดลองใช้งานจน
เป็นที่พอใจ แล้วก็เริ่มสำรวจของต่างๆ เช่นตู้ โต๊ะ เตียง และสวิตช์ไฟ
แล้วก็ลองเปิดหน้าต่างสำรวจวิวห้องตัวเองหน่อยเหมือนกัน ห้องผมเป็นห้องฝั่งเลขคู่
จะหันไปทางทิศเหนือครับ
ลองสังเกตอาคารต่างๆดูครับ บนยอดตึกมันจะต้องมีอะไรคล้ายๆบ้าน หรือเป็นทรงกลม
ทรงสี่เหลี่มอยู่ตรงยอดตึก ของแบบนี้บ้านเราบางตึกก็มี แต่ของไต้หวันนี้เรียกได้ว่า 70%
ของอาคารจะมาลักษณะนี้
จากหน้าต่างมองไปจะเห็นทางด่วนที่พาดผ่านโรงแรมพอดี เลยลองซูมถ่ายรถเล่นหน่อย
ที่ไต้หวันนี่แท็กซี่ Toyota Wish โฉมใหม่นี่เยอะมากครับ
ทาง Motor Image Group ซึ่งเป็นโต้โผจัดงานใหญ่ครั้งนี้เตรียมเอกสารต่างๆเกี่ยวกับ
รถใส่ถุงไว้ให้บนเตียงพร้อมของที่ระลึกและไม้ Selfie ผมแกะเอกสารรายละเอียดรถ
กับโบรชัวร์ออกมาอ่านสักพัก ก็สังเกตได้ว่าพวกเขาเอาขนมพายสับปะรดถุงสีแดงๆ
มาวางเอาไว้ให้ด้วย ผมจึงหยิบยัดกระเป๋าเอาไปฝาก J!MMY คิดว่าคงจะดี
พอตกช่วงเย็น ประมาณ 6 โมง ผมก็ลงมารอที่ด้านล่าง แล้วก็เห็นนักข่าวจาก
หลายประเทศที่มาร่วมงานเปิดตัว Subaru Levorg ด้วย ถ้าจะให้อธิบาย ก็ต้องบอกว่า
Motor Image Group นั้นเป็นบริษัทนานาชาติกลุ่มใหญ่พอสมควรนะครับ เขาดูแล
เรื่องการขาย Subaru ในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นไต้หวัน, ไทย, ฮ่องกง, มาเลย์เซีย,
ฟิลิปปินส์, จีนทางตอนใต้, เวียดนาม และกัมพูชา บริษัทนี้เป็นหนึ่งในเครือบริษัท
Tan Chong International Limited ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่ผมจะได้พบ
สื่อมวลชน ผู้บริหาร ดีลเลอร์ และเซลส์ระดับอาวุโสจากประเทศเหล่านี้พร้อมหน้ากัน
อยู่ที่โรงแรม Miramar นี่เอง แน่นอนว่านักข่าวจากประเทศเหล่านั้นก็มาด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นทุกคนก็เดินเรียงคิวขึ้นรถบัสไปยังร้านอาหารที่อยู่ห่างออกไป
เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่ทาง Motor Image Group จัดไว้ให้
ภัตตาคารแห่งนี้มีชื่อว่า Shanghai Kitchen ครับ เข้าร้านที่ระดับเดียวกับถนน
แล้วจากนั้นก็เดินลงบันไดมาไต้ดินหน่อย มีการถ่ายภาพหมูรวมเป็นที่ระลึก
จากนั้นก็มีการกล่าวเปิดงานเล็กน้อยและมีวงดนตรีเล่นสดให้ฟังคลอไปตลอด
อาหารจะถูกยกเสิร์ฟในลักษณะเดียวกับโต๊ะจีน มีหลายเมนูที่ได้ลิ้มลองแล้ว
รู้สึกชอบ ที่ไม่ได้ถ่ายมาคือไก่แช่เหล้า จิ้มกินกับน้ำจิ้มรสชาติเหมือนน้ำซุป
ปนกระเทียม อร่อยแปลกก็ที่น้ำจิ้มเนี่ยล่ะครับ กุ้งผัดพริกเกลือ อร่อยเคี้ยวได้ทั้งตัว
รสชาติของเครื่องปรุงคล้ายกับปูผัดพริกเกลือที่ผมเคยไปกินในฮ่องกงมาก
ไก่ย่างรสชาติคล้ายๆของบ้านเรา ปลานึ่งก็คล้ายของบ้านเราครับ ข้าวอบมังสะวิรัติ
นี่ทำมาโดนใจคนมังสาวิบัติอย่างผมมาก เห็ดเน้นๆสดๆ ส่วนหมูสามชั้นกับหมั่นโถว
ก็ถือว่าใช้ได้ กินจนบาน อันที่จริงอาหารที่ยกเสิร์ฟทั้งหมดมี 14 อย่างเมื่อรวมของหวาน
คุณพี่คนเสิร์ฟบุคลิกจะกวนๆ อารมณ์เหมือนอาจารย์ผู้หญิงอายุ 50 ปลายๆที่ห้าวๆ
ฮาๆ จานไหนที่อาหารใกล้หมดแกจะบังคับเทใส่จานของผู้เคราะห์ร้ายสักคนเสมอ
ผมก็โดนแกเทกระจาดใส่ประมาณ 2-3 รอบ กินกันแน่นท้องจนแทบจะยอม
ร้องขอชีวิต
รับประทานอาหารเสร็จก็ขึ้นรถบัสกลับโรงแรม แต่เนื่องจากยังไม่สี่ทุ่มดี
พวกเราสื่อมวลชนผู้ชายวัย 30 กลางๆทั้งหลายเลยเดินออกจากโรงแรม
มาซื้อของกินที่ Seven Eleven ที่อยู่หัวมุมถนนฝั่งตรงข้าม ผมพยายามหา
เครื่องดื่มน้ำหมักของท้องถิ่นโดยอาศัยฟังจากคุณบอย คนอ่านของเราที่เชี่ยวชาญ
ไต้หวัน ช่วยแนะนำเครื่องดื่มและของกินมาให้ แต่ส่วนมากที่แนะมานั้นจะเป็น
ของหวานและน้ำอัดลมเสียมากกว่า ผมซื้อมาลองอย่างละนิดละหน่อย
แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีไอติมตกถึงท้องสักชิ้น ก็เลยถามพี่ตั้ม Post Today
ว่าที่ห้องนอนของพวกเรามีตู้เย็นมั้ย คำตอบที่ได้จากทุกคนคือมี ผมเลยจัดมา
3 แท่ง ไม่ได้กะจะกินรวดเดียวหรอกครับ แต่เก็บไว้เผื่อวันอื่นด้วย
พอกลับมาถึงห้อง เปิดตู้เย็น.. เวรละกู ตู้เย็นน่ะมี ใช่ แต่มันไม่มีช่องแข็งนี่สิ!
ด้วยความรู้สึกเสียดายเลยแกะไอติมกินมันทั้ง 3 แท่งรวดเดียวเลย เพราะไม่งั้น
ก็ต้องทิ้ง
อันบนสุดที่เป็นไอติมพุดดิ้ง ท่อนปลายมันจะเหมือนกาแฟปนน้ำเชื่อมหน่อยๆครับ
ส่วนท่อนสีเหลืองจะคล้ายไอติมวานิลลา มีกลิ่นคาราเมลปนๆมานิดหน่อย ผมว่า
รสชาติค่อนข้างธรรมดา แต่ไอ้แท่งที่สอง ไอ้ Black Thunder นี่สิครับ อร่อยมาก
ข้างนอกเป็นช็อคโกแลต ข้างในเป็นขนมช็อคโกแลตกึ่งๆบิสกิต อร่อยจนแทบจะ
วิ่งลงไปซื้อมากินอีกแท่ง ส่วนไอ้เจ้า Milk Cookie ของ Meiji นี่จะกลิ่นนมๆครับ
คุกกี้เต็มแท่งจริงใจดี แต่สามอันนี้ถ้าต้องเลือกสักแท่งผมคงขอ Black Thunder มากกว่า
ผมพยายามกินทั้ง 3 แท่งอย่างทุลักทุเล เพราะมันเริ่มละลายกันแล้ว ต้องเอาแก้ว
เอาถุงพลาสติกมารองกันไม่ให้หกเลอะเทอะ พอกินเสร็จก็นั่งเตรียมหัวข้อและบทความ
สำหรับการเขียนเรื่อง Levorg เพราะปกติไม่ค่อยได้เดินทางไปร่วมทริปกับบริษัทรถยนต์
บ่อยเท่าท่านเจ้าของเว็บ เลยต้องนั่งนึกในหัวว่าพรุ่งนี้ต้องถ่ายภาพตรงไหนอย่างไรบ้าง
เมื่อใกล้เที่ยงคืนก็ปิดไฟนอน ตามันจะปิดเสียให้ได้ เพราะคืนก่อนหน้านั้น ผมก็เหมือนกับ
สื่อมวลชนท่านอื่นๆ คือไม่ได้นอนกันเลย
14 ตุลาคม ตีห้า
ไอติมสามทหารเสือที่กินไปเมื่อคืนเริ่มทำงานของมันแล้วครับ ผมวิ่งเข้าออกห้องน้ำ
เป็นว่าเล่น ไอ้เราก็ลืมว่าท้องเสียจากกรุงเทพมายังไม่หายดี เช้ามืดนี้เลยทรมานหนัก
ยิ่งกว่าเดิม เพราะอาหารจากร้านคุณป้ายัดทะนาน Shanghai Kitchen นั่นยังคาอยู่ที่อก
เหมือนไม่ยอมย่อย แต่ไอติมทั้งหลายนั้นพี่แกเล่นตู๊ดบัตร EasyPass ไปเล่นงานลำไส้
เรียบร้อยแล้ว โชคดีว่าค้นกระเป๋าแล้วเจอยาระงับอาการเกร็งของลำไส้ที่แม่ใส่ให้มา
ก็เลยกินเข้าไปเม็ดนึงก่อนลงไปนอนคุดคู้อยู่เช่นเดิม ส่วนยาธาตุและยาแก้ท้องเสียอื่นๆ
ผมไม่ได้ซื้อติดไม้ติดมือมาด้วยเลย
8.30 น. ผมพาร่างหน้าซีดๆมานั่งรอบริเวณล็อบบี้ ไม่ต้องให้ PR บริษัทรถไปถีบ
ประตูปลุกถึงเตียงเหมือนคนแถวๆนี้บางคน แต่เรี่ยวแรงผมแทบไม่มี คุณ Ivan จากสิงคโปร์
แกก็เป็นห่วง ให้ไปกินข้าวเช้าเพื่อเอาแรงสักนิดเพราะวันนี้เราจะต้องอยู่บริเวณงานกันไป
จนถึง 5 โมงเย็น แต่ผมก็ขอบคุณเขาไปโดยที่ไม่ได้เดินไปทานอาหารเช้าเพราะชั่วโมงนี้
จากปากถึงตูดนั้นตรงเป็น Single Gateway ขนาดใหญ่เลยครับ เทอะไรลงไปแป๊บเดียวก็ออก
ผมเลยกินช็อคโกแลตไปชิ้นนึงเพื่อเอาพลังงานจากนั้นก็ดื่มน้ำเพื่อกันไม่ให้เกิดภาวะ
ช็อคเนื่องจากการขาดน้ำ และแค่นั้น
รถบัสพาเรามาถึงบริเวณงานช่วงก่อน 10 นาฬิกาเล็กน้อย งานนี้เขาเรียกชื่อเต็มว่า
Regional Launch of SUBARU LEVORG ซึ่งจัดขึ้นบนลานจอดรถ C3 ของศูนย์
จัดแสดงนิทรรศการ Taipei Nangang ซึ่งในช่วงเวลาที่ยังไม่เริ่มพิธีนั้น พี่ตวัน
PR Subaru ของเราก็พาเดินชมบริเวณโดยรอบ และชี้ให้เห็นบริเวณที่ทดสอบรถ
ซึ่งผมเห็นแล้วก็ฝันสลายนิดหน่อยตรงที่ระยะทางมันสั้น ไม่น่าจะทำอัตราเร่ง 0-100
อย่างที่อยากทำได้ ลักษณะการจัดคอร์สก็เป็นแบบ Autocross (จิมคาน่าที่ไม่มี
การขับถอยหลัง) สภาพพื้นผิวก็เป็นลานจอดรถยางมะตอยซึ่งบางช่วงชำรุด ทรุดตัว
และมีฝุ่นปูน ลมพัดที่ไรฝุ่นปูนจะปลิวเข้าหน้าเกือบทุกครั้ง
ผมถามทางไปห้องน้ำกับพี่ตวัน ก็ได้ความว่ามีส้วมเคลื่อนที่อยู่ห่างออกไปราว 80 เมตร
พอผมเดินไปเช็คก็ปรากฏว่าเป็นส้วมนั่งยองๆและมีพื้นที่น้อยมาก หมดสิทธิ์นั่ง
โชคดีว่ายาที่แม่ให้มาออกฤทธิ์ทีละนิดแล้ว จึงไม่ถึงกับทรมานเท่าไหร่ ถ้ามีอะไรขึ้นมา
ผมคงยอมเดินไกลเพื่อไปเข้าห้องน้ำในอาคารจัดแสดงนิทรรศการดีกว่า
ประมาณ 10 นาฬิกาก็ได้เวลาเริ่มงานเปิดตัว
มีการกล่าวเปิดงานโดย Mr. Toshio Uno จาก Subaru Product & Portfolio
Planning Division ท่านนี้บินจากญี่ปุ่นมาร่วมงานนี้โดยเฉพาะและได้บรรยาย
ถึง Product Concept และคุณสมบัติด้านต่างๆของ Subaru Levorg ให้เราฟังกัน
โชคดีที่พี่ตวันเตรียมสไลด์ PowerPoint ที่คุณ Uno บรรยายมาให้พวกเราครบแล้ว
ดังนั้นจึงไม่ต้องจดโน้ตให้วุ่นวายเหมือนสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย
หลังจากนั้นก็มีการเปิดผ้าคลุม Levorg ที่นำมาจอดโชว์ทั้งหมด 4 คันด้วยกัน
ประกอบด้วยรุ่น 1.6GT ที่เป็นรุ่นราคาถูก และ 1.6 GT-S ที่จะเป็นรุ่นออพชั่นครบครัน
ราคาสูงกว่า รถทั้งหมดที่นำมาโชว์เป็นรถสเป็คไต้หวัน และบางคันก็อัดออพชั่น
ประเภทต้องสั่งแล้วเพิ่มเงินมาให้ด้วย ผมต้องมานั่งเทียบสเป็คกับโบรชัวร์อีกที
ถึงได้ทราบ ตอนแรกก็นึกว่าใจป้ำให้ของเล่นมาอย่างหรู
ช่วงเวลานี้สื่อมวลชนกำลังรุมถ่ายภาพรถที่จอดอยู่ในร่มอย่างเมามันส์ ผมตัดสินใจ
เดินเลี่ยงออกมาถ่ายภาพรถข้างนอก ก็เลยโชคดีได้เจอน้องคนนี้ยืนอยู่กับรถสีน้ำเงิน
ก็เก็บภาพมาฝากผู้อ่านชาวไทยสักนิดละกันครับ ปกติผมไม่ได้ชอบแนวประมาณนี้เท่าไหร่
[นิ้วพันกัน]
จากนั้นพวกเราก็ถูกเชิญให้เดินไปยังอีกฟากหนึ่งของลานจอดรถซึ่ง Motor Image
จัดเตรียมการแสดงของรถประกอบเสียงเพลง โดยมี Subaru รุ่นต่างๆออกมาวิ่ง
โชว์ตัวราวกับนางแบบบน Catwalk (คันสีน้ำเงินในรูปบนดูดีๆนะครับ นั่นไม่ใช่ Camry
Extremo แต่เป็น Legacy ตัว 4 ประตู ซึ่งเป็น “รถบอส” เพราะบรรดาเจ้านายใหญ่ของ
Subaru ไต้หวันที่มางานนี้ต่างก็นั่งรุ่นนี้มากันทั้งนั้น ตัวจริงสวยกว่าในภาพครับผมเห็น
แล้วยังอดคิดไม่ได้เลยว่านี่มางาน Levorg นะ แต่ดูท่าจะมาตกหลุมรัก Legacy แทน)
จากนั้นรถแต่ละรุ่นที่วิ่งสวนสนามกันอยู่ ก็จะมาจอดเรียงทำมุมกันอย่างสวยงาม
เพื่อให้ช่างภาพเก็บภาพในมุมกว้าง อย่างที่ผมถ่ายมาให้ดูด้านบนนี่ล่ะครับ
และโชคดีว่าสามารถเดินหามุมที่เก็บรูปได้ครบทั้ง XV, Levorg และ WRX
มาให้เห็นด้วย จะได้เห็นกันชัดๆว่าแม้รถทั้ง 3 คันจะเป็นญาติสนิทกัน แต่หน้าตา
และทรวดทรงของ Levorg นั้นจะดูราวกับเป็น WRX แวก้อนมากกว่าเป็น XV ตัวเตี้ย
แน่นอนว่าที่ใดมี Subaru ที่นั่นก็ต้องมีเฒ่าสายฟ้าอย่าง Russ Swift โชว์การขับ
รถสไตล์ผาดโผน แต่คงไม่ต้องอธิบายมากเพราะหลายคนที่เคยมางาน Motor Expo
เมืองไทยก็คงคุ้นชินกับการแสดงโชว์จอดรถในที่แคบ กับการทำโดนัท และการขับ
แบบ Dance ประกอบเพลงกันดี เป็นหนึ่งในคนแก่อีกคนที่ผมอยากจะให้ปลอมตัว
มาขับแท็กซี่หรือ Uber X ในเมืองไทยแล้วให้แกรับผู้โดยสารไปผาดโผนเล่นริม
ทะเลสาบเมืองทองสักคลิป ก็น่าทำอยู่
นอกจากขับ WRX และ STi โชว์แล้ว ในงานนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ Russ ขับ
Levorg โชว์การขับผาดโผนด้วย แต่ผมเดาว่า Levorg ที่มีจำหน่ายแต่รุ่นเกียร์ CVT
คงไม่สามารถทำโดนัทหรือขับแบบกระโชกกระชากได้มากเท่า WRX งานของ
Levorg ในโชว์วันนีก็คือการ..โชว์วิ่งตะแคงแบบนี้แหละครับ
เสร็จจากโชว์ของ Russ Swift ก็เป็นการสัมภาษณ์ผู้บริหารญี่ปุ่น คุณ Toshio Uno
และผู้บริหารของ Motor Image คุณ Glenn Tan รวมถึงการทดลองขับในคอร์ส
ซึ่งเราจะเก็บไว้ว่ากันใน Section THE TALK กับ THE TEST ต่อไปดีกว่าครับ
เราออกจากบริเวณงานประมาณ 5 โมงเย็น โดยมีเวลากลับไปอาบน้ำแต่งตัวกันสักพัก
ก่อนที่จะเดินไปหามื้อเย็นทานในบริเวณใกล้ๆโรงแรม พี่ตวันพาพวกเราไปที่ร้านชาบู
ชื่อ Elixir
ร้านนี้คนแน่นใช้ได้ เมื่อเราไปถึงนั้น ชั้น 1 และชั้น 2 มีคนนั่งมากพอสมควร
จนไม่มีโต๊ะใหญ่ๆเหลือ เราจึงต้องไปนั่งชั้นสามกันแทน แสดงว่ารสชาติก็น่าจะ
ใช้ได้ระดับหนึ่ง
มาแล้วครับ น้ำซุปสองฟาก เนื้อน่องลาย โต๊ะของผมนี่เป็นโต๊ะของคนกินเนื้อ
ดังนั้นจึงสั่งมาลองกันแบบไม่ยั้ง คุณน้องผู้หญิงที่เป็นคนเสิร์ฟจะยกของมาเป็นพักๆ
และสอนเราตลอดเวลาอาหารประเภทไหน ต้องใช้เวลาต้มกี่นาที สำหรับบรรดา
เนื้อชิ้นบางเหล่านี้ คุณน้องบอกว่าจุ่มในน้ำเดือดแค่ 7-10 วินาทีพอ ผมลองทำตาม
ปรากฏว่าเนื้อยังแดงแจ๋อยู่เลย ก็เลยแช่เนื้อไว้นานกว่านั้นสัก 30 วิ ออกมาแล้วสุก
กึ่งแดงๆกำลังดี รสชาติอร่อย น้ำซุปสีส้มแดงจะแซ่บกว่าน้ำซุปสีขาวซึ่งรสชาติ
เหมือนกะทิ 1 ส่วนผสมน้ำ 3 ส่วน ไม่ค่อยถูกปากคนชอบรสจัดแบบผมนัก
ในภาพข้างบนนี่ต้องขอบคุณ Hand Modeller ซึ่งช่วยตักช่วยจ่ายช่วยปรุงอาหาร
ให้พวกเราทั้งโต๊ะ ทายสิมือใคร..? คำตอบ..มือพี่บอย วรพล สิงห์เขียวพงษ์ครับ
หลังจากทานอาหารเสร็จ พี่ตวันแจ้งว่าตอนเช้าเราจะต้องมารอที่ล็อบบี้
ตอน 8.45 น. เพราะรถบัสที่จะพาเรานั่งรถเที่ยวกันนั้นจะออกตอน 9 โมง
โดยเราจะต้องเก็บข้าวของทำการเช็คเอาท์ตั้งแต่เช้าแล้วเอากระเป๋าใบใหญ่
ทิ้งไว้ที่โรงแรม ดังนั้นของกินทั้งหมดที่เหลือในตู้เย็น ผมก็ต้องจัดการเคลียร์ให้หมด
ในคืนนี้ ตอนนี้ท้องผมเริ่มทำงานเป็นปกติแล้วและขนมส่วนที่เหลือก็ชิ้นไม่โตนัก
เลยขุดเอามากิน จะบอกว่าทั้งหมดในภาพด้านบนนี่ ถ้าท่านไปเที่ยวไต้หวัน
แล้วเดินเข้าเซเว่น ลองหามาทานกันได้เลยครับทั้ง Black Thunder และ Big Thunder
เป็นขนมหวานรสช็อคโกแลตทำนองเดียวกับกุลิโกะและคิทแคทของทางไต้หวันเขา
อร่อยมากและไม่หวานจนเกินไป ถ้ากินกับนมคงฟิน แต่คืนนี้ no more นม for me
ส่วนเครื่องดื่มแอปเปิลโซดายี่ห้อ Apple Sidra นั้นก็ซู่ซ่าปากดีครับ แต่เวลาเปิดระวังหน่อย
เพราะฟองมันล้นมากถ้าถือเขย่าๆมาแล้วเปิดเลยมีสิทธิ์หน้าเละได้ครับ
15 ตุลาคม
วันนี้ทานอาหารเช้าได้ตามปกติแล้ว ที่โรงแรม Miramar Garden นี่อาหารเช้ามีให้เลือก
เยอะดีครับ พวกเนื้อเย็น แฮม อร่อย และเบคอนก็มีให้ตักตามสบายทั้งแบบทอดนุ่ม
และแบบกรอบ
จากนั้น 9 โมงเช้า รถทัวร์ของบริษัท Jin Hong ก็มารับเราที่โรงแรม เรามีไกด์เป็นหญิง
วัยกลางคนชาวไต้หวันชื่อคุณ Gloria ช่วยบรรยายสภาพทางภูมิศาสตร์ของเกาะไต้หวัน
เพราะคำอธิบายของเธอนี่ล่ะครับทำให้ผมรู้ว่าไต้หวันแม้จะเป็นประเทศอุตสาหกรรม IT
ในสายตาของหลายๆคน แต่ที่จริงก็มีสถานที่น่าเที่ยวเยอะ ถ้าเป็นพวกทะเลกับชายหาด
ต้องไปเที่ยวทางตอนใต้ของเกาะ ในขณะที่ภูเขาสูงที่สุด จะอยู่ตอนกลางเกาะค่อนไปทาง
ตะวันออก เมื่อสมัยโบราณชาวโปรตุเกสล่องเรือมาเห็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีภูเขาสูงกับ
เมฆลอยอยู่ก็เกิดความรู้สึกว่ามันสวยดี จึงตั้งชื่อว่าเกาะที่สวยงาม เป็นที่มาของชื่อเกาะ
“Formosa” นั่นเองครับ
แต่วันนี้ เนื่องจากเรามีเวลาแค่ราว 2-3 ชั่วโมง เราจึงจะได้นั่งรถทัวร์ไปสถานที่ใกล้ๆ
เท่านั้น แต่ก็ถือว่าดีแล้ว มาลองรถที่ไต้หวัน และได้เปิดหูเปิดตาบ้างก็นับเป็นบุญ
สถานที่แรก เรามาที่ Chung Cheng Park ในเมือง Keelung ซึ่งมีพระรูปเจ้าแม่กวนอิม
สำหรับท่านที่ต้องการสักการะ พระรูปเจ้าแม่กวนอิมที่นี่ มีความสูงถึง 25 เมตร และนับเป็น
รูปปั้นของเทพเจ้าหญิง (Goddess) ที่มีความสูงมากที่สุดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พื้นที่ในบริเวณ Chung Cheng Park นี้จะเป็นเนินเขาสูงพอประมาณ มองลงไปก็จะเห็น
ท่าเรือ Keelung ซึ่งเป็นจุดจอดเรือสินค้า และมีอ่าวซึ่งบรรดาเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่
จะมาจอดรับผู้โดยสารกัน
รูปปั้นหลวงจีนที่ Chung Cheng Park ผมไม่แน่ใจว่าท่านกำลังทำภาษามือ
อะไรอยู่ หรือว่าเป็นปางไอเลิฟยูกันแน่
ต่อจากนั้น ในช่วงกลางวัน คุณ Gloria ก็พาเรามาเที่ยวต่อที่ Yehliu Geopark
ในเมืองเล็กๆชื่อ Wanli ใกล้กับ New Taipei สถานที่แห่งนี้จะอยู่บนแหลม Yehliu
ยื่นออกไปในทะเลยาว 1.7 กิโลเมตร กาลเวลา บวกกับความแรงของลมนั้น กัดเซาะ
หินที่อยู่ริมฝั่งจนเป็นรูปเป็นร่างประหลาด อย่างลานหินที่เห็นนั้นก็คือ Mushroom rocks
ซึ่งถูกลมพัดกัดเซาะจนกลายเป็นรูปเห็ดจำนวนมากอย่างที่เห็น
แต่หินลมเซาะที่มีชื่อเสียงที่สุดใน Yehliu Park นั้น มีชื่อเล่นว่า Queen’s Head
ซึ่งมีรูปร่างคล้ายพระเศียรราชินีในสมัยโบราณตามชื่อที่ชาวเมืองตั้งให้ แต่ต้องถ่าย
จากมุมด้านซ้ายอีกมุม ผมไม่สามารถอดทนรอต่อคิวอันยาวเหยียดได้เลยใช้วิธีเดินอ้อม
มาอีกมุมหนึ่งแล้วก็ค้นพบว่าไม่มีมุมไหนที่ถ่ายออกมาแล้วดูเป็น Queen’s Head มากเท่า
กับมุมที่ผู้คนนับร้อยกำลังต่อคิวกันอยู่นั่นแหละครับ
ถ้าคิดจะมาเที่ยวที่นี่ พยายามจัดทัวร์ให้ลงวันธรรมดานะครับ เพราะขนาดพวกเราไปกัน
ในวันธรรมดา คนก็แน่นใช้ได้ระดับหนึ่ง เรื่องเดินนั้นไม่เท่าไหร่ แต่เวลาจะถ่ายรูปที
ลำบากมากครับ ทางเดินต่างๆทำไว้ปลอดภัยพอสมควร ผมเห็นคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา
อายุ 70-80 เดินเข้ามาได้ถึงบริเวณปลายแหลม Yehliu ดังนั้นคนชราน่าจะไหวครับ
หลังจากเที่ยวอุทยาน Yehliu เสร็จ คุณ Gloria ก็พาเรานั่งรถบัสมาในเมือง
แล้วไปหยุดที่ร้านขายของที่ระลึกแห่งหนึ่ง หุ..ราคาของนี่ไม่เป็นมิตรเลยขัดกับ
รอยยิ้มของพนักงานโดยสิ้นเชิง อารมณ์ประมาณว่าเป็นที่หมายที่ตกลงกันไว้
ระหว่างทางร้านกับผู้นำทัวร์..ก็เหมือนๆบ้านเรานั่นแหละครับ แต่ที่น่าสนใจคือ
ร้านที่เรามารับประทานมื้อกลางวัน ชื่อร้าน Din Tai Fung เป็นอาหารไต้หวัน
ประวัติร้านนี้น่าสนใจครับ เล่าแบบย่อๆก็คือนายหยาง ปิงยี่ ผู้ก่อตั้ง เดิมเป็นลูกจ้าง
ร้านขายน้ำมันทอดอาหารที่ตกงานเพราะบริษัทเจ๊ง เขากับภรรยา นาง หลาง
เปนเหมย เปิดร้านขายน้ำมันของตัวเองขึ้น แต่ก็ล้มเหลวในเวลาต่อมาเพราะ
น้ำมันทอดอาหารชนิดแบ่งขายพ่ายแพ้ต่อกระแสของน้ำมันใส่ปี๊บเหล็กที่ขนส่ง
และเก็บรักษาง่ายกว่า ทั้งสองคนเลือกที่จะ “ปรับตัว” เพื่ออยู่รอดโดยการขาย
ซาลาเปา เปลี่ยนร้านขายน้ำมันครึ่งนึงออกเพื่อทำกิจการซาลาเปานี่ล่ะครับ
ปรากฏว่ารอด และรุ่งเรืองมีชื่อเสียงยิ่งกว่าตอนขายน้ำมันทอดอาหารเสียอีก
เห็นหรือไม่ครับ? คนเราบางครั้งถ้าดื้อดึงเข็นครกขึ้นเขาที่มองไม่เห็นยอด
มันย่อมไม่ดีเท่าการถอยลงมาตั้งหลักแล้วซื้อ Subaru มาขนครกขึ้นภูเขาหรอก
(เกี่ยวกันตรงไหนไม่รู้ แต่จะดึงมาเกี่ยวดื้อๆนี่ล่ะ)
ปัจจุบันร้านนี้อยู่บนถนน Xingyi และมีคนแน่นร้านตลอดครับ รอคิวนานพอสมควร
น้องผู้หญิงผมสั้นหน้าร้านสามารถพูดภาษาไทยได้ชัดทั้งสำเนียงและสำนวน
ทางเดินขึ้นชั้นบนเป็นบันไดแคบๆ พวกเราสั่งอาหารส่วนตัวแบบจานเดียวกัน
คนละจาน ผมเลือกสั่ง Braised Beef Noodle แบบ Half Meat/Half Tendon
ซึ่งรสชาติอร่อยเหมือนกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นดีๆในบ้านเราเลยครับ แต่เส้นของเขา
จะให้รสชาติกลางๆ จะว่าโซบะก็ไม่ใช่ อุด้งหรือสปาเก็ตตี้ก็ไม่เชิง นอกจากนี้
อาหารที่ดังมากของร้านนี้คือเสี่ยงหลงเปา ซึ่งมีลักษณะคล้ายฮะเก๋า แต่มีน้ำซุป
อยู่ข้างใน เวลากิน เขาจะให้เอาน้ำส้มสายชูเทใส่ถ้วย 3 ส่วน ซิอิ๊วขาว 1 ส่วน
จากนั้นให้เอาเสี่ยวหลงเปาจิ้มลงไป เอาเสี่ยงหลงเปาใส่ช้อน จากนั้นเอาตะเกียบ
ทิ่มให้เป็นรูเพื่อให้น้ำซุปแตกออกมา จากนั้นเอาเข้าปาก ระวังร้อนนะครับ
ตลอดเวลาที่กินกันที่ร้าน Din Tai Fung มีฝรั่งชาวเยอรมันหลงติดมากับเราด้วย
ที่จริงในทัวร์เราก็มีชาวเยอรมัน 4-5 คน แต่ฝรั่งคนนี้แกมากับพวกเราแบบงงๆ
พวกเราก็เลยรับเป็นเพื่อนในวงกินข้าวด้วยโดยพี่แมนซึ่งภาษาอังกฤษแข็งที่สุด
ในหมู่พวกเราช่วยดูแลพูดคุยและสั่งอาหารไป
หลังจากรับประทานมื้อกลางวันเสร็จ ทุกคนมีเวลาราว 3 ชั่วโมงครึ่งที่สามารถ
เดินเที่ยวได้ตามใจชอบ ก่อนไปเจอกันอีกครั้งที่โรงแรมแล้วขึ้นรถบัสกลับบ้าน
ผมไม่ได้ไปช้อปปิ้งที่ไหนหรอกครับ แต่ใช้เวลาไปทำอะไร เดี๋ยวก็ทราบ หุหุ..
เป็นอันว่าจบเรื่องทริปไว้เท่านี้ดีกว่า จะได้เข้าเรื่องพระเอกของงานอย่าง
เจ้า Subaru Levorg กันสักที
.
*****THE TALK*****
Subaru Levorg อวดโฉมต่อสาธารณชนครั้งแรกในงาน Tokyo Motor Show
ครั้งที่ 43 ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2013 โดยรถที่โชว์ครั้งแรกนั้นเป็นตัวต้นแบบ
ที่ใกล้เคียงเวอร์ชั่นผลิตจริงมากแล้ว ไม่ใช่รถต้นแบบขายฝันทรงเฉี่ยว แล้วพอ
เปิดตัวจริงๆมาจากเฉี่ยวกลายเป็นเหี่ยวแบบรถบางค่าย ทาง Fuji Heavy Industries
บริษัทแม่เปิดรับ Pre-order รถตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2014 และได้รับความสนใจ
พอประมาณ โดยภายใน 3 เดือนแรกสามารถกวาดยอดสั่งซื้อได้ 11,000 คัน
น้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ประมาณ 2,000 คัน และในช่วงเดือนพฤษภาคม 2014 จนถึง
พฤษภาคม 2015 นั้นสามารถขายไปได้ 45,000 คัน โดยทั้งหมดนี้ 80% จะเป็นรถ
เครื่อง 1.6 ลิตรและอีก 20% เป็นรถเครื่อง 2.0 ลิตร
และในขณะเดียวกันที่ฝั่งอเมริกากับยุโรป เมื่อมีผู้สื่อข่าวได้มาพบตัวจริงของ Levorg
ต่างก็บอกว่านี่แหละคือรถที่ Subaru ควรนำไปขายในดินแดนของพวกเขา ทำให้
รถ Levorg ซึ่งแต่แรกเป็นฝาแฝด WRX ในสไตล์แวก้อนที่ทาง FHI บอกว่า
จะเก็บไว้ให้คนญี่ปุ่นใช้เท่านั้น (JDM Only) ก็ต้องหันกลับมาพัฒนาตัวให้สามารถ
จำหน่ายในต่างประเทศได้ ดังนั้นเราจึงได้เห็น Levorg โชว์ตัวในยุโรปในครึ่งปีแรก
ของ 2015 และมาเปิดตัวที่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวันในเดือนนี้นั่นเอง
ชื่อรุ่นที่เรียกว่า “Levorg” ออกเสียงเป็นภาษาไทยว่า “เลอ-หวอก” หรือถ้าอยาก
ออกเสียงให้ชัดเวอร์แบบอาจารย์อดัม แบรดชอว์ในรายการ Breakdown ผมแนะ
ให้พยายามออกเสียงว่า “เลิฟฝอร์ก” พยางค์แรกเสียงสั้น พยางค์สองเสียงยาว
Levorg ก็ไม่ได้มีความหมายในภาษาต่างๆที่ลึกซึ้งอะไร มันคือคำที่ย่อและผสม
มาจากคำว่า LEgacy, reVOlution และ touRinG นั่นเองครับ
คุณ Toshio Uno ซึ่งเป็นผู้บริหาร Product Planning โครงการ Levorg ได้อธิบายถึง
แนวคิดในการออกแบบเอาไว้ว่า Product Concept คือ “Innovative Tourer”
ซึ่งเป็นแนวคิดของรถสำหรับการเดินทางสมัยใหม่ของ Subaru ซึ่งคำว่า Tourer
นี่ก็คือรถสเตชั่นแวก้อน และ Innovative ที่เป็นคำคุณศัพท์ขยายนั้น ก็บ่งบอกว่า
ต้องเป็นรถที่ขับแล้วเหมือนรถสปอร์ต ใช้งานได้เหมือนรถแวก้อน ดีไซน์ดูแล้วไม่น่าเบื่อ
ภายในออกแบบมาสวยงามใช้งานง่าย อีกทั้งยังมีความปลอดภัยครบครัน โดยจะแบ่ง
ใจความหลักของ Concept ประจำตัวรถได้ดังนี้
Innovative Tourer กับหัวใจ 3 ประการ
1. Driving Pleasure – ความเพลิดเพลินในการขับ อันเกิดจากการบังคับควบคุมที่
ว่าง่ายยิ่งกว่าระบอบ SOTUS พี่พูดน้องฟังพี่สั่งน้องทำตาม บวกกับอัตราเร่งที่ดี
และความผ่อนคลายในการขับขี่
2. Versatility- ความเอนกประสงค์ จากพื้นที่ห้องโดยสารและสัมภาระที่กว้างกับ
ความง่ายในการปรับสิ่งต่างๆ การใช้งาน ภายใต้การออกแบบที่ดูเหมาะสม
3. Safety- ความปลอดภัย จากแนวคิด Subaru All-around Safety ซึ่งเน้นทั้ง
ความปลอดภัยโดยการบังคับรถเพื่อหลบเลี่ยงอันตรายได้ และความปลอดภัยที่
เกิดขึ้นหลังการชน และมาตรการป้องกันอุบัติเหตุอื่นๆ
โดยทั้งหมดที่ว่ามานี้ จะอยู่บนตัวถังที่ใช้โครงสร้างส่วนหน้าร่วมกันกับ WRX
ในขณะที่ส่วนหลังของรถนั้นเป็นโครงสร้างที่พัฒนาใหม่ขึ้นมาเพื่อใช้กับ Levorg
ทำให้บอดี้ของรถมีความเหนียวแข็ง (High Rigidity) ในลักษณะเดียวกันกับ
WRX ซึ่งหากเทียบกับรถ Legacy Stationwagon โฉมปี 2009 แล้ว บอดี้ของ
Levorg จะมีความแข็งต้านการบิดตัวของโครงสร้างเพิ่มขึ้น 40%
โปรดสังเกตว่าทั้งบทความของผม และทั้งเอกสารจากทาง FHI จะบอกสรรพคุณ
ของ Levorg โดยการเปรียบเทียบกับ Legacy โฉม 2009 ก็อย่าแปลกใจครับ
เพราะในขณะที่รถแวก้อนอย่าง Legacy ถูกพัฒนาให้มีขนาดใหญ่เพื่อเอาใจ
ตลาดอเมริกาซึ่งชอบรถเอนกประสงค์ขนาดใหญ่ ทำให้เกิดช่องว่างในตลาดญี่ปุ่น
ซึ่งสมัย 10 ปีก่อนนั้นมี Legacy หน้าเหยี่ยว BP/BL ซึ่งมีขนาดตัวกำลังน่ารักในสายตา
ของคนญี่ปุ่น แต่หลังจากปี 2009 เป็นต้นมา Legacy โมเดลใหม่ยาวขึ้นเป็น 10 เซ็น
และดูอุ้ยอ้ายมากเมื่อต้องวิ่งในถนนแคบๆของตัวเมืองญี่ปุ่น Levorg จึงถือกำเนิดมา
เพื่ออุดช่องว่างที่เกิดขึ้น โดยมีตำแหน่งทางการตลาดเทียบกับ WRX แต่ถูกปรับให้
เป็นรถที่ตอบสนองการใช้งานแบบครอบครัวมากกว่า และมีราคากับระดับของรถสูงกว่า
Impreza G4 กับ Hatchback และ XV
Subaru Levorg ที่มาเปิดตัวในไต้หวันครั้งนี้ มาด้วยกัน 2 รุ่นคือรุ่นพื้นฐาน
1.6GT และรุ่น 1.6GT-S โดยถ้าเรายึดสเป็ครุ่น GT-S ซึ่งเป็นรุ่นที่จะถูกนำมา
ขายในประเทศไทย ก็จะมีขนาดลำตัวยาว 4,690 มิลลิเมตร กว้าง 1,780 มิลลิเมตร
สูง 1,490 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,650 มิลลิเมตร ระยะแทร็คล้อหน้า 1,530 มิลลิเมตร
และด้านหลัง 1,540 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดถึงพื้น 135 มิลลิเมตร
หากเป็นรุ่น 1.6GT ล่ะ? ก็แค่ลบ 5 มิลลิเมตรออกจากความสูงตัวรถและระยะต่ำสุดถึงพื้น
เท่านั้นเองครับ มิติด้านอื่นๆเท่ากันหมด น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 1,531 กิโลกรัมในรุ่น GT
และ 1,551 กิโลกรัมในรุ่น GT-S ซึ่งผมถือว่าหนักเอาการเมื่อคิดว่านี่คือรถเครื่อง 1.6 ลิตร
ต่อให้มีเทอร์โบก็เถอะ แต่พอใช้เกียร์ CVT ลากตัวถังน้ำหนักเท่าซาลูน D-Segment คันโต
(และหนักกว่า Volvo V60 1.6 DriveE ซึ่งหนัก 1,526 กิโลกรัมไปอีกเล็กน้อยด้วย)
แถมมีระบบขับสี่ ผมเชื่อว่าเราไม่ควรหวังอัตราเร่งที่เร็วแรงหลังติดเบาะเท่าไหร่
คุณอาจจะมองว่านี่มันก็รถ C-Segment ที่ขนาดตัวไม่ได้โตอะไร ทำไมตัวหนักจัง?
นอกเหนือจากเรื่องระบบขับเคลื่อนแล้ว น้ำหนักส่วนหนึ่งยังถูกเพิ่มมาจากการพยายามทำ
ให้ตัวถังมีความแข็งแบบรถสปอร์ต ยิ่งด้านท้ายของรถแวก้อนซึ่งไม่มีคานลำโพงหลังนั้น
จำเป็นต้องใช้เหล็กที่มีความแข็งมาทำโครงสร้างโดยรอบ ส่งผลให้มีน้ำหนักตัวมากขึ้น
และอีกอย่าง..Levorg ไม่น่าจัดเป็นรถขนาดเล็กแล้ว เพราะอะไร ลองดูตารางข้างล่างนี้ครับ
จะเห็นได้ว่า Subaru ทำ Levorg ออกมาเพื่อแทน Legacy BP/BL จริงๆ ดูจาก
ความยาวของตัวถังที่ใกล้เคียงกันมาก ตัวรถที่กว้างกว่าและหลังคาที่สูงกว่าในขณะที่
ฐานล้อนั้นมีความยาวใกล้เคียงกัน ส่วนท้ายของ Levorg นั้นยื่นยาวกว่า WRX ออกไปอีก
95 มิลลิเมตรและยิ่งถ้าไปเทียบกับ XV ซึ่งใช้บอดี้รถแฮทช์แบ็คมายกสูง จะเห็นได้เลยว่า
ระยะฐานล้อกับความยาวของตัวรถต่างกัน เพราะ Levorg เน้นความสบายของผู้โดยสาร
ด้านหลังและพื้นที่สำหรับบรรทุกสัมภาระมากกว่านั่นเอง
การเข้าออกประตูคู่หน้า พูดง่ายๆว่าใช้ประตูบานเดียวกับ WRX และมี
เสาหลังคาที่ลาดเอียงมากเท่ากัน ทำให้เวลาเข้าออกนั้นทำได้สบายมากสำหรับ
คนตัวสูงไม่เกิน 170 เซ็นติเมตร แต่ถ้าคุณตัวสูงและมีร่างการค่อนข้างท้วมหรือ
ใหญ่เป็นหมีบูดแบบผม ก็จะมีปัญหาเวลาเข้าตรงที่ต้องระวังศรีษะไม่ให้ไปโขก
กับตัวรถ วิธีแก้ก็คือปรับตำแหน่งเบาะนั่งไว้ให้เตี้ยหน่อย และเวลาเข้าก็ค่อยๆ
ก้าวเข้าไป ก้มหัวหลบพองาม ก็จะไม่มีปัญหา ผมมองว่าเรื่องการเข้าออกจากรถนี้
ไม่ได้มีจุดไหนได้เปรียบหรือเสียเปรียบรถ C-Segment ส่วนใหญ่ และค่อนข้าง
ใกล้เคียงกับ Volvo V60 แต่ต่างกันตรงที่บริเวณมุมหน้าของกระจกนั้น Levorg
มีที่เผื่อสำหรับคนที่ชอบเข้านั่งรถในท่าโน้มตัวมาข้างหน้า แต่ถ้าพวกตัวผอมพลิ้ว
เข้าไปนั่งแบบตัวตรงๆคงไม่รู้สึกต่างกันเท่าไหร่
แผงประตูด้านข้าง ในรุ่น GT-S จะเป็นผ้าแซมตะเข็บด้านสีน้ำเงิน มีออพชั่น
หุ้มหนังให้เลือก ถ้าสั่งแพ็คเกจเบาะหนัง ส่วนรุ่น GT จะประดับด้วยผ้าสีเทาดำ
มีลวดลายเล็กน้อย ที่เท้าแขนบุนุ่ม การตกแต่งแผงประตูนั้นแม้ดีไซน์จะเหมือน WRX
แต่ก็เปลี่ยนวัสดุตรงแผงกระจกไฟฟ้าเป็นสีเงิน และเพิ่มคิ้วโครเมียมขนาดเล็ก
บนแผงประตูเข้ามา ทำให้ดูหรูหรากว่า WRX อยู่พอสมควร
ตำแหน่งวางแขนบนแผงประตูคู่หน้า รองรับท่อนแขนได้พอดี คงไม่ต้องไปแก้อะไรอีก
ผมลองปรับความสูงเบาะไปในตำแหน่งสูงต่ำต่างกัน ก็ยังสามารถเท้าแขนได้ค่อนข้าง
สบายระดับหนึ่ง ส่วนช่องวางของในประตูคู่หน้า ก็ยังพอใส่น้ำขวดเล็กได้พร้อมเนื้อที่
ใส่ของกระจุกกระจิกได้อีกเล็กน้อย
ที่เท้าแขนตรงกลาง สามารถเลื่อนไปหน้า-หลังได้ เมื่อเลื่อนมาข้างหน้าแล้ว
จะสามารถรองรับแขนได้สบายพอประมาณ เวอร์ชั่นไทยก็ขอให้ได้ที่เท้าแขน
แบบนี้ด้วยจะดีมากครับ ลองนั่งเท้าแขนดู ถึงแม้คนสูง 183 อย่างผมจะต้องเอียงช่วย
นิดหน่อย แต่ก็น่าจะทำให้การเดินทางสบายกว่าที่เท้าแขนแบบยึดติดปรับไม่ได้
ส่วนการเข้าออกจากประตูคู่หลังนั้น สบายสุดๆด้วยองศาการเปิดที่กว้างถึง
80 องศา แล้วยังได้เปรียบจากการเป็นรถทรงแวก้อนที่สามารถออกแบบส่วนบน
ของประตูให้เกือบเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าได้ ทำให้เวลาเข้าออกนั้นผมแทบจะสามารถ
เดินเข้าไปแล้วนั่งไปตรงๆ เกือบได้ เอี้ยวศรีษะไม่ต้องมากนัก ตรงนี้ Levorg จึงชนะ
WRX (ซึ่งก็ไม่ได้จัดว่าแย่) ไปแบบ 5 ประตูต่อ 2
เรื่องความสบายของเบาะ พูดได้เลยว่ามันก็ใช้เบาะชุดเดียวกันกับ WRX นั่นล่ะครับ
ดังนั้นจะไปอ่านใน Full Review WRX & STi เพื่อดูความเห็นของ J!MMY ก็ได้
สำหรับความเห็นของผมนั้น เบาะหน้ามีความยาวตัวเบาะรองก้นค่อนข้างมาก ใหญ่
โอบเต็มตูด ในขณะที่ปีกข้างก็โอบรัดลำตัวพอประมาณ มันไม่ใช่เบาะสไตล์รถแข่ง
แต่เป็นเบาะรถบ้านที่มีปีกดุนออกมาด้านข้างมากกว่ารถจ่ายกับข้าวทั่วไป ดังนั้นมันจึง
สามารถดันและยันตัวคุณไว้ในยามเข้าโค้งได้ดีระดับหนึ่งในขณะที่คุณพ่อ คุณแม่
และมนุษย์ป้าและลุงก็ยังสามารถโดยสารรถไปกับเราได้โดยไม่บ่น ถ้าผมจะบ่น ก็คง
บ่นแค่พนักพิงศรีษะซึ่งแข็งเหลือเกิน แข็งเหมือน Nissan Tiida ของผมมาก บางที
เวลารถติดๆหรือขับช้าๆไอ้เราก็อยากจะเอนหัวมารับความนุ่มสักหน่อยก็ไม่ได้ ถ้าเป็น
รถสปอร์ตซาลูนอย่าง WRX เรื่องนี้ผมพอรับได้ แต่ถ้าเป็นรถที่สร้างมาเพื่อความสบาย
ในการขับขี่ทางไกล นุ่มกว่านี้สักนิดก็จะดีครับ
พนักพิงศรีษะแม้จะแข็ง แต่ก็มีจุดเด่นที่ชอบมากคือปรับองศาการดันของที่พิงหัวได้
โดยการดันให้ไปล็อคในตำแหน่งที่ต้องการ ถ้าดันมาหน้าสุดก็จะเป็นการปลดล็อคแล้ว
เด้งกลับไปอยู่ในตำแหน่งที่ดันหัวน้อยที่สุด เป็นการเริ่มใหม่ พนักพิงศรีษะแบบนี้ไม่มีใคร
ทำมานานแล้ว และการที่ Subaru ใส่มาให้ในรถคันนี้ก็พอทำให้อภัยเรื่องความแข็ง
ของตัวพนักพิงได้
ผมไม่ได้ถ่ายรูปตัวเบาะมา ต้องขออภัยด้วย แต่มันก็มีทรวดทรงแบบเดียวกับ WRX
นั่นล่ะครับ เพียงแค่เปลี่ยนการตกแต่งจากโทนสีแดงเป็นสีน้ำเงินนั่นเอง
ส่วนเบาะหลังนั้นก็เหมือนกับ WRX ที่มีฟองน้ำแข็งพอประมาณ และมีพนักพิงศรีษะ
ทรวดทรงเดียวกันและแข็งราวครกอ่างศิลา (ใช้คำเปรียบตาม J!MMY) เหมือนกัน
เรื่องความสบายในการโดยสารนั้น ผมคิดว่าความนุ่มของเบาะและความสบายจากการ
รองรับแผ่นหลังนั้นยังเป็นรอง Volvo V60 อยู่
แต่สิ่งที่ต่างจาก WRX แน่นอนคือ เบาะหลังของ Levorg นั้นสามารถเอนได้นิดหน่อย
โดยคันโยกสำหรับปรับเอนเบาะนั้นถ้ามองหาไม่ดีก็จะไม่เจอ เพราะมันจะถูกเข็มขัด
นิรภัยหลังบังเอาไว้อย่างที่เห็นในรูปกลาง ดึงคันโยกนี้ แล้วตัวเบาะจะเอนลงได้
ช่วยการให้โดยสารเดินทางไกลนั้นสบายกว่า WRX ขึ้นมาพอสมควร
นอกจากเรื่องเบาะหลังเอนได้แล้ว หลังคาที่สูงกว่า WRX ทำให้มีเนื้อที่เหนือศรีษะ
มากกว่าเช่นเดียวกัน ผมสูง 183 เซ็นติเมตร และไขมันที่ก้นหนากว่าคนปกติมากก็ยัง
สามารถปรับเบาะตรง หนังหลังตรง ก้นชิดในสุดแล้วยังเหลือพื้นที่เหนือศรีษะอีกเป็นนิ้ว
ส่วนเนื้อที่วางขานั้นก็มีมาให้มาก และพูดได้เลยว่าใกล้เคียงกับ Legacy ปี 2003 มากจน
นึกไม่ออกว่าต่างกันยังไง ถ้าพูดเรื่องพื้นที่เบาะหลัง Levorg จะชนะ V60 หลังจากที่
แพ้ไปในเรื่องความสบายของตัวเบาะกับฟองน้ำเบาะ
จากเนื้อที่วางขาที่เห็น คุณอาจจะคิดว่าผมเลื่อนเบาะนั่งตอนหน้าไปข้างหน้าเพื่อช่วย
ขยายพื้นที่หรือเปล่า ถ้าใครรู้จักผมดีพอจะรู้ว่าผมไม่ได้ชอบทำอะไรแบบนั้นครับ
เป็นไงครับ? รูปถ่ายขาของผมนั่น ถูกถ่ายโดยมีคุณตั้ม เพื่อนสื่อฯชาวไทยที่ไปกลุ่ม
เดียวกันนั่งอยู่ข้างหน้า โดยผมขอให้คุณตั้มซึ่งมีสรีระร่างกายไม่เล็ก และสูง 6 ฟุตพอดี
ปรับไปในตำแหน่งที่เขานั่งขับแล้วสบายที่สุดแบบพอดีๆ ผลก็ออกมาอย่างที่เห็นครับ
Levorg เป็นรถแวก้อนขนาดกลางที่สามารถรองรับคนตัวใหญ่ได้อย่างสบายเลยล่ะ
เบาะนั่งแถวหลังของ Levorg สามารถแยกพับได้แบบ 60:40 แต่เมื่อพับแล้ว
จะไม่เรียบขนานไปกับแนวของตัวรถ แต่จะเอียงเล็กน้อยตามที่เห็นในภาพ
เช่นเดียวกับคู่แข่งอย่าง V60 ที่ก็ไม่ได้พับราบเรียบไปเสียทีเดียว เบาะหลังของ
Levorg เวอร์ชั่นไต้หวันนี้มีที่เท้าแขนพับได้ ในตำแหน่งที่เกือบพอดี (เตี้ยไปนิดเดียว)
พร้อมที่วางแก้ว 2 แก้วมาให้ แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพอมาถึงบ้านเราจะถูกตัด
ออกไปหรือไม่
ห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายของ Levorg หากไม่ได้พับเบาะหลังลง จะมีความลึก
1,070 มิลลิเมตร ขนาดความกว้างของช่องโหลดด้านท้ายคือ 1,080 มิลลิเมตร
และสูง 770 มิลลิเมตร ความจุสัมภาระ (VDA) อยู่ที่ 486 ลิตร ซึ่งมากกว่า Legacy
ปี 2003 อยู่ 27 ลิตร มากกว่า Volvo V60 อยู่ 56 ลิตร แต่แพ้ Legacy ปี 2009 ซึ่ง
มีขนาดตัวยาวใหญ่กว่า (ขานั้นเขาจุได้ 520 ลิตร) และถ้าไปเทียบกับ XV ซึ่งเป็นรถ
ครอสโอเวอร์แฮทช์แบ็ค ยิ่งต่างกันคนละเรื่อง เพราะ XV เวอร์ชั่นไทยจะมีความจุ
แบบไม่พับเบาะแค่ 310 ลิตร และมีความลึกห้องสัมภาระแค่ 820 มิลลิเมตรเท่านั้น
จะมีก็แต่ความสูงของห้องสัมภาระซึ่ง XV สูงกว่า Levorg อยู่แต่ก็แค่ 1 เซ็นติเมตร
ยิ่งถ้าพับเบาะลง Levorg จะมีความจุเพิ่มเป็น 1,446 ลิตร ซึ่งเหนือกว่า Volvo V60
(1,246 ลิตร) และ Subaru XV (1,270 ลิตร) ถ้าให้พูดเรื่องการจุสัมภาระในวินาทีนี้
ก็คงมีแค่ Audi A4 Avant ที่ไม่ได้ขายในไทยที่จะสามารถทัดเทียมกับ Levorg ได้
ถ้าคุณต้องการบรรทุกจักรยานล้อโต เอา Levorg พับเบาะลงแล้วตะแคงจักรยาน
เข้าไปได้เลย ไม่ต้องถอดล้อ แต่ถ้าอยากวางตั้งคงต้องถอดล้อหน้าออกก็จะพอยัดได้
แล้วมีเนื้อที่เหลือสำหรับการโดยสาร 3 ที่นั่งและสัมภาระได้อีกเยอะพอสมควรทีเดียว
การพับเบาะก็ง่ายมาก แค่เปิดฝากระโปรงท้ายแล้วไม่ไปที่ด้านข้างๆ หาสวิตช์หน้าตา
อย่างที่เห็นในภาพนี้แล้วกดได้เลย เบาะจะล้มไปข้างหน้าชนิดที่แรงและดังชวนขนหัวลุก
ก่อนจะพับเบาะรบกวนเช็คด้วยนะครับว่าไม่ได้เผลอวางเค้กฉลองวันครบรอบแต่งงาน
ไว้บนเบาะหลัง ไม่งั้นมันอาจจะกลายเป็นงานฉลองครั้งสุดท้ายของพ่อบ้านชะตาขาดครับ
และตามสไตล์รถยนต์เพื่อการท่องเที่ยว พื้นที่ใต้ห้องเก็บสัมภาระยังสามารถเปิดเป็นช่อง
สำหรับใส่ของเปียกเช่นเสื้อที่ชุ่มเหงื่อจากการปั่นจักรยานหรือชุดว่ายน้ำของคุณภรรยา
และลูกๆหลังจากไปเล่นน้ำทะเลมาได้ แต่มันไม่ได้ลึกมากนัก ดังนั้นจะหวังเก็บทุเรียน
ไว้ตรงนี้ก็ควรเลิกคิดซะ
สาเหตุที่มันไม่ลึก ก็เพราะข้างล่างเป็นที่อยู่ของยางอะไหล่ ซึ่งเวอร์ชั่นไต้หวัน
จะให้มาในขณะที่เวอร์ชั่นญี่ปุ่นจะใช้ชุดปะซ่อมยางแทน ทำให้ที่เก็บของเปียกนั้น
มีความลึกมากกว่า ยางอะไหล่ที่ให้มาเป็นล้อเหล็กเหลืองขนาดยาง 205/50/17
เหมือนจะใช้วิ่งแทนยางปกติได้เลยแต่บนแก้มยางก็มีการปั๊มเอาไว้เลยว่า
“Temporary Use Only” คือสำหรับการใช้ในกรณีฉุกเฉินเป็นการชั่วคราวเท่านั้นครับ
เนื่องจากไม่ได้เอาตลับเมตรติดตัวไปด้วย แต่อยากลองดูว่าพื้นที่ห้องบรรทุก
สัมภาระของ Levorg นั้นใหญ่มากหรือน้อยแค่ไหน..มันจะมีวิธีใดอีกล่ะครับนอกจาก
ใช้ตัวเองเนี่ยแหละเป็นตัววัด ผมลองนอนดูเล่นๆแบบนี้ เลยทำให้รู้ว่าหากคิดจะปิด
ท้ายรถเปิดกระจกแล้วนอนเล่นใต้ร่มไม้ ยังทำไม่ได้ครับเพราะส่วนขาจะเกยออกมา
ไหนๆก็เปลืองตัวไปแล้ว ลองนั่งอีกรูปละกัน เอาให้ญาติผู้ใหญ่ในงานกระเจิงไปเลย
รอยปูดๆลงที่หลังคาทางด้านขวานั่นไม่ใช่ผ้าหลังคาห้อยนะครับ แต่เป็นส่วนที่ใช้
ยึดสายเข็มขัดนิรภัยสำหรับคนนั่งเบาะหลังตรงกลาง เจ้าส่วนนี้ทำให้เสียพื้นที่
ความสูงไปบ้าง แต่เพื่อความปลอดภัยแล้วอยากมอบเข็มขัด 3 จุดดีๆให้คนนั่งกลาง
เบาะหลัง มันก็มีแต่วิธีนี้เท่านั้นล่ะครับ ได้อย่างเสียอย่าง
แผงแดชบอร์ดหลักนั้นก็ยกมาจาก WRX เลย เหมือนกันราวฝาแฝด
ห้องโดยสารยังเน้นเป็นโทนดำ/เทาดำแบบขรึมๆแบบเดียวกับ WRX
แต่มีการปรับรายละเอียดบางส่วนให้เหมาะกับประเภทของรถมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่นการเปลี่ยนพลาสติกบางส่วนจากสีดำเป็นสีเงิน การเพิ่ม
ขอบโครเมียมสีเงินด้านให้กับช่องแอร์ตรงกลาง (WRX จะมีแค่ช่อง
ซ้ายสุดและขวาสุด) เปลี่ยนเบรกมือจากแบบคันโยกธรรมดาใน WRX
มาเป็นเบรกมือไฟฟ้า แบบเดียวกับ WRX S4 เวอร์ชั่นญี่ปุ่น
ในรุ่น GT-S ตามภาพบนนั้น ต้องบอกไว้ก่อนว่าเบาะหนัง กับชุด Infotainment
Subaru Starlink พร้อมระบบนำทางนั้นเป็นออพชั่นที่ต้องเสียเงินเพิ่มนะครับ
สำหรับตลาดไต้หวัน ในรถ GT-S ปกติ จะเป็นเบาะผ้าสไตล์ WRX แต่เดินตะเข็บ
สีน้ำเงินแทน และชุด Infotainment จะหน้าตาเหมือนตัว GT ในภาพล่าง
อีกส่วนที่ต่างกันอย่างเด่นชัดระหว่าง GT กับ GT-S นอกจากเบาะคือวัสดุตกแต่ง
แถบแนวนอนฝั่งคนนั่ง ซึ่งตัว GT จะเป็นสีดำ Piano Black แต่ GT-S จะเป็นลาย
คล้ายคาร์บอน แต่เป็นสีขาว
ทุกรุ่นติดตั้งกระจกมองข้างแบบ ปรับและพับด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ถัดลงมาเป็นสวิตช์
กระจกหน้าต่างไฟฟ้า เฉพาะฝั่งคนขับเป็นแบบ One Touch เลื่อนขึ้น – ลงได้ด้วย
การกดเพียงครั้งเดียว ตามมาตรฐานรถยนต์ยุคนี้ ทั่วๆไป
ใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับ มี สวิตช์ปรับระดับความสว่างของมาตรวัด สวิตช์เปิดฝาประตู
ห้องเก็บของด้านหลังด้วยไฟฟ้า ถัดลงไป เป็นสวิตช์ เปิด – ปิดระบบ Traction
Control
การติดเครื่องยนต์ ทั้งรุ่น 1.6GT จะใช้กุญแจบิดสตาร์ทแบบปกติ โดยสามารถสั่ง
Push-Start กับ Smart Entry เป็นออพชั่นได้ ส่วนรุ่น 1.6 GT-S จะติดตั้งทั้งสองระบบ
ที่ว่าไปนั้นมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานเลย
พวงมาลัยของทุกรุ่น เป็นแบบ 3 ก้าน ท้ายตัดทรง D-Shape ซึ่งยกทั้งวงพวงมาลัยและ
สวิตช์มัลติฟังก์ชั่นต่างๆมาจาก WRX เลย ต่างกันแค่ไม่มีตรา WRX ที่ก้านล่างของ
พวงมาลัยแค่นั้นเอง รุ่น GT จะเป็นพวงมาลัยหุ้นหนังส่วนรุ่น GT-S จะมีการเย็บตะเข็บ
ด้วยด้ายสีน้ำเงินเพิ่มขึ้นมา พวงมาลัยสามารถปรับระดับสูง – ต่ำ และใกล้ – ห่าง
จากตัวคนขับ (Telescopic ได้) ออกแบบให้ Grip บริเวณตำแหน่ง 10 นาฬิกา และบ่าย
2 โมง อวบมากเป็นพิเศษ
ทุกรุ่นติดตั้งแผงควบคุม Multi Function บนพวงมาลัยมาให้ โดยฝั่งซ้ายจะมีสวิตช์บน
ก้านพวงมาลัย ไว้ควบคุมชุดเครื่องเสียง และโทรศัพท์ (ผ่านระบบ Bluetooth) และชุด
สวิตช์ใต้ก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย ไว้ควบคุมหน้าจอ LCD Display บนมาตรวัด
ส่วนก้านพวงมาลัยฝั่งขวา ทกรุ่นจะติดตั้งระบบ Cruise Control และมีสวิตช์สำหรับ
เลือกโหมดระบบ SI-Drive มาให้
มองไปด้านล่างสุด จะพบแป้นคันเร่ง เบรก และคลัตช์ เฉพาะรุ่น GT-S เท่านั้น
ที่จะเป็นแป้นตกแต่งด้วยอะลูมีเนียม
ชุดมาตรวัดของ Levorg มีลักษณะเกือบเหมือนของ WRX แต่ต่างกันบางจุด
เช่นสีมาตรวัดจากเดิมสีส้มแดงเข็มขาว ก็เปลี่ยนเป็นตัวเลขขาว เข็มขาว เดินขอบ
มาตรวัดด้วยสีน้ำเงิน (ไม่มีออพชั่นโลกสลับสีปรับสีได้มากมายแบบ Outback
ซึ่งก็ไม่จำเป็นนักหรอก) ตัวเลขความเร็วจากเดิมสุดที่ 280 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ลดลง
เหลือ 260 แทน วัดรอบจากเดิม Redline ที่ 6,700 ก็ลดลงเหลือ 6,200 ตาม
เครื่องยนต์ที่ลดดีกรีความรุนแรงลง
หน้าจอตรงกลาง เป็น LCD Display ขนาด 3.5 นิ้ว แสดงข้อมูลต่างๆ ท่อนบน
แจ้งเตือนปิดประตูไม่สนิท อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบ Real-Time และการ
ทำงานของระบบ SI-DRIVE (รายละเอียด อ่านข้างล่าง) และเปลี่ยนเป็นจอ
แสดงความเร็วรถแบบ Digital ส่วนท่อนกลาง แสดงหน้าจอการทำงานระบบ
ล็อกความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ถัดมาล่างสุด แสดงข้อมูล มาตรวัด
ระยะทาง Odometer กับTrip Meter A / B และ ไฟบอกตำแหน่งเกียร์
บริเวณด้านหลังคันเกียร์มา เนื่องจากไม่ต้องมีคันเบรกมือ เราจึงพบสวิตช์ใหม่ๆโผล่มา
เช่นสวิตช์สำหรับระบบ Auto Start/Stop ซึ่งมีมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่น
สวิตช์สำหรับระบบ Hill Start Assist สำหรับการช่วยออกตัวรถบนทางลาดชัน
และสวิตช์ฮีทเตอร์เบาะ ซึ่งคงไม่จำเป็นนักสำหรับพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทย
ส่วนนี่คือหน้าตาของระบบ Infotainment Starlink ตัวใหม่ขนาดหน้าจอ 7 นิ้ว
ซึ่งมีระบบนำทางแบบเสียบ SD-Card เชื่อมการทำงานกับกล้องมองหลัง
และระบบอื่นๆได้ ในตลาดไต้หวันทั้งรุ่น GT และ GT-S จะมีให้เลือกเป็นออพชั่น
เสียเงินเพิ่ม หาไม่เช่นนั้นแล้วก็จะได้ Starlink รุ่นธรรมดาจอ 6.2 นิ้วอย่างที่เห็น
ในรูปรุ่น GT นั่นล่ะครับ ทุกรุ่นจะรองรับแผ่น CD 1 แผ่น และส่งพลังเสียงผ่าน
ลำโพง 6 ตัว เราไม่ได้มีโอกาสทดสอบพลังเสียงครับ คงต้องรอรถคันจริงมาถึงไทยก่อน
Subaru คงทราบดีว่าลูกค้าสมัยใหม่ชอบอะไรก็ตามที่มีจอให้ดูเล่น
ดังนั้นใน Levorg 1.6 ไม่ว่าจะเป็นรุ่น GT หรือ GT-S ก็จะมีจอสารพัดนึกให้ดู
ที่ตรงกลางด้านบนของแดชบอร์ด เป็นจอชุดเดียวกันกับของ WRX 2.0 ซึ่งแน่นอน
ว่าคุณจะสามารถกดดูมาตรวัดบูสท์ดีดขึ้นๆลงๆเล่นก็ได้ ดูองศาการกดของคันเร่ง
และอุณหภูมิน้ำมันเครื่องด้วยก็ได้ (อย่างหลังนี่ STi ไม่มีนะครับ แต่ WRX กับ
Levorg มีให้) หรือถ้าใครอยากขับแบบเน้นประหยัด จะกดดูจอแสดงอัตราการ
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงก็ได้ หรือจะโชว์เป็นจอแสดงการทำงานของระบบขับเคลื่อนกับ
ระบบช่วยเหลืออิเล็กทรอนิกส์ ATV, Traction Control หรืออะไรก็ได้เหมือน WRX
.
*****THE TEST!*****
เราผ่านหัวข้อสำหรับคนรักความสบายและออพชั่นกันไปบ้างแล้ว คราวนี้เป็นทีของ
มนุษย์ส้นเท้าหนักกันบ้าง
Subaru Levorg ในตลาดญี่ปุ่นนั้นจะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 แบบดังนี้
เครื่องยนต์ FA20DIT ในรุ่น 2.0GT และ 2.0 GT-S เป็นบล็อก 4 สูบนอน
BOXER DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 86.0 x 86.0 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 10.6 : 1 มีระบบแปรผันวาล์ว AVCS (Active Valve Control System)
มาให้ทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบ Di (Direct Injection)
ซึ่งจะต่างจากเครื่องยนต์ของ BRZ ที่มีทั้ง Di และหัวฉีดที่พอร์ททำงานควบคู่กันไป
ให้พลัง 300 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร
หรือ 40.8 กก.-ม. ที่ 2,000-4,800 รอบต่อนาที รองรับน้ำมันออคเทน 100 เป็นหลัก
ซึ่งเครื่องยนต์ตัวนี้ก็เป็นบล็อกเดียวกับ WRX S4 ในตลาดญี่ปุ่นนั่นล่ะครับ ระบบส่งกำลัง
ก็มีเพียงแค่แบบ Sport Lineartronic 8 จังหวะ CVT แบบเดียวเช่นกัน ปล่อย CO2
176 กรัม/กิโลเมตร
แบบที่สอง เป็นเครื่องยนต์ FB16DIT ในรุ่น 1.6GT และ 1.6 GT-S เป็นบล็อก 4 สูบนอน
BOXER DOHC 16 วาล์ว 1,600 ซีซีเป๊ะ กระบอกสูบ x ช่วงชัก 78.8 x 82.0 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 11.0 :1 มีระบบแปรผันวาล์ว AVCS ( Active Valve Control System)
ทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบ Di (Direct Injection)
ให้พลัง 170 แรงม้า (PS) ที่ 4,800-5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร
หรือ 25.5 กก.-ม. ที่ 1,800-4,800 รอบต่อนาที รองรับน้ำมันออคเทน 91 (ของเมืองนอก
ซุึ่งน่าจะสูงกว่าของไทยอยู่) มีระบบส่งกำลังแบบเดียวคือ Lineartronic CVT 6 จังหวะ
ปล่อย CO2 133 กรัม/กิโลเมตร
สำหรับตลาดอื่นๆนอกเกาะญี่ปุ่นในเวลานี้ จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกเพียงแบบเดียวคือ
1.6 ลิตรเทอร์โบ FB16DIT 170 แรงม้า ตัวเลขสเป็คของไต้หวันแจ้งพลังและแรงบิด
ตามที่ได้เขียนไว้ด้านบนเด๊ะ เคลมอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงไว้ 8.9 วินาที
ความเร็วสูงสุดที่ระบุบนโบรชัวร์คือ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์ CVT LinearTronic ซึ่งสามารถซอยแยกเป็น 6 จังหวะ
ซึ่งสามารถปรับการตอบสนองผ่าน SI-Drive ซึ่งประกอบด้วยโหมด Intelligent
และ Sportแต่ไม่มีโหมด Sport# แบบเกียร์ตัว 8จังหวะ อัตราทดพูลเลย์อยู่ที่
3.581-0.570 เมื่อเข้าเกียร์ D แต่เมื่อกดคันเร่งลงลึกกว่าปกติ ตัวเกียร์จะเลิกทำงาน
เป็นหนังสติ๊กแบบ CVT แล้วเริ่มมีการเปลี่ยนเกียร์ที่คล้ายรถเกียร์อัตโนมัติทั่วไป
โดยหากผู้ขับเลือก SI-Drive ไปที่โหมด [ I ] โหมด 6 จังหวะจะทำงาน
เมื่อกดคันเร่งเกิน 35% และถ้าเลือกไปที่โหมด [ S ] มันก็จะทำงานเมื่อคันเร่ง
ถูกกดเกิน 30% หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่เข้าเกียร์โหมด M แล้วเล่น Paddleshift เอง
เกียร์ก็จะทำงานแบบ 6 จังหวะ โดยมีการไล่อัตราทดพูลเลย์ดังนี้
เกียร์ 1…………………………..3.560
เกียร์ 2…………………………..2.255
เกียร์ 3…………………………..1.655
เกียร์ 4…………………………..1.201
เกียร์ 5…………………………..0.887
เกียร์ 6…………………………..0.616
เกียร์ถอยหลัง 1 …………….3.667
อัตราทดเฟืองท้าย…………..3.900
โดยทั้งเวอร์ชั่นญี่ปุ่น และเวอร์ชั่นไต้หวัน ได้เกียร์ที่มีอัตราทดทุกอย่างเท่ากันเป๊ะๆ
ระบบกันสะเทือนของ Levorg ก็เป็นแบบเดียวกับ WRX ด้านหน้าเป็นแบบ
อิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังเป็นแบบดับเบิลวิชโบน แต่การเซ็ต
ช่วงล่างจะเน้นความเป็นมอเตอร์สปอร์ตจ๋าน้อยลงกว่า WRX และสร้างความ
รู้สึกผ่อนคลายในการเดินทางมากขึ้น
รุ่น 1.6 GT-S จะใช้ล้อขนาด 18 นิ้ว ห่อหุ้มด้วยยาง Dunlop Sport Maxx
ขนาด 225/45/18 (ซึ่งมีขนาดล้อโตกว่า WRX บ้านเรา แต่หน้ายางแคบกว่า
โดย WRX ใช้ล้อขนาด 235/45/17 ซึ่งแก้มยางจะสูงกว่า)
ส่วนรุ่น 1.6 GT จะใช้ยาง Dunlop Sport Maxx 050 แต่ลดขนาดลงมา
เป็น 215/50/17 แทน ล้อที่เห็นนั้น..ทำตัวเหมือน Prius รุ่นประกอบบ้านเรา
ตรงที่ใช้ล้ออัลลอยก็จริง แต่กลับมีฝาครอบลายใบพัดมาให้ด้วย ไม่ทราบว่า
ต้องการเน้นเรื่องหลักอากาศพลศาสตร์หรือเพราะเน้นความเรียบร้อยสวยงาม
ถ้าอยากรู้ว่าเวลาถอดฝาครอบแล้วเป็นอย่างไร ก็ลองเลื่อนขึ้นไป Section
THE TRIP แล้วดูรถ Levorg คันที่ Russ Swift ใช้แสดง นั่นล่ะครับลายนั่นเลย
(ผมว่าถ้าเอาฝาครอบออกแล้วทำล้อให้เป็นสี Hyper Grey มันก็เท่ห์อยู่นะ)
ระบบเบรกของทุกรุ่น จะเป็นแบบ Sliding Caliper (ก็เป็นคาลิเปอร์เบรกธรรมดาๆแหละ)
ด้านหน้าเป็นคาลิเปอร์ 2 Pot ด้านหลังแบบ 1 Pot จานเบรกหน้ามีร่องกลางระบาย
ความร้อน ส่วนด้านหลังเป็นจานเบรกแบบธรรมดา ดูแล้วมันก็เบรกชุดเดียวกับ
ของ WRX นั่นล่ะครับ (รุ่น 2.0 GT, GT-S ของญี่ปุ่นก็ใช้เบรกแบบเดียวกัน แต่จานเบรก
โตกว่าและจานเบรกหลังจะมีร่องระบายความร้อนตรงกลางมาให้)
ระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลืออิเล็กทรอนิกส์อื่นๆที่ให้มาก็มีมากมาย
เริ่มต้นก่อนที่ถุงลมนิรภัย 7 ใบ คู่หน้า+ด้านข้าง+ม่านถุงลม+เข่าคนขับ จากนั้น
ก็เป็นระบบเบรก ABS พร้อมระบบ Brake Assist และ Brake Override ซึ่งหาก
เกิดกรณีคันเร่งค้าง สามารถกดเบรกคาไว้ราว 2 วินาที ระบบจะตัดการทำงานของ
คันเร่ง ทำให้สามารถหลบเข้าข้างทางได้อย่างปลอดภัย (แต่อย่าเผลอปล่อยเบรก
ก่อนดับเครื่องก็แล้วกัน) นอกจากนี้ยังมีระบบ TCS- Traction Control System,
VDC- Vehicle Dynamic Control และแม้กระทั่งระบบจับเบรกเพื่อแบ่งพลัง
ขับเคลื่อนระหว่างล้อซ้ายกับล้อขวา ATV- Active Torque Vectoring ก็มีมาให้
ส่วนอุปกรณ์ใดๆก็ตามที่เกี่ยวข้องกับระบบ Eyesight ที่ใช้อยู่ในญี่ปุ่น ขอแสดง
ความเสียใจด้วยที่ยังไม่มีมาให้ใช้ในรถสเป็คไต้หวันครับ แต่รถไต้หวันยังมีอุปกรณ์
สั่งพิเศษให้เลือกเสียเงินอีกสองตัวคือ SRVD-Subaru Rear Vehicle Detection
และ High-Beam Assist
SRVD นั้นจะเป็นระบบที่ใช้เรดาร์และกล้องหลังในการเพิ่มความปลอดภัยด้วยระบบ
Blind Spot Monitoring ตรวจจับรถที่อยู่ในจุดบอด ระบบเตือนการเปลี่ยนเลนโดย
ไม่ได้ตั้งใจ และระบบ Cross-Rear Traffic Camera ซึ่งตรวจจับรถที่กำลังวิ่งมาใน
ทางหลักเวลาเรากำลังจะถอยรถ ซึ่งก็เหมือนกับใน PPV ราคาล้านหกบ้านเรานั่นล่ะ
ออพชั่นนี้ พร้อมติดตั้งและจำหน่ายใน Levorg ที่จำหน่ายในไต้หวัน เวียดนาม
ฟิลิปปินส์ ส่วนตลาดสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และไทย ยังต้องรอไปถึงครึ่งหลังของปี
2016 หรือนานกว่านั้นนะครับ
ส่วนระบบ High Beam Assist นั้น ก็เป็นระบบที่ช่วยให้คุณสามารถเปิดไฟสูงวิ่ง
ทางไกลกลางคืนได้ เมื่อมีรถสวนมาแล้วระบบตรวจพบ มันก็จะสั่งให้ไฟหน้ากลับ
เป็นไฟต่ำตามปกติให้เอง ระบบนี้ในเอกสารของ FHI บอกว่าพัฒนามาพร้อมแล้ว
สำหรับทุกประเทศยกเว้นที่กัมพูชาอย่างเดียว (หมายความว่าเราคนไทยจะได้ใช้มั้ย?)
เอาล่ะ มาถึงจุดนี้ เราจบเรื่องการบรรยายจริงๆเสียทีแล้วไปลองขับกันเลยดีกว่า
Subaru และทีมงาน Motor Image Group ได้เปลี่ยนลานจอดรถของ
Nangang Taipei C3 ให้เป็นลานจิมคาน่าขนาดเล็ก พื้นผิวของทางวิ่งนั้น
มีทั้งช่วงที่สะอาด และช่วงที่สกปรกฝุ่นปูนเต็มไปหมด สภาพพื้นผิวก็ไม่ได้เรียบ
ผมเห็นรถกลุ่มที่ทดสอบก่อนผมวิ่งไปรอบสนาม ดูจากการขยับของรถก็รู้ได้ทันที
ว่าพื้นมีความตะปุ่มตะป่ำและเป็นปูดใหญ่โผล่ในโค้งบางจุด บางคนอาจจะบ่น
แต่ผมมองว่าเขาจัดมาอย่างนี้ เราก็ขับมันทั้งอย่างนี้แหละวะ ดีเสียอีกที่
สภาพผิวถนนแบบนี้มันช่างเหมือนกับถนนชานเมืองของกรุงเทพยิ่งนัก จะได้ลอง
ระบบลองแชสซีส์ของรถกันให้สะใจเลยทีเดียว
เพราะไหนๆก็ไม่สามารถวิ่งเร็วไปกว่า 70 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ งานนี้ต้องเอาคืนด้วยการ
สะบัดพวงมาลัยให้มันสุดเท่านั้น
คอร์สแรกที่เราขับ จะมีลำดับการขับดังนี้
1. จากจุดเริ่มต้น ออกตัวไปโดยกดคันเร่งเต็ม จากนั้นเมื่อถึงจุดหยุดรถก็ให้กดเบรกเต็ม
2. หลังจากนั้นออกรถแล้วเลี้ยวโค้งตัว U หันลำกลับมาเข้าเส้นทางตรง และเจอกรวย
บังคับให้หักซ้ายและขวา เหมือนการหักหลบรถในชีวิตจริง แต่เราจะใช้ความเร็วมากกว่า
รถในซอยตามปกติแน่ๆ
3. หันกลับลำตัว U เข้าสู่ช่วงสลาลอม ทางตรงนี้ช่วงแรกๆฝุ่นน้อย แต่ช่วงหลังๆฝุ่นเยอะมาก
4. หันกลับลำ เข้าสู่ช่วงทางตรง บังคับหักหลบซ้าย-ขวาอันเดียวกับข้อ 2
5. เบรกแล้วตีวงกลับเข้ามาที่จุดเริ่มต้นเหมือนเดิม
ฟังดูเหมือนคอร์สหัดขับ อ่ะงั้นเอาคลิปไปดูเลยแล้วกัน
ที่นั่งกันในรถ..ม่วนมันส์มากครับ ผมได้ขับรถคันสีเงินฟ้าคันข้างล่างนี่ ระหว่างขับ
รอบแรกพยายามสร้างความมั่นใจและเรียนรู้ทางอย่างเต็มที่ แต่จู่ๆครูฝึกไต้หวัน
ก็ขับรถสีเทาดำอีกคันมาจี้ต่อตูด ผมขับของผมอยู่ดีๆมองกระจกส่องหลัง
อีกที เห้ย! อะไรวะนั่น! ครูฝึกขับรถ Levorg อีกคันที่ติดกล้อง GoPro ของพี่แมน
ตามผมมาแบบติดๆเลยครับ สมาธิกระเจิงไปหมด เลยล่อกรวยส้มให้ทีมไทย
แบบสวยๆไป 3 กรวยถ้าจำไม่ผิด พอรอบหลังถึงเริ่มรู้สึกมั่นใจและสบายใจไปกับรถ
ขับแบบ Real Racing 3 จนครูฝึกในรถผมบอกว่ามึง Relax บ้างก็ได้
เท่าที่สัมผัสมาอย่างแรกเลย อัตราเร่งออกตัว ก็เป็นไปตามที่คาดครับคือรู้สึกถึง
แรงดึงพอสมควรให้รู้ว่าเป็นรถที่มีพลัง 250 นิวตันเมตร แต่อย่าหวังการออกตัวแบบ
ดีดออกเหมือนกับรถขับหน้าอย่าง Volvo V60 เพราะ Levorg เป็นรถขับสี่ ล้อขนาดโต
และยังหนักถึง 1.5 ตันกว่า หนักกว่า XV 2.0i ตั้งกว่าร้อยโลครับ ดังนั้นถ้าคุณเห็นคำว่า
Subaru+Turbo+AWD แล้วคิดว่ามันจะจี๊ดจ๊าดได้ประมาณ WRX ที่ลดเครื่องเหลือ 1.6
ผมว่าเตรียมผิดหวังไว้ได้เลย
เปล่าครับ..ผมไม่ลืมที่จะใส่ SI-Drive เป็นโหมด Sport แน่นอน แม้กระนั้นก็ยังช่วย
อะไรไม่ได้มาก เพราะถึงแม้เครื่องยนต์จะมีแรงบิดรอบต่ำที่ดีมาก แต่พอกระทืบจม
เมื่อตอนออกตัว เกียร์ CVT ก็จะกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องยนต์ต้องอมพลังเอาไว้นิดๆ
กว่าจะถึงจุดที่เริ่มรู้สึกว่ารถกำลังพุ่ง กำลังเริ่มไหลมา เราก็เข้าจุดเบรกกันแล้ว
เรื่องอัตราเร่งออกตัว ความรู้สึกส่วนตัวของผม ออกจะขาดความสะใจสไตล์ Subaruเทอร์โบ
แต่แน่นอนว่าถ้าคุณเอาไปเทียบกับ XV หรือ Outback ล่ะก็ Levorg 1.6 คันนี้ก็มีแนวโน้ม
ที่จะไวกว่า หากเอามาทำทดสอบใน J!MMY Mode ผมคาดหวังอัตราเร่ง 0-100 ไว้ประมาณ
9.5-10 วินาทีหรืออยู่ระดับที่กลางๆในหมูรถซาลูนขับหน้า C-Segment เครื่อง 2.0 นั่นแหละครับ
เพราะแม้ช่วงออกตัวจะเนือยๆแบบ CVT (ซึ่งแม้แต่ Forester XT Turbo ช่วงออกตัวก็เนือย
เช่นกัน) แต่ช่วงหลังจาก 50 ไปนั้นมีแนวโน้มว่ารถจะพุ่งขึ้นดีอย่างชัดเจนแต่ก็ต้องรอดูกันล่ะ
ระบบเบรก ผมลองทั้งแบบค่อยๆกดจนหยุดและแบบกระทืบเต็มๆ พบว่าระยะการทำงาน
ของแป้นเบรกจะสั้นคล้าย WRX มีน้ำหนักต้านเท้าน้อยกว่า WRX แต่มากกว่ารถญี่ปุ่นทั่วไป
พอรู้สึกได้ (อยู่กึ่งกลางระหว่าง XV กับ WRX) การกดเบรกเพื่อให้ ABS ทำงานนั้นใช้แรง
น้อยกว่า WRX อย่างเห็นได้ชัด เรียกว่าถ้าเป็นในสนามหรือการขับตามภูเขาความเร็ว
70-80 นี่ระบบเบรกสั่งได้ ถ้าเป็นคุณผู้หญิงขับจะรู้สึกสบายมั่นใจกว่าเบรกของ WRX ที่
ไม่รู้จะหนักต้านเท้าชิงโล่ห์ไปไหนด้วยซ้ำ..แต่กระนั้น การที่เรายังไม่ได้ลองที่ความเร็วสูง
ก็ทำให้ยังตอบไม่ได้ว่าถ้าชะลอจาก 120 หรือ 140 ระบบเบรกจะทำงานได้ดีเพียงไร
การบังคับควบคุมรถ พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์แบบไฟฟ้า
อัตราทดเฟืองพวงมาลัยในโบรชัวร์แจ้งว่า 14.4:1 ซึ่ง WRX อยู่ที่ 14.5:1 คือ..
มันน่าจะเท่ากันหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ใจมากคือความไวในการตอบสนอง
ของพวงมาลัยนั้นถอดแบบ WRX มาเลย ช่วงแรกๆของการหมุนจะไม่ไวจนทำให้
รู้สึกประสาทเกิน แต่พอหักระดับ 90 องศา คุณก็รู้เลยว่างานนี้สนุกแน่ การวิ่งสลาลอม
การหักเปลี่ยนเลน หรือแม้กระทั่งในคอร์สขับที่ 2 ซึ่งให้ขับรถแบบวนเป็นสี่เหลี่ยม
จากนั้นให้ขับเลี้ยวเป็นมุมหักจนเป็นมุมแหลมเกือบเหมือนจะกลับรถนั้น Levorg
สามารถหักเลี้ยวหลบกรวยไปได้อย่างคล่องแคล่วราวกับพวงมาลัยรถสปอร์ต นี่คือจุด
ที่ผมชอบมาก ชอบมากกว่าชุดพวงมาลัยของ Subaru XV และ Outback เสียอีก
แต่น้ำหนักของพวงมาลัยเท่าที่สัมผัสมาจะเบากว่า WRX เนื่องจากหน้ายางของ
Levorg นั้นแคบกว่าอยู่ 10 มิลลิเมตร ดังนั้นการขับในตัวเมือง เลี้ยวตามตรอกซอกซอย
สบายมาก เหลือแค่รอดูว่าเวลาวิ่งบนทางด่วนความเร็วสูงๆจะเหมือนหรือต่างจาก
WRX อย่างไร
แล้วช่วงล่างล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง?
หลังจากที่ลอง WRX มาครบทุกสภาพถนนแล้วมาเจอช่วงล่างของ Levorg
ผมพบว่า Subaru ทำช่วงล่างให้นุ่มลงจริง จากตัว WRX ที่แข็งจนผมไม่กล้า
ชวนคุณพ่อคุณแม่นั่งไปด้วย ใน Levorg นี้มันจะเป็นความรู้สึกเฟิร์ม..หนึบแบบ
รถญี่ปุ่นที่ใส่โช้คอัพค่อนข้างไปทางแข็ง บอดี้ของรถที่แข็งแรงบวกกับระยะการ
ยุบยืดของโช้คอัพที่สั้นอาจทำให้มันไม่ได้สบายเหมือนนั่ง BMW ซีรีส์ 3 Touring
แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกว่า Levorg มีความนุ่มนวลที่คล้ายกับ Subaru XV คือนุ่มพอ
ให้พาผู้ใหญ่เดินทางได้ แต่ก็ยังแข็งพอที่จะให้วัยรุ่นสาดโค้งแบบมั่นใจได้เช่นกัน
แค่ยังไม่ถึงกับเอาไปหวดในสนามบุรีรัมย์เล่นกับรถแข่งได้อย่างพวก WRX แค่นั้น
สิ่งที่ยังต้องรอดูผลจากการลองของจริงในประเทศไทย ก็คือการขับรูดเนินลูกระนาด
ในสไตล์คุณภรรยาอารมณ์เสีย กับการทรงตัวเวลาขับทางไกล แต่ดูจากที่ Subaru
เสกมนตร์ของพวกเขาลงใน XV กับ Outback ตัวล่าสุด Levorg น่าจะสอบผ่าน
เพียงแต่ไม่น่าจะนุ่มนวลเฉกเช่นรถใหญ่ตัวหนักยางหนาอย่าง Outback แค่นั้น
+++บทสรุป..ก่อนเปิดตัวเวอร์ชั่นไทย พร้อมรับจอง 1 ธันวาคมนี้!+++
เครื่องยนต์..ขอแรงอีกนิดน่ะ มันไม่ดึงสะใจ แต่ก็พอเล่นกับพวกรถ D-Segment
หรือ SUV 2.5 ลิตร (ที่ไม่ใช่ CX-5 2.5) ได้แล้วกัน
การบังคับควบคุม..พวงมาลัย WRX ดีๆนี่เอง ไว คม ดีสำหรับพวงมาลัยไฟฟ้า
ช่วงล่าง..ออกแนวเฟิร์ม ติดแข็งหนึบเล็กน้อยแต่ยังพอให้ผู้ใหญ่ผู้เฒ่าโดยสารได้
ภายใน..ดูจืดๆตามสไตล์ Subaru แต่ก็ยังดูหรูหรากว่า WRX ขึ้นมาราว 5-8%
พื้นที่โดยสาร..ด้านหน้าสบายเท่า WRX ด้านหลังสบายเท่ากันแต่ได้ Headroom
เพิ่มขึ้นจากการเป็นรถแวก้อน
พื้นที่บรรทุกด้านท้าย..ใหญ่กว่า Legacy 2003 ใหญ่กว่า XV คนละเรื่อง และใหญ่กว่า
Volvo V60 แต่คงไม่ใหญ่เท่าแวก้อนตัวยาวอย่าง Skoda Superb หรือ Legacy 2009
ถ้าให้เขียนแบบสั้นที่สุดผมคงต้องบอกว่า Levorg ก็คือ
“รถสำหรับพ่อบ้านใจกล้า ที่อยากได้ Subaru WRX แต่ติดที่ภรรยาไม่สนับสนุน”
ใช่แล้วครับ มันคือรถที่จะยุติความไม่ลงรอยระหว่างพ่อบ้านกับภรรยาที่มีความต้องการ
รถกันคนละแบบ ในฐานะพ่อบ้านคุณคงอยากซิ่ง อยากมันส์ คุณอาจจะเคยเป็นเจ้าของ
WRX รุ่นเก่าๆมาก่อน จากนั้นหลังจากแต่งงานและมีลูก รถคันเก่าของคุณถูกตั้งแง่รังเกียจ
ว่าเสียงดังเกินไป ช่วงล่างแข็งเกินไป ขาดความเอนกประสงค์ ใส่ข้าวของเยอะๆก็ไม่ได้
ใส่รถเข็นเด็กก็ยาก และอื่นๆอีกมากมาย ภรรยาของคุณอยากให้คุณซื้อรถธรรมดาๆใช้
มากกว่า แต่คุณรู้สึกว่าในใจยังอยากคบรถจาก Subaru แต่คุณก็พบว่า XV นั้นแม้จะมี
ราคาที่ถูก ซื้อง่าย แต่คุณคิดว่าภายในมันธรรมดาเกินไป พลังจากเครื่องยนต์ก็น้อยเกินกว่า
ที่จะป้องกันตัวจากพวกแท็กซี่สนามบินพันธุ์ซิ่งสายโหด ส่วน Outback นั้นก็ดูจืดชืดเกินไป
และดูไม่เหมาะกับชายวัย 30 ต้นๆที่ยังเพิ่งจะมีลูกคนแรก
Levorg คือรถที่ตอบโจทย์ของคุณได้ แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ารถคันหนึ่งก็คือ
เงินก้อนหนึ่งที่บริษัทรถคิดว่าจะเอาเงินก้อนนี้ไปลงตรงไหน กับรถอย่าง Subaru เงินก้อนนั้น
ไปลงกับระบบขับเคลื่อน การขับขี่ และพวงมาลัย อันเป็นจุดเด่นที่ทำให้ Subaru เป็นรถที่
ขึ้นชื่อเรื่องการบังคับควบคุมที่สั่งได้ ที่ผ่านมามีแค่ไม่กี่รุ่นเท่านั้นที่เราขับแล้วรู้สึกว่ามัน
น่าผิดหวัง
แต่ถ้าเป็นเรื่องวัสุดภายใน สไตล์ที่แตกต่าง กับความหรูหรา คุณอาจจะพบว่าคู่แข่งที่ใกล้
พิกัดกันมากที่สุดอย่าง Volvo V60 สามารถตอบโจทย์ได้ดีกว่า (ถ้าไม่นับเรื่องบริการ
หลังการขายซึ่งสมัยนี้ต้องวัดดวงเอา) ภายในของ Volvo ทำออกมาดูดีสไตล์ยุโรป
ยิ่งรุ่นใหม่ไมเนอร์เชนจ์ก็ทำหน้าปัดและหน้าตารถออกมาได้โดนใจกว่าเวอร์ชั่นเดิมมาก
เบาะนั่งต่างๆก็นุ่มสบาย เครื่องยนต์ก็ให้อัตราเร่งและความประหยัดที่ดี ลุ้นอย่างเดียวว่า
อย่าให้เครื่องกับเกียร์เจ้าปัญหาของ Ford ก่อเรื่องให้บรรดาผู้ใช้อย่างที่ผ่านมาในระยะ
2-3 ปีนี้ก็แล้วกัน
หรือจะมองข้ามไปค่ายเยอรมัน ก็มีรถตกรุ่นโละสต็อกราคากำลังดีอย่างบรรดา X1
ซึ่งถ้าจะเล่น ก็ควรเป็นรุ่น 20d ซึ่งราคาสูงหน่อยแต่พลังเครื่องยนต์สูง เร่งสนุก เกียร์ดี
แต่อย่าคาดหวังในรสชาติการขับขี่มากเกินไป และเลิกพูดเรื่องพื้นที่บรรทุกและความ
สบายในการโดยสารได้ ส่วน CLA250 AMG Shooting Brake ก็มาในอารมณ์ที่เน้น
ดีไซน์เฉี่ยวเปรี้ยวเปรียวสวย มีวัสดุภายในและความหรูหราที่ก้าวข้าม Levorg ไปได้แน่ๆ
ความแรงจากเครื่องเทอร์โบม้าทะลุ 200 ตัวและแอโร่ไดนามิกส์ชั้นเลิศยิ่งทำให้มัน
เร็วกว่า Levorg 1.6 มากแน่ๆล่ะ แต่เช่นเดียวกันกับ X1 คืออย่าหวังเรื่องความสบาย พื้นที่
และการบรรทุกสัมภาระ มันสู้ Levorg ไม่ได้แน่นอน และราคาก็อยู่ที่ 2 ล้านปลายๆ
Levorg ที่มาถึงไทย ก็จะมาเจอกับคู่แข่งเหล่านี้ล่ะครับ
แต่อีกสิ่งสำคัญที่เรายังไม่ทราบ และยังต้องลุ้นอยู่นั่นก็คือ ราคา!
เพราะขนาดในวันงานที่ไทเป พวกเราสื่อมวลชนชาวไทยทุกคนก็พยายามหาข่าว
เรื่องราคามาให้ผู้อ่านกันแต่ก็ไม่สามารถหาได้ ทาง Motor Image บอกได้แค่เพียงว่า
ในเวลานี้พวกเขายังไม่ตกลงกันว่าจะให้ราคา Levorg อยู่ที่เท่าไหร่ แต่จากการพิจารณา
ข้อมูลและคำตอบของผู้บริหารและคนจากในงาน เราพอสรุปได้ว่า MIT จะนำเข้า Levorg
เพียงรุ่นเดียวคือรุ่น 1.6 GT-S
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผมเริ่มเห็นเค้าลางแล้วว่าราคาของรถต้องทะลุ 2 ล้านแน่ๆ แม้ว่าก่อนหน้านี้
จะมีกระแสในโลกโซเชียลมาแบบเงียบๆว่าราคาจะอยู่แถว 1.7 ล้านบาท ซึ่งเมื่อผม
เล่าให้ท่านผู้บริหารคนหนึ่งฟัง เขาก็ถามผมกลับว่า “ใครบอกเหรอ..มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ
ราคาลงไปขนาดนั้นไม่ได้” ทั้งนี้ก็เพราะผู้บริโภคหวังจะให้ราคาของมันนั้นแพงกว่า
XV ไปไม่มาก..ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ เพราะ XV เป็นรถประกอบที่มาเลย์เซีย
ในขณะที่ Levorg นั้นต้องนำเข้าจากญี่ปุ่น ทำให้อัตราภาษีที่ต้องเสียนั้นสูงกว่ามาก
แล้ว Subaru นั้นก็เป็นแบรนด์ที่มีกลุ่มลูกค้าแปลกเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง เชื่อหรือไม่ว่าท้ายสุด
ลูกค้า Subaru ไม่ได้เรื่องมากเรื่องออพชั่นติดรถเท่าผู้ใช้รถตลาดหรือรถแบรนด์หรูค่ายอื่น
สิ่งที่คนเล่น Subaru อยากได้ คือราคาที่พวกเขาเอื้อมถึง ไม่เช่นนั้นแล้ว XV รุ่นล่างสุด
จะขายดีอย่างนี้หรือต่อให้ Honda เปิดตัว HR-V แล้วก็ตาม ดังนั้นความเห็นผมก็คือ
“ถ้าหาก Subaru นำรุ่น 1.6GT เข้ามาขายด้วย แล้วเราลองมานั่งจัดลำดับออพชั่นกันดูว่า
มีอะไรที่ควรใส่หรือตัดออก แล้วพยายามทำราคาให้อยู่ระดับเดียวกับที่ลูกค้าคาดหวังได้
มันก็อาจจะพอมีทางขายได้อยู่บ้าง”
แต่นี่ก็เป็นแค่ความเห็นเล็กๆที่เกิดจากการสังเกต ไม่ได้ลงไปนั่งสำรวจตัวเลขทำวิจัยแบบ
จริงจัง ดังนั้นจึงไม่ถือเป็นการชี้ผิดหรือถูก ความคิดของผมอาจจะผิดก็ได้ เราจะทราบ
ก็ต่อเมื่อได้ลงมือลองกันจริงๆโดยผู้แบกรับทุนตรงนั้นก็คงจะเป็น Motor Image นั่นล่ะ
พวกเขาให้คำตอบกับกลุ่มสื่อมวลชนไทยว่าไม่ได้คาดหวังให้ Levorg เป็นรถขายดี
แบบที่ XV เป็นอยู่แล้ว มันคือรถที่มาอุดช่องว่างในทางเลือกระหว่าง XV กับ Outback
จริงตามตำแหน่งการตลาด และเรื่องยอดขายนั้น ก็หวังเพียงแค่ 10-15 คันต่อเดือน
นี่คือเป้าที่ผู้บริหารใหญ่ Motor Image กำหนดมาให้
เราก็มาลองดูกันอีกทีเมื่อถึงวันที่ 1 ธันวาคมแล้วกันครับว่างานนี้ Levorg จะเป็นได้แค่
ไม้ประดับในตลาดรถแวก้อนที่นับวันจะขายยากขึ้นยากขึ้นเพราะโดนครอสโอเวอร์
กินส่วนแบ่งตลาดไปทั้งประเทศ แล้วยังมี PPV ยุคใหม่ที่ช่วงล่าง เครื่อง และเกียร์
พัฒนาไปมากอย่างในปัจจุบัน ..หรืออาจจะเป็นคำตอบใหม่ที่ปลุกวงการแวก้อนให้
ฟื้นคืนชีพได้รับความนิยมอีกครั้ง..หรือว่าจริงๆอาจจะมีคนที่กำลังเบื่อกระแส SUV,PPV
และ Crossover อยู่ที่ไหนสักแห่ง..ราคานี่ล่ะคือจุดที่จะบอกว่ารถคันนี้จะได้รับการตอบรับ
ที่ดีมากหรือน้อยแค่ไหน
ที่แน่ๆคือ ถ้าแพงทะลุป้าย 2 ล้านไปมากๆ บางที หนทางในการคืนความสุข
และสมานฉันท์ระหว่างพ่อบ้านซิ่งกับแม่บ้านรักลูก ก็อาจไม่ได้รับการอนุมัติก็เป็นได้
ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
– คุณตวัน คำฤทธิ์ และคุณ Ivan Yap
บริษัท T.C. Subaru จำกัด
สำหรับทริปทดลองขับและการประสานงานดูแลอย่างดีทั้งหมด
และคุณยูถิกา เลิศลักษณา สำหรับการประสานงานเรื่องที่พัก
ตั๋วเครื่องบินและงานเอกสารต่างๆ
Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ยกเว้นบางภาพจากPRESS KIT ของ Subaru
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
18 ตุลาคม 2015
Copyright (c) 2015 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
October 18th,2015
แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! , CLICK HERE!