15 กุมภาพันธ์ 2016
8.30 น.
สนามแข่งรถบุรีรัมย์ เปิดรอต้อนรับพวกเรากันตั้งแต่เช้า ท่ามกลางสภาพอากาศกำลัง
สบายๆ ท้องฟ้าโปร่ง มีแดดจ้า แต่ไม่ถึงกับร้อนอย่างที่คิด เพราะมีลมพัดผ่านมาให้
กระทบผิวกายอยู่บ้าง
ผมต้องนั่งเครื่องบินของ สายการบิน นกแอร์ ตรงจากสนามบินดอนเมือง Terminal 2
ที่เพิ่งตกแต่งใหม่และเปิดใช้บริการได้ไม่นาน ร่วมกับคณะสื่อมวลชนสายรถยนต์ถึง
30 คน จากหลายสำนัก ตรงดิ่งมาลงสนามบินบุรีรัมย์ โดยใช้เวลาบินเพียง 50 นาที
เพื่อมาน้อนค้างที่ โรงแรม Amari Buriram กัน 1 คืน ก่อนเริ่มกิจกรรมในวันรุ่งขึ้น
เครื่องบินใบพัดลำเล็กที่พวกเราโดยสารมา ทะยานขึ้นท้องฟ้า รอดพ้นจากปัญหาการ
ผละงานเพื่อประท้วงไม่ยอมขึ้นบิน ของกลุ่มนักบิน 9-10 คน จนคุณพาที สารสิน
ต้องออกมาแก้ไขสถานการณ์ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อย่างหวุดหวิด
ผมไม่รู้ว่าตอนจบลงเอยอย่างไร แต่ที่แน่ๆ พวกเรายังคงบินกลับมายังสนามบิน
ดอนเมือง ด้วยสายการบิน นกแอร์ ได้เช่นเดิม สิ่งที่เพิ่มเติมก็คือ เวลาที่แอบล่าช้า
Delay จากกำหนดการเดิม ไป 1 ชั่วโมง
ผมแอบลุ้น เพราะเราต้องกลับมาให้ทันเวลา เนื่องจากว่า ผมต้องนั่งเขียนบทความ
ที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้ให้เสร็จ ก่อนเวลา 10 โมงเช้า ของวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2016
อันเป็นกำหนดเวลาที่ Honda ขอความร่วมมือสื่อมวลชน ทั้ง 30 คน ในการปล่อย
ข้อมูลข่าวสาร เรื่องการมาถึงของรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ Honda พาเรามาทดลอง
ขับกันไกลถึงบุรีรัมย์
รถยนต์นั่งรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ ที่ผมเชื่อแน่ว่า เราทุกคน ทั้งใน และนอกวงการ
ยานยนต์ ต่างเฝ้ารอดูความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ ที่น่าจะสร้างความตื่นตาตื่นใจ
ให้กับสาธารณชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สาวก Honda ผู้ที่กรีดเลือดออกมา มีแต่ตัว
อักษร H ปนอยู่ในกระแสโลหิต
อย่างไรก็ตาม ต้องขอหมายเหตุ เพื่อทำความข้าใจกับคุณผู้อ่านกันตรงนี้ก่อน ว่า
การทดลองขับในครั้งนี้ Honda ปล่อยให้เราลองขับกันแค่ คนละ 2 รอบสนามเท่านั้น
อีกทั้งยังขอความร่วมมือกับสื่อมวลชน ว่างดบันทึกภาพ และให้ใช้แต่ภาพถ่ายที่ทาง
ช่างภาพของ Honda เท่านั้น ในบทความนี้ จึงไม่มีรูปของภายในห้องโดยสารแบบเต็มๆ
เลย แม้แต่รูปเดียว ตำแหน่งการถ่ายรูปทุกอย่าง ก็ถูกบล็อกมาทั้งหมด แก้ไขอะไรไม่ได้
ดังนั้น ขอโปรดเข้าใจในข้อจำกัดนี้ด้วย
ใครที่ยังจะมาถามว่า “ไม่มีรูปภายในรถหรือครับ” ก็จะโดนผมสาบแช่งให้
ตาบอดชาติหน้า โทษฐาน ไม่ยอมอ่านก่อนถาม!!
ถ้าเข้าใจตรงกันแล้ว ก็เลื่อนเมาส์ ลากนิ้ว ลงไปอ่านกันเลย!
นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 1972 จนถึงวันนี้ เป็นเวลา
กว่า 43 ปี ที่ Honda Civic ยังคงเป็นหนึ่งในขุนพลสำคัญของ Honda ในการบุก
ตลาดรถยนต์ทั่วโลก เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำรถยนต์นั่ง พิกัด C-Segment มาตลอด
ทั้งในด้านการนำเสนอเทคโนโลยี และคุณค่าใหม่ๆ ให้กับลูกค้า และการรักษา
บุคลิกความสนุกในการขับขี่ ควบคู่ไปกับการเป็น “พลเมืองที่ดี” (Good Citizen)
เหมือนเช่นเจตนารมณ์ในการตั้งชื่อรุ่นว่า Civic
ปัจจุบัน Civic ถูกผลิตออกวางจำหน่ายอยู่ในกว่า 170 ประเทศทั่วโลก เฉพาะ
ตลอดทั้งปี 2013 ทำยอดขายไปถึง 710,000 คัน แบ่งเป็นตลาดอเมริกาเหนือ
47% ที่เหลือ 53% เป็นตลาดอื่นๆ ทั้งในไทย จีน ยุโรป โอเซียเนีย ฯลฯ ถ้าเรา
จะนับตัวเลขกันตั้งแต่ปี 1972 เป็นต้นมา Civic ทำยอดขายสะสมได้เยอะมากถึง
23 ล้านคัน ! กลายเป็นรถยนต์รุ่นที่ทำยอดขายสะสมสูงสุดในตระกูล Honda
มาถึงวันนี้ เจเนอเรชันที่ 10 นี่ ถือเป็นการพลิกโฉมครั้งยิ่งใหญ่ และเกิดความ
เปลี่ยนแปลงมากมายหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่คือครั้งแรกในรอบ
หลายปี ที่ Civic จะกลับมาเป็น One Global Model อีกครั้ง ไม่ถูกแยกพัฒนา
รูปโฉมพิเศษ เพื่อตลาดยุโรป อีกต่อไป เพียงแต่ว่า คราวนี้ ชาวยุโรป จะได้ใช้
ตัวถัง Hatchback ซึ่งมีหน้าตา ครึ่งคันหน้า เหมือนเวอร์ชันอเมริกาเหนือและ
ไทย นั่นเอง
Honda Civic ใหม่ ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังของ Honda Accord G9 รุ่นปัจจุบัน
ภายใต้แนวคิดหลักๆในการพัฒนา 3 ประการ ดังนี้
– Charismatic : ความมีเสน่ห์ดึงดูดใจ จากภายนอกและภายใน
– Soulful : จิตวิญญาณที่เปี่ยมด้วยพลังแห่งการขับเคลื่อน
– Comfortable : ความสะดวกสบายของทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
มิติตัวถังของ Civic ใหม่ ยาว 4,630 มิลลิเมตร กว้าง 1,799 มิลลิเมตร สูง 1,415
มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,700 มิลลิเมตร ความกว้างล้อคู่หน้า / หลัง 1,546
และ 1,562 มิลลิเมตร
เมื่อเปรียบเทียบกับ Civic FB เดิม ซึ่งมีความยาว 4,525 มิลลิเมตร กว้าง 1,755
มิลลิเมตร สูง 1,434 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,670 มิลลิเมตร แล้วจะพบว่า
Civic ใหม่ ยาวขึ้นกว่าเดิม 105 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 50 มิลลิเมตร เตี้ยลง 20
มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาวขึ้น 30 มิลลิเมตร
ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับ Civic FD รุ่นเดิม ซึ่งได้ชื่อว่า เป็น Civic Sedan ที่มีตัวถัง
ใหญ่สุดในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งมีความยาว 4,540 มิลลิเมตร กว้าง 1,750 มิลลิเมตร
สูง 1,435 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ : 2,700 มิลลิเมตร แล้วเห็นได้ชัดเลยว่า Civic
รุ่นใหม่ ยาวขึ้น
เส้นสายภายนอก ยกมาจาก Civic ใหม่เวอร์ชันอเมริกาเหนือ ทั้งคัน รวมไปถึง
กระจังหน้า ไฟหน้า กับไฟท้าย(ไฟหรี่) เป็นแบบ LED เพิ่มไฟกะระยะข้างรถ
บริเวณแก้มเปลือกกันชนหน้า (เวอร์ชันเมริกันจะเป็นสีส้ม แต่เวอร์ชันไทย
จะเป็นสีขาวหลอดไฟสีส้ม
โดยส่วนตัว ผมมองว่า เส้นสายทั้งคัน ผมยอมรับได้ แต่สิ่งที่ผมรู้สึกไม่ชอบ
คือด้านหน้ารถทั้งหมด ในภาพถ่าย ดูไม่สวยอย่างไร คันจริง ยิ่งไม่สวยมากขึ้น
เข้าไปอีก มันเหมือนกับว่า เส้นสายทั้งคัน โฉบเฉี่ยว ดูดีมีสไตล์ แต่กลับมาพัง
ทลาย เพียงเพราะใบหน้าของรถ ที่ดูเหมือน นกถีดทือจับไข้!
รุ่นที่เราทดลองขับ เป็นรุ่น RS ซึ่งเป็นรุ่น Top Model ตกแต่งด้วยอุปกรณ์ที่เพิ่ม
ความแตกต่าง ด้วย กระจังหน้าสีดำ ไฟหน้า LED (แต่ไฟท้ายยังเป็นแบบหลอด
ตามเดิม (-_-‘) ) แต่ยังดีที่ได้ไฟหรี่ แบบ LED Tube มา ไฟเบรกดวงที่ 3 เป็น
หลอด LED เพิ่มสปอยเลอร์แบบปีกหลัง ล้ออัลลอย เป็นขนาด 17 นิ้ว ลาย 5 ก้านคู่
พร้อมยาง Bridgestone Turanza ER33 ขนาด 215/50 R 17 91V
ภายในห้องโดยสาร ยังคงออกแบบขึ้นโดยยึดหลักปรัชญา Man Maximum
Machine Minimum ที่ Honda ใช้มาตลอดหลายสิบปี
การลุก เข้า – ออก ทั้งบานประตูค่หน้า และหลัง กว้างใหญ่ขึ้นใช้ได้ และแทบ
ไม่ต้องกังวลว่า หัวจะโขกกับกรอบหลังคาด้านบน เพียงแต่ว่า อาจต้องระวัง
ในการออกแรงยกตัวลุกขึ้นมายืนนอกรถมากหน่อย รวมทั้ง ขากางเกง อาจจะ
โดนกรอบช่องทางเข้าด้านล่าง เลอะโคลนได้ง่ายขึ้น นิดหน่อย
เบาะนั่งด้านหน้า ฝั่งคนขับ ปรับระดับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง นุ่มและแน่นสบาย
กำลังดี สัมผัสจากแผ่นหลัง คล้ายคลึงกับพนักพิงหลังของ Mazda 3 มากขึ้น
มีปีกข้างที่หนาปานกลาง แน่นและนุ่มกำลังดี เบาะรองนั่ง ยื่นออกมารองรับ
ต้นขา ได้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม
พนักศีรษะ นุ่ม และไม่ดันกบาลผม อยู่ในเกณฑ์สบายพอยอมรับได้ แต่ยัง
ไม่ถึงขั้นสบายสุดๆ ตำแหน่งวางแขนของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า ณ
แผงประตูข้าง อยู่ในระดับกำลังดี เหมาะสม เฉพาะเมื่อคุณปรับเบาะ
ลงไปในตำแหน่งต่ำสุด
เบาะนั่งด้านหลัง เป็นจุดเด่นที่ อยากให้ไปลองนั่งกันครับ นี่เป็นครั้งแรก
ในรอบ 15 ปี ที่ Honda ออกแบบพื้นที่โดยสารด้านหลังได้ดีมากๆ
แม้ว่าหลังคารถจะเตี้ยลงกว่าเดิมเยอะ แต่การกดตำแหน่ง Hip Point และ
จุดศูนย์ถ่วง ให้ต่ำลง รวมทั้งปรับพนักพิงเบาะหลังให้เอนลงไปเยอะ และ
ขยายระยะฐานล้อให้กลับมายาวที่ระดับ 2,700 มิลลิเมตร เหมือน Civic
FD ทำให้นอกจากจะมีพื้นที่เหนือศีรษะ Headroom มากพอที่จะสอดนิ้ว
แทรกเข้าไปได้อีก 3 นิ้ว แม้จะนั่งเต็มก้นเต็มแผ่นหลังแล้ว ยังเพิ่มความ
สบายในการนั่งโดยสาร คล้ายในยามที่คุณกำลังนั่งเอนหลังบน Daybed
ดูโทรทัศน์ ยามบ่ายวันหยุด
พนักพิงหลัง นุ่มในแบบที่คุณคุ้นเคยจาก Accord รุ่น G9 ขณะเดียวกัน
เบาะรองนั่ง นุ่มสบายคล้ายกับโซฟานวม หนังนุ่มๆ ฟองน้ำแน่นติดนุ่ม
ส่วนพื้นที่ วางแขนบนแผงประตูด้านข้าง แม้จะวางในตำแหน่งถูกต้อง
เหมาะสม
แต่ระยะห่างระหว่างลำตัวคนนั่ง กับแผงประตูคู่หลัง ยังค่อนข้างห่างไป
เล็กน้อย ชวนให้นึกถึงระยะห่างของแผงประตูกับลำตัวผู้โดยสารหลัง
ที่นั่งอยู่ใน Lexus NX
พื้นที่วางขา เหลือเยอะมากในระดับน่าตกใจ คุณสามารถนั่งไขว้ห้าง
ได้ โดยยังเหลือระยะห่างจากพนักพิงเบาะหน้าอีกเยอะ!!
ภาพรวมแล้ว เบาะหลัง นั่งสบายขึ้นกว่าเดิมมาก จนเป็น Hi-Light สำคัญ
ของ Civic รุ่นนี้เลยทีเดียว
พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง มีความจุ 530 ลิตร ช่องทางเข้า – ออก กว้าง
แต่ยังมีลักษณะคล้าย ฝาท้ายของ Mazda 3 Sedan รุ่นแรก ปี 2005 คือ
มีช่วงฝากระโปรงหลังสั้น แต่ถ้าเปิดฝาท้ายยกขึ้นมา จะพบว่า พื้นที่ของ
ห้องเก็บของค่อนข้างลึก พื้นเตี้ย และน่าจะรองรับสรีระร่างของผม และ
คนตัวผอมๆอีกสักคน ลงไปนอนเล่นได้พอดีๆ
แผงหน้าปัดนั้นเมื่อเห็นของจริงแล้วจะดูสวยกว่าในภาพ งานออกแบบ
เหมือนกับเอาท่อนบนของแผงหน้าปัด Honda Jazz กับ City รุ่นล่าสุด
มารวมร่างกับ ครึ่งท่อนล่างของแผงหน้าปัด Honda HR-V
นั่นหมายความว่า แผงคอนโซลกลาง ก็จะถูกแบ่ง 2 ชั้น เหมือน HR-V
แม้จะดูเหมือนล้ำยุค แต่เวลาใช้งานจริงค่อนข้างลำบากมาก โดยเฉพาะ
ถ้าคุณต้องการเสียบ USB กับปลั๊กซึ่งติดตั้งอยู่ลึกและไกลจากมือเสียจน
ไม่สามารถขับรถไป แล้วถอดสายชาร์จโทรศัพท์ไปด้วยได้ง่ายแน่ๆ
ชุดมาตรวัด เลิกใช้แบบ 2 ชั้น 2 หน้าจอ ซึ่งเป็นงานออกแบบที่อยู่กับเรา
มาตั้งแต่ Civic FD 2005 แล้วเปลี่ยนกลับมาเป็นแผงมาตรวัดชั้นเดียว
แบ่ง 3 ช่อง มีวงใหญ่ตรงกลางเป็นมาตรวัดรอบ และตัวเลข Digital บอก
บอกความเร็ว เป็นจอสี TFT เรืองแสง มี Animation อลังการให้เห็นตอน
ติดเครื่องยนต์ แต่แสดงตัวเลขค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับหน้าจอ Digital
ของ Mazda หน้าตาของชุดมาตรวัดแบบจอ TFT เรืองแสง เหมือนกันกับ
เวอร์ชั่นอเมริกาเหนือ เพียงแต่ไม่ได้บอกความเร็วและระยะทางเป็นไมล์
เท่านั้นเอง
วัสดุต่างๆที่ใช้ ยังจัดอยู่ในเกรดเดียวกับ Civic FB ตัวเดิม พลาสติกที่ใช้
ก็ให้สัมผัสและความแข็งในระดับที่คล้ายรถรุ่นเดิม แถมส่วนที่เป็นแผงสีเงิน
คาดตรงแดชบอร์ดฝั่งคนนั่งนั้นบางทีเวลาแสงอาทิตย์ส่องลงมา หากถูกมุม
มองเผินๆ จะรู้สึกเหมือนแผ่นทองคำเปลว(สีเงิน) ที่ผู้มีจิตศรัทธาใช้ปิดลง
บนองค์พระพุทธรูปมากๆ
พวงมาลัย เป็นแบบ 3 ก้าน พร้อมสวิตช์ควบคุมชุดเครื่องเสียง Multi Function
บนก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย ส่วนฝั่งขวา จะติดตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
Cruise Control ยกชุดจาก เวอร์ชันอเมริกาเหนือ มีขนาดเล็ก Grip พวงมาลัย
กลับมาอ้วนอูมจับกระชับมือมากขึ้น แบบ Civic FD อีกครั้ง แต่ยังคงมีขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลาง เท่า พวงมาลัยของ Civic FB
น่าเสียดายว่า คันที่เราทดลองขับนั้น สวิตช์เพิ่มหรือลดความดังของเครื่องเสียง
เป็นแบบกดธรรมดา ไม่ใช่แบบที่สามารถใช้นิ้วโป้งสไลด์ขึ้น – ลงได้ อย่างที่พบ
ในเวอร์ชันอเมริกาเหนือ
ส่วนรายละเอียดเรื่องอุปกรณ์ที่ให้มา เท่าที่สามารถพอจะบอกตรงนี้ได้
ก็คงเป็นสเป็คของรุ่นท้อป 1.5 Turbo RS แต่ Option เหล่านี้ จะมีครบ
ในทุกรุ่นย่อยหรือไม่ บางรายการอาจยังยืนยันไม่ได้ ณ ตอนนี้
– ไฟหน้าแบบ Full LED
– ไฟท้ายแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ พร้อมไฟหรี่แบบ LED Tube
– เบาะนั่งคนขับ ปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง
– เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า ปรับด้วยไฟฟ้า 4 ทิศทาง
– ระบบเบรกมือไฟฟ้า
– ระบบ Auto Brake Hold
– ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual Zone แยกควบคุมอิสระ ซ้าย-ขวา
– ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift
– ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
– ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start Button
– ระบบกุญแจอัจฉริยะ Smart Keyless Entry
– ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน Honda Lane Watch
– ระบบติดเครื่องยนต์ พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท Engine Remote Start
– เครื่องเสียงหน้าจอระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 7 นิ้ว Advanced Touch
– เครื่องเสียงรองรับระบบ Apple CarPlay
– ระบบนำทาง Navigation System
– กล้องมองภาพขณะถอยจอด
– ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว VSA (มีทุกรุ่น)
– ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (คู่หน้า – ด้านข้าง – ม่านนิรภัย)
********** รายละเอียดด้านวิศวกรรม **********
เครื่องยนต์ ของ Civic เวอร์ชันไทย จะยังคงมีให้เลือก 2 ระดับความแรง
โดยรุ่นมาตรฐาน ทั้ง 1.8 S และ 1.8 E (ตัวที่คาดว่าน่าจะขายดี) จะยังคง
ยืนหยัดกับขุมพลังดั้งเดิม ที่หลายคนคุ้นเคยกันมาตั้งแต่ Civic FD 2005
นั่นคือเครื่องยนต์รหัส R18A เบนซิน 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 87.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.6 : 1
จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด PGM-FI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC
กำลังสูงสุด 141 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 17.7 กก.-ม.
ที่ 4,300 รอบ/นาที ตามเดิม แต่เปลี่ยนมาพ่วงกับระบบขับเคลื่อนล้อหน้า
ด้วยเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT แทนที่ เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
ลูกเก่า
ส่วนรุ่นแรงสุดนั้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เพราะ Honda เลือก
ถอดเครื่องยนต์ R20 เดิมทิ้ง แล้วแทนที่ด้วยขุมพลังใหม่ล่าสุด L15B7
บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,496 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 73.0 x 89.4
มิลลิเมตร กำลังอัด 10.6 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VTEC (VTC- แปรผัน
โดยหมุนแท่งแคมชาฟท์ ทั้งฝั่งไอดีและฝั่งไอเสีย)
จุดเด่นของขุมพลังบล็อกใหม่นี้คือการติดตั้ง ระบบหัวฉีด Direct Injection
ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตรงสู่ห้องเผาไหม้ เพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในกระบอกสูบ
การออกแบบท่อไอดีแบบตรง เพื่อช่วยให้อากาศกับน้ำมันเชื้อเพลิง ผสมกัน
ได้รวดเร็วขึ้น เพิ่มการเผาไหม้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งการเพิ่มระบบแปรผันวาล์ว VTC (Valve Timing Control) เพื่อควบคุม
จังหวะการเปิด – ปิดวาล์ว ของท่อไอดี และไอเสียให้สอดคล้องประสานกัน
ทั้งในรอบเครื่องยนต์ต่ำ หรือสูง
และที่สำคัญที่สุด คือการติดตั้งเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ Single Scroll รุ่น TD03
ของ Mitsubihi Heavy Industry (MHI) แรงดันบูสต์เวอร์ชันอเมริกาเหนืออยู่ที่
1.15 บาร์ แต่ เวอร์ชันไทย จะลดลงมาเหลือ 1 บาร์ เพื่อให้เหมาะสมกับคุณภาพของ
น้ำมันเชื้อเพลิง ตัวเทอร์โบมีช่องระบายไอเสียส่วนเกิน (เวสต์เกต) คุมด้วยไฟฟ้า
เพื่อนำพลังงานส่วนเกิน กลับมาใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิมธิภาพ ลดอาการ Turbo Lag
หรือ การตอบสนองหลังจากเหยียบคันเร่งช้า ลงไปได้พอสมควร
กำลังสูงสุด แรงสะใจถึง 173 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
220 นิวตันเมตร (22.41 กก.-ม.) 1,700 – 5,500 รอบ/นาที แต่ปล่อยก๊าซ
คาร์บอนไดอ็อกไซด์ ต่ำลงมากเพียง 132 กรัม/กิโลเมตร ผ่านมาตรฐานไอเสีย
Euro IV กระนั้น ยังคงรองรับน้ำมันแก็สโซฮอลล์ แค่ระดับ E20
ตัวเลขดังกล่าวนี้ ต่างจากเวอร์ชันอเมริกาเหนือนิดเดียว โดย Civic 1.5 Turbo
สำหรับตลาดอเมริกาเหนือและแคนาดา จะใช้เครื่องยนต์ L15B7 ที่ให้กำลัง
สูงสุด 174 แรงม้า (PS) แต่รอบแรงม้าสูงสุดนั้นไปเกิดที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุดเท่ากันและมาที่รอบเดียวกัน ใช้เทอร์โบ TD03 เหมือนกัน
(ซึ่งเทอร์โบของ Civic จะมีขนาดใหญ่กว่าเทอร์โบรุ่น TD025 ใน Jade RS)
และเซ็ตบูสท์ไว้ค่อนข้างสูงคือ 1.15 บาร์
Honda ชูจุดขายว่า แรงเท่าเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ใน Accord แต่ ประหยัดเท่า
เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร
ทั้ง 2 เครื่องยนต์ จะส่งกำลังไปยังระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ
อัตราทดแปรผัน CVT แบบมี Torque Converter เป็นเช่นนี้เหมือนกันใน
ทุกประเทศ ยกเว้นตลาด ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งต้องมีการติดตั้ง Oil Cooler ของ
น้ำมันเกียร์ เพิ่มเข้าไปเป็นพิเศษ
ข่าวร้ายคือ Civic ใหม่เวอร์ชั่นไทย จะไม่มีเกียร์ธรรมดาให้เลือกอีกต่อไป….
ท่อไอเสียเป็นแบบ ปลายแยก แต่แอบซ่อนไว้ ด้วยเหตุผลว่า อยากแสดงออก
ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม….(วิศวกรชาวญี่ปุ่น
เขาตอบมาแบบนี้!)
พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS
(Electronic Power Steering) หมุนจากซ้ายสุด – ขวาสุด 2.22 รอบ
ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วน
ด้านหลัง เปลี่ยนมาใช้แบบมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง
ระบบห้ามล้อ เป็น ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ คู่หน้า มีรูระบายความร้อน ขนาดเส้นผ่า
ศูนย์กลาง 282 มิลลิเมตร จานเบรกหลังเป็นแบบธรรมดา เส้นผ่าศูนย์กลาง 262
มิลลิเมตร เสริมด้วย ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System)
ระบบปรับแรงดันน้ำมันเบรก ตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronic Brake
Force Distributor) รวมทั้ง ระบบควบคุมเสถียรภาพ VSA (Vehicle Stability
Assist) ที่ติดตั้งมาให้ ครบทุกรุ่นย่อย! ตั้งแต่ตัวถูกสุด 1.8 S
********** การทดลองขับ **********
แม้สนามแข่งรถบุรีรัมย์ จะมีความยาว 4.554 กิโลเมตร แต่ด้วยเวลาอันจำกัด
และปริมาณของสื่อมวลชนที่จะทดลองขับ มากถึง 30 คน ทำให้แต่ละคนจะ
ได้ทดลองขับ คนละเพียง 2 รอบสนาม หรือแค่ราวๆ 7 นาที ซึ่งค่อนข้างยาก
ในการใช้เวลาเพียงแค่นั้น จับทุกอาการของรถทั้งหมดทุกอย่าง จึงขอเลือก
มาเป็นเพียงบางประเด็น ที่หลายคนสนใจ….
***** แรงป่าวววว ? แรงแค่ไหน? แรงแซงชาวบ้านเขาไหม? *****
การจับเวลาสั้นๆ เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ระหว่างออกตัว และในระหว่างการขับ
บนทางตรงของสนาม ผมนั่งขับคนเดียว จับเวลาเองคนเดียว อุณหภูมิที่สนาม
ตอน 10.40 น. อยู่ที่ 32 องศา เซลเซียส
อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ 9.11 วินาที
อัตราเร่ง 80 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ 6.77 วินาที
ขอย้ำอีกทีว่า นี่คือตัวเลขในสภาพอากาศร้อน ซึ่งไม่ได้ทดลองจับอัตราเร่งใน
เวลากลางคืน อุณหภูมิแถวๆ 22 – 30 องศาเซลเซียส คาดว่า ถ้านำมาทดลองขับ
แล้วจับเวลาตามมาตรฐานของเว็บ Headlightmag.com เรา น่าจะทำตัวเลขได้
ไวยิ่งขึ้นกว่านี้อีกนิดหน่อย อาจได้เห็น 8 วินาที ปลายๆ เลยทีเดียว
ในการขับขี่จริง อัตราเร่ง ทำได้ดีตามความคาดหมาย ชัดเจนว่า Civic 1.5 VTEC
Turbo แรงขึ้นกว่า Civic 2.0 ลิตร ทั้งรุ่น FD ปี 2005 และ FB ปี 2012 อย่างชัดเจน
(รุ่น FB อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ทำได้ 10.38 วินาที
อัตราเร่ง 80 – 120 กิโลเมตร / ชั่วโมง ทำได้ 7.45 วินาที)
จังหวะออกตัว ทำได้กระฉับกระเฉงกว่า Honda Jade RS ขุมพลังเดียวกัน แต่เซ็ต
มาแค่ 156 แรงม้า (PS) ที่ผมเคยทดลองขับในประเทศญี่ปุ่น อย่างเห็นได้ชัด แต่
บุคลิกในช่วงเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ถึงแม้จะมาในสไตล์เดียวกัน
กับ Jade RS ไม่มีผิด ทว่าเรี่ยวแรงที่มีมาให้ มันแรงขึ้นจาก Jade RS นิดหน่อย
ถ้าเปรียบเทียบกับตัวแรงที่สุดในตลาดตอนนี้ละก็ ยืนยันได้เลยครับว่า Civic ใหม่
ยังคงแรงไม่เท่า Nissan Sylphy Turbo ถ้าหากวิ่งลอยลำอยู่แล้วกดคันเร่งพร้อมกัน
แต่คิดว่า ถ้าหากออกตัวแบบตีคู่กันจากจุดหยุดนิ่ง อาจมีบางจังหวะที่ Civic สามารถ
เกาะ Sylphy Turbo ได้ เพราะในจังหวะออกตัวนั้นเกียร์ของ Civic จะจับและปล่อย
พลังเครื่องยนต์เต็มๆได้เร็วกว่าอยู่นิดหน่อย หรือไม่แน่อาจจะเอาสีข้างมาทาบกัน
ได้สักพักเลยก็ได้
***** เกียร์ CVT ทำงานเป็นอย่างไรบ้าง กับขุมพลัง VTEC Turbo ?*****
การตอบสนองของเกียร์ CVT นั้น ในโหมด D ยังคงลากขึ้นไปคาไว้ที่รอบสูงสุด
แบบเดียวกับรถยนต์ที่ใช้เกียร์ CVT อื่นๆ แต่ในกรณีที่เข้าเกียร์ S (Sport Mode)
จะมีอาการรอบถอยกลับแล้วไล่ขึ้นใหม่ พร้อมทั้งมีแรงกระชากมากขึ้นเล็กน้อย แต่
ถ้าจะลากรอบให้ได้สูงสุด ก็ต้องเล่นเกียร์เองโดยใช้แป้น Paddle Shift ซึ่งทำงาน
ได้ไวดี แต่ถ้าหากตบลดจังหวะเกียร์ 2 ครั้งติดกัน จะมีการตอบสนองช้าลง
กว่าปกติเล็กน้อย
***** พวงมาลัย และช่วงล่าง ขับดีขึ้นกว่าเดิมไหม? สู้คู่แข่งได้เปล่า ? *****
ประเด็นนี้ สาวก Honda ทั้งหลาย สนใจกันมาก เพราะอยากให้ Civic ใหม่
มีการบังคับควบคุม (Handling) ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อเอาไว้คุยโอ้อวดทับกับ
พวกเพื่อนฝูงที่ใช้รถเก๋งช่วงล่างดีๆ อย่าง Mazda 3 กับ Ford Focus ซะที
คราวนี้ น่าจะสมใจอยากกันนะครับ
พวงมาลัยเซ็ตมาให้มีน้ำหนักและความหนืด เพิ่มมากขึ้นกว่า Civic FB เดิม
ชัดเจน แอบหนืดกว่า เลี้ยวได้แม่นยำ มั่นใจได้ ตามสั่ง ทดมาค่อนข้างไวใน
ระดับเดียวกับ Mazda 2 และ CX-3 ผมมองว่า ไม่ต้องแก้ไขปรับปรุงแล้วนะ
แบบนี้แหละ ดีแล้ว จบลงตัวมากๆ
การทรงตัวในย่านความเร็วสูง ไม่เกิน 165 กิโลเมตร/ชั่วโมง นิ่งและมั่นใจได้
มากขึ้นกว่าเดิมชัดเจน ในสภาพที่ไม่มีกระแสลมปะทะด้านข้าง ตัวรถยังไม่มี
อาการวูบวาบใดๆให้หวาดเสียวเล่นทั้งสิ้น
การเปลี่ยนเลนกระทันหันที่ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง พบว่า อาการบั้นท้าย
สะบัดลดลงไปอย่างมาก ทั้งจากการออกแบบโครงสร้างตัวถังให้มีความแน่นหนา
มากขึ้น และการทำงานของระบบควบคุมเสถียรภาพ VSA ที่ฉับไวยิ่งขึ้น
อาการของตัวรถในขณะเข้าโค้ง ดีขึ้นกว่า Civic FB ชัดเจนมากๆ บุคลิกเริ่มเข้าไป
ใกล้เคียงกับ Mazda 3 มากขึ้น ดีกว่าคู่แข่งทั้ง Nissan Sylphy Turbo และ Toyota
Corolla Altis ESport ขึ้นไปเกาะกลุ่มกับพวก C-Segment ช่วงล่างดีๆ ทั้ง Ford
Focus, Chevrolet Cruze, Mazda 3 แต่จะคล่องแคล่วกว่า Mitsubishi Lancer EX
ระบบเบรก ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด น้ำหนักแป้นเบรก ดีมาก การถ่ายน้ำหนัก
มาทางด้านหน้ารถ ทำได้ดี หน่วงความเร็วดีขึ้น แม่นยำขึ้น เบรกได้ตามสั่งมากขึ้น
แต่ถ้าเบรกร้อนจัดๆ ก็ยังแอบมีอาการเบรกสั่น ให้ได้พบเห็นอยู่นิดๆ มันไว้ใจได้ใน
ระดับหนึ่ง แต่ถ้าถามว่าเบรกดีกว่า Mazda 3 หรือไม่? ตอบได้เลยว่าจุดนี้ยังไม่ชนะ
Mazda 3 ทั้งในเรื่องการหน่วงความเร็ว และความสามารถในการต้านอาการ Fade
ของผ้าเบรก
ในเรื่องสมรรถนะ ผมสามารถตอบแบบรวบรัดเลยก็ได้ว่า ถ้าว่ากันเรื่องความแรงทางตรง
Sylphy Turbo ชนะ Civic Turbo และ Civic Turbo ชนะ Mazda 3 แต่ถ้าเป็นเรื่องของ
การบังคับควบคุม และความสนุกเวลาขับ..Mazda 3 จะมาที่ 1 ตามด้วย Civic Turbo
แล้ว Sylphy Turbo รั้งท้าย โดยที่ Civic Turbo นั้นจะใกล้เคียงไปทาง Mazda 3 มากๆ
สิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่..ก็คือการทดสอบ Civic บนถนนจริงที่มีสันมีเนิน มีความขรุขระ
ว่าช่วงล่างจะสามารถซับแรงสะเทือนได้ดีเพียงใด การขับบนสนามบุรีรัมย์ช่วยให้
เราตอบคำถามเรื่องการวิ่งบนแทร็คผิวเรียบๆได้ในเบื้องต้นเท่านั้น
********** สรุป (เบื้องต้น) **********
Civic ประกอบไทย ที่ขับดีสุด เท่าที่พวกเขาเคยผลิตมา
แต่ไหนแต่ไรมา เมื่อใดที่เอ่ยชื่อ Civic ถ้าเป็นกลุ่มลูกค้าหญิงสาว วัยทำงานตามออฟฟิศ
ก็จะนึกถึง รถยนต์คันใหม่รุ่นใหญ่กว่า Honda Jazz คันเก่าของนาง ที่บ่งบอกได้ว่านาง
เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งจากความสามารถและหยาดเหงื่อแรงกาย
หากไปถามกลุ่มวัยรุ่นตามมหาวิทยาลัย ว่าถ้าจะต้องซื้อรถมาแต่งแล้วขับไปเรียนสักคัน
แต่นึกไม่ออกว่าจะซื้อรถรุ่นใด เชื่อชนมกินได้เลยว่า เกือบจะร้อยทั้งร้อย ต้องมี Civic
ผุดเข้ามาในหัวบ้างแหละ
แต่ในวันนี้ Honda กำลังพยายามเปลี่ยนบุคลิกของ Civic ในแบบเดิมๆที่เราคุ้นเคย ใน
ฐานะแค่พลเมืองบ้านๆ น่าคบหา กลายมาเป็น ชายหนุ่มอายุ 32 ร่างสูงผอม แต่ท่าทาง
อกผายไหล่ผึ่ง จบการศึกษาในระดับปริญญาโท มีความมั่นใจกลับคืนมา หลังจากผ่าน
ประสบการณ์เลวร้ายในชีวิต จนเริ่มคิดได้ ตั้งตัวได้ และเริ่มตามใจตัวเองมากขึ้น เริ่ม
มีความสุขกับชีวิตโสด ที่พาพ่อแม่พี่น้องไปทานข้าว เพียบไปด้วย Gadget รอบตัว ใช้
iPhone หนีบ iPad ใส่ Apple Watch แต่เลือกใช้ชีวิตแค่กับเพื่อนฝูงไม่กี่คน ก็เพียงพอ
Civic ใหม่ แสดงให้เราได้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้น จากการเรียนรู้และเข้าใจความต้องการ
ของกลุ่มลูกค้า Generation Y รวมทั้งการยกระดับมาตรฐานการขับขี่ ให้ดียิ่งขึ้นกว่า Civic
ทุกรุ่นที่เคยถูกผลิตขายในประเทศไทย แน่ละว่า มันไม่อาจเทียบเคียงได้กับ Civic Type R
ซึ่งเป็นเวอร์ชันร้อนแรงและดิบเถื่อนกว่า Civic ทั่วไป แต่ทุกๆวินาทีที่ผมกำลังขับ Civic ใหม่
ในสนามบุรีรัมย์ ผมประหลาดใจกับตัวเองไปตลอดทาง เพราะไม่เคยคิดว่า Honda จะตั้งใจ
ปรับปรุงรถยนต์ของตน โดยเฉพาะในด้านการบังคับควบคุม และสมรรถนะการขับขี่ ให้กับ
Civic ได้ดีขึ้นมากถึงเพียงนี้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม เวลาแค่ 7 นาที กับ 2 รอบสนามแข่งรถบุรีรัมย์ ยังไงๆ มันก็ยังไม่พอที่จะ
ทำความรู้จักกับ Civic ใหม่ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เราอาจยังต้องรอแค่เวลา ที่จะได้ยืม
Civic ใหม่ เวอร์ชันจำหน่ายจริง ทั้งรุ่น 1.8 ลิตร และ 1.5 ลิตร VTEC Turbo มาจับเวลา
หาอัตราเร่ง และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย หลังจากนี้
เมื่อถึงเวลานั้น เราคงจะได้รู้กันละว่า ความรู้สึกแรกของผมต่อ Civic ใหม่ ในวันนี้
มันเป็นแค่ภาพมายา หรือว่าเป็นเรื่องจริง ที่ผมไม่ได้คิดไปเอง?
————————————–///————————————
ขอขอบคุณ / Special Thanks
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Honda Automobile (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อการเดินทางในครั้งนี้
——————————–
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของ
ช่างภาพจาก Honda Automobile (Thailand)
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
16 กุมภาันธ์ 2016
Copyright (c) 2016 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
Febuary 16th,2016
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!