L.A. ไม่ใช่ ร้อยเอ็ด อย่างที่ใครๆเขามักเล่นเป็นมุขขำขัน แต่ผมกำลังหมายถึง Los Angeles สหรัฐอเมริกา…
ครับ สหรัฐอเมริกา…ประเทศที่ผมสารภาพตามตรงเลยว่า ไม่ค่อยอยากจะไปเท่าไหร่ หลังจากที่เพิ่งกลับมาจากทริปทดลองขับ BMW X5 Gen.4 ที่ Atlanta มาเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว การเดินทางอันยาวนานข้ามวัน ข้ามคืน ใช้ชีวิตอยู่บนเครื่องบิน ห้อยโตงเตงอยู่กลางอากาศ เหนือน่านฟ้า และมหาสมุทร Pacific แถมกลับมาก็ยังเจอ อาการร่างกาย สับสนต่อการปรับตัวตามเวลาในแต่ละซีกโลกที่แตกต่างกัน หรือ Jet Lag ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ต่อเนื่องกันเป็นสัปดาห์ แทบจะทำงานทำการไม่ได้ไปหลายวันเลยทีเดียว
ทว่า คราวนี้ ยังไงๆ ก็คงต้องยอมมาครับ เพราะ Honda Automobile (Thailand) และ American Honda Motor Inc. ชวนให้ผมไปลองขับ ผลผลิตรุ่นใหม่ล่าสุดของพวกเขากันถึงถิ่นกำเนิดอย่าง California ร่วมกับสื่อมวลชนรายสำคัญๆรวม 10 ราย
ผมก็เลยต้องยอมปวดเศียรเวียนเกล้ากับการยื่นเรื่องขอ VISA กับทางสถานฑูตอเมริกาประจำประเทศไทย ถึงขั้นต้องให้ทางผู้เกี่ยวข้อง ไปทำเรื่องยกเลิก VISA เดิม จากทริปก่อนหน้านี้ เนื่องจาก ครั้งนั้น เจ้าหน้าที่สถานฑูต เล่นประทับข้อความไว้บน VISA เลยว่า “Headlight Magazine : BMW X5 Press Test Drive Event in Atlanta”…ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมาก หากไม่ยื่นขอ VISA ใหม่ เพราะคุณอาจเสี่ยงต่อการปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ ของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ถึงขั้นโดนส่งตัวกลับได้เลยเดี๋ยวนั้น!
นี่ยังไม่นับกับปัญหาการลงทะเบียนบัตรเข้ามงาน CES 2019 ที่ Las Vegas ในฐานะสื่อมวลชน ซึ่งมีโปรแกรมอยู่ในทริปนี้ด้วย ถึงขั้นที่ว่า ในวันเข้าชมงาน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการจัดงานดังกล่าว เจ้าหน้าที่ของผู้จัดงานก็ยังไม่ยอมอนุมัติให้ผมเข้างานได้สักทีกระนั้น ทุกสิ่งก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ด้วยความช่วยเหลือ ของ คุณหนิง เจ้าหน้าที่ฑูตพาณิชย์ จากสถานฑูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย รวมทั้งพี่ปิ๊ก ชลัทชัย ปภัสร์พงษ์ จาก นิตยสาร ฟอร์มูลา (Motor Expo) ซึ่งต้องขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
เดี๋ยวก่อนนะ…. Honda เป็นรถญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม ถึงต้องบินไปขับกันไกลถึงอเมริกา ไหงไม่ไปลองขับกันที่ญี่ปุ่นละ?
งง ใช่มะ?
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ
ตามปกติในอดีตที่ผ่านมา การพัฒนารถยนต์ของ Honda แทบทุกรุ่น ตั้งแต่ Civic Accord Prelude ฯลฯ นั้น เป็นหน้าที่ของ บริษัท Honda R&D จำกัด ในประเทศญี่ปุ่น (ในทศวรรษ 1960 Honda เป็นบริษัทรถยนต์แห่งเดียวในญี่ปุ่น ที่แยกหน่วยงาน R&D ออกมาตั้งเป็นบริษัทเอกเทศต่างหาก ก่อนที่หลายๆค่าย จะเริ่มทะยอยทำตามกันในเวลาต่อมา)
อย่างไรก็ตาม เมื่อโลกเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ตลาดรถยนต์ในแต่ละภูมิภาคก็เริ่มต้องการรถยนต์ ที่ไม่เหมือนกัน Honda ก็เริ่มเปิดโอกาสให้ ศูนย์วิจัยและพัฒนา R&D ในต่างประเทศ ที่ Honda ไปลงทุนก่อตั้งเอาไว้ ทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป เมืองไทย และจีน เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนารถยนต์ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละท้องถิ่นมากขึ้น
หลังจากปี 2010 เป็นต้นมา Honda เริ่มมองเห็นว่า ยอดขายของ Civic และ Accord ส่วนใหญ่ มาจากตลาดอเมริกาเหนือ อันประกอบไปด้วย สหรัฐอเมริกา และ แคนาดา ดังนั้น พวกเขาเลยมองเห็นว่า น่าจะเปิดโอกาสให้ ศูนย์ Honda Research Californiaก้าวเข้ามามีส่วนร่วม ในโครงการพัฒนารถยนต์รุ่น Civic และ Accord รุ่นใหม่ๆ แทน แต่ยังอยู่ภายใต้การดูแลของหัวหน้าวิศวกรชาวญี่ปุ่น เช่นเดิม เพื่อหวังจะสร้างให้ รถยนต์ทั่ง 2 รุ่น โดนใจลูกค้าชาวอเมริกันมากขึ้น
ในเมื่อ ณ วันนี้ ดูเหมือนว่า ทา Honda R&D ญี่ปุ่น ยังไม่พร้อม/ หรือยังไม่มี Accord ใหม่ ในสภาพพร้อมที่จะให้คณะสื่อมวลชนไทยได้ทดลองขับกัน ดังนั้น สหรัฐอเมริกา ดูจะเป็นประเทศ ที่เหมาะสมมากสุดในการจัดทริปครั้งนี้ ก็คงหนีไม่พ้นสหรัฐอเมริกา ประเทศซึ่งเป็นหนึ่งในแม่งานหลักของโครงการพัฒนา Accord ใหม่ Generation ที่ 10 นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราต้องบินมาทดลองขับกันถึง Los Angeles ในคราวนี้ นั่นเอง!
ทริปนี้ เริ่มต้นจากเครื่องบิน Boeing 777 300ER ของสายการบิน EVA Air เที่ยวบินที่ BR076 จากสนามบินสุวรรณภูมิ ใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง ไปลง ณ สนามบิน Tao Yuan ที่กรุง Taipei ใน Taiwan เพื่อเปลี่ยนเครื่องบิน เป็นแบบเดียวกัน สายการบินเดียวกัน เที่ยวบินที่ BR028 ใช้เวลา 11 ชั่วโมง ตรงสู่สนามบิน San Francisco สหรัฐอเมริกา เราพักกันที่ โรงแรม Hillton San Francisci Airport Bayfront กัน 1 คืน แวะเที่ยวชมบรรยากาศในตัวเมือง ก่อนเดินทางกลับไปที่สนามบินเดิม ตอนบ่าย 2 โมง เพื่อขึ้นเครื่องบิน ของสายการบิน United Airline เที่ยวบินที่ UA943 ใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ไปถึงสนามบิน Las Vegas เดินทางเข้าพักที่โรงแรม Planet Hollywood Resort & Casino
วันรุ่งขึ้น 11 มกราคม 2019 ทาง Honda พาพวกเราไปยัง Las Vegas Convention Center เข้างานแสดงสินค้าอีเล็กโทรนิคส์ และเทคโนโลยี ระดับโลก อย่าง CES (Consumer Electric Show) 2019 ซึ่งเป็นงานที่รวบรวมแบรนด์สินค้าอีเล็กโทรนิคส์ชั้นนำ ครอบคลุมหลายสาขา ตั้งแต่เรื่องใช้ในบ้าน ความงาม สุขภาพ ไปจนถังด้านยานยนต์และการขนส่ง เพื่อชมนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ทาง Honda เขาภูมิใจนำเสนอ
เราพักค้างคืนกันที่ Las Vegas ต่ออีก 2 คืน ก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินของ สายการบิน United Airlines เที่ยวบินที่ UA1808 ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 20 นาที มาถึงสนามบิน Los Angeles เข้าพักที่โรงแรม Loews Hollywood Hotel ก่อนที่จะร่วมกิจกรรมทดลองขับ Honda Accord ใหม่ ในวันที่ 14 มกราคม 2019 เต็มๆทั้งวัน ที่ Terranea Resort ใน Torrence California แล้วนอนค้างที่โรงแรมเดิมอีก 1 คืน ก่อนจะพาชมเมือง Los Angeles แล้วบินกลับประเทศไทยในคืนวันที่ 15 มกราคม 2019 ด้วยเครื่องบิน Boeing 777-300 ER สายการบิน EVA Air ตามเดิม เที่ยวบินที่ BR015 ใช้เวลาบินทวนลม นานถึง 14 ชั่วโมง 35 นาที แวะมาเปลี่ยนเครื่องบินเป็น เที่ยวบิน BR 075 ที่สนามบิน Tao Yuan อีกครั้ง ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 55 นาที จึงจะกลับถึงกรุงเทพมหานคร
ทั้งหมดข้างบนนั้น เป็นรายละเอียดการเดินทาง ตลอดทั้งทริป ซึ่งผมว่า คุณคงไม่สนใจใคร่รู้เท่าไหร่หรอกว่า ผมไปทำอะไรมาบ้าง เพราะจุดประสงค์ที่คุณ คลิกเข้ามาอ่านบทความนี้ ก็เพราะอยากรู้ว่า Honda Accord ใหม่ ที่กำลังจะเปิดตัวในเมืองไทย ภายในช่วง 1 เดือนนับจากนี้ จะมีจุดเด่นประการใดบ้าง มีการแก้ไขปรับปรุงคุณภาพการขับขี่ จากรุ่นเดิมมากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญ คำพูดที่เราได้ยินมาว่า Accord ใหม่ จะยิ่ง “นุ่มขึ้นไปอีก” จะเป็นจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม คงต้องขอทำความเข้าใจไว้ตรงนี้กันเสียก่อนว่า รถยนต์ที่เราทดลองขับนั้น เป็นเวอร์ชันอเมริกาเหนือ ที่จำหน่ายในเขตมลรัฐ California สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการปรับจูนด้านมลพิษให้สอดคล้องกับกฎหมายท้องถิ่นของรัฐ รวมทั้งยังมีรายละเอียดการตกแต่ง และอุปกรณ์มาตรฐาน ไปจนถึงตัวเลขสมรรถะ ของเครื่องยนต์ ทั้งแรงม้า และแรงบิด ที่อาจแตกต่างจาก เวอร์ชันไทย อยู่บ้าง เล็กน้อย
ดังนั้น บทความนี้ จึงเป็นเพียงแค่ Guide Line คร่าวๆ ให้คุณผู้อ่านได้พอเห็นภาพว่า Honda Accord Gen.10 เวอร์ชันไทย น่าจะมีบุคลิกการขับขี่ในภาพรวม เป็นไปในทิศทางไหน เท่านั้น รายละเอียดต่างๆ ของเวอร์ชันไทย คงต้องรอกันอีกครั้ง หลังการเปิดตัวในบ้านเรา ซึ่งจะเกิดขึ้น ภายในช่วง ไม่เกินเดือนมีนาคม 2019 นี้
ส่วนภาพประกอบบทความคราวนี้ เนื่องจากวันที่เราทดลองขับกัน (เมื่อวานนี้) ฝนตกในเขต Los Angeles ตลอดทั้งวัน ชนิดที่คนท้องถิ่นพากันบอกว่า ปกติแล้ว ที่นี่ ฝนตกแค่ปีละ 2 สัปดาห์ แต่พวกเราก็ดันมาเยือนในจังหวะเจอฝนพอดี ดังนั้น ก่อนหน้านี้ 1 วัน ทาง Honda เลยให้คุณ David ช่างภาพ ซึ่งทาง American Honda Motor Inc. ใช้บริการในการถ่ายภาพนิ่งและ Video Footage สำหรับแจกให้สื่อมวลชนอยู่แล้ว ดังนั้น เราจึงเลือกใช้รูปจาก Dave เป็นการทดแทน
อ่านมาถึงตรงนี้ อยากรู้แล้วใช่ไหมครับว่า Accord ใหม่ สมค่าแก่การรอคอยหรือไม่?
คำตอบ…อยู่ข้างล่างนี้แล้ว…เลื่อนลงไปอ่านกันเลย!
Honda Accord ถือกำเนิดครั้งแรก ที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 1976 ในฐานะ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลระดับกลาง ซึ่งมีขนาดใหญ่โตขึ้นจาก Honda Civic เพื่อหวังจะขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มที่ต้องการรถยนต์นั่งขนาดใหญ่กว่า Civic โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งกลายเป็นตลาดหลักสำคัญของรถยนต์รุ่นนี้ ถึงขั้นทำให้ Honda มองเห็นอนาคต ตัดสินใจลงทุนสร้างโรงงาน ในเมือง Marysville มลรัฐ Ohio เพื่อผลิตและประกอบ Accord ออกขายในทวีปอเมริกาเหนือ รถคันแรก ติดป้ายทะเบียน USA 001 อกจากสายการผลิตเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 1982 และได้กลายเป็น รถยนต์สัญชาติอื่น (ที่ไม่ใช่อเมริกัน) และรถยนต์ญี่ปุ่นคันแรกในประวัติศาสตร์ ที่ถูกผลิตขึ้น บนแผ่นดินสหรัฐอเมริกา
ตลอดระยะเวลา 43 ปี ที่อยู่ในตลาด Accord ทำยอดขายสะสมทั่วโลก ได้มากถึง 12.7 ล้านคัน (นับถึงปี 2016) และเป็นหนึ่งในรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ที่ขายดีที่สุดตลอดกาลของสหรัฐอเมริกา และคว้ารางวัลเกียรติยศจากหลากหลายสถาบันชั้นนำด้านยานยนต์ ทั่วโลก มานักต่อนักจนนับกันไม่หวาดไหว และเมื่อ 20 มีนาคม 2014 Accord รุ่นที่ 9 ได้กลายเป็น รถยนต์ Honda คันที่ 20 ล้าน ซึ่งถูกผลิตในโรงงานที่สหรัฐอเมริกา
Accord รุ่นล่าสุดที่คุณเห็นอยู่นี้ ถือเป็นรุ่นที่ 10 เผยโฉมสู่สายตาสาธารณชนครั้งแรก เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2017 โดยในสหรัฐอเมริกา Accord ใหม่ยังคงถูกผลิตขึ้นที่โรงงาน Marysville Auto Plant มลรัฐ Ohio ซึ่งเป็นโรงงานดั้งเดิม ที่ผลิต Accord มาต้ังแต่ปี 1982 สายการผลิตของ Accord ใหม่ เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2017 และเริ่มต้นการส่งมอบให้กับลูกค้าชาวอเมริกัน เป็นแห่งแรก เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2017
แม้ในอดีต Accord เวอร์ชันอเมริกา และตลาดโลก จะมีให้เลือกทั้งตัวถัง Sedan 4 ประตู , Station Wagon 5 ประตู และ Coupe 2 ประตู ทว่าความนิยม ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ Honda จำเป็นต้องตัดตัวถังที่ทำยอดขายได้น้อย และไม่คุ้มที่จะพัฒนารุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ต่อไป ออกอย่างน่าเสียดาย
ตัวถัง Station Wagon 5 ประตู เป็นแบบแรกที่โดนตัดออกจากตลาดอเมริกาเหนือ เมื่อปี 1997 ส่วนตลาดญี่ปุ่น กับยุโรป ยกเลิกไปเมื่อปี 2007 สำหรับตัวถัง Coupe 2 ประตู หลังจากยอดขายของ รุ่น Coupe เริ่มลดลงมาเรื่อยๆ เนื่องจากความต้องการหดตัวลง และลูกค้าที่จะซื้อรถยนต์ 2 ประตู ต่างยอมอัพเกรดงบ ขึ้นไปอุดหนุน รถยนต์ Coupe จาก บรรดา Premium Brand ค่ายยุโรปกันไปเลยมากกว่า ทำให้ Honda ตัดสินใจ ยุติบทบาท ของ Accord ตัวถัง Coupe ไว้เพียงรุ่นที่แล้ว (Gen.9) เท่านั้น และถูกยกเลิกการผลิตไปในปี 2017 คงเหลือไว้แต่เพียงตัวถัง Sedan 4 ประตู เพียงแบบเดียว
Accord ใหม่ Gen. 10 มีขนาดตัวถังยาว 4,920 มิลลิเมตร กว้าง 1,860 มิลลิเมตร สูง 1,450 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,830 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า รุ่นมาตรฐาน 1,600 มิลลิเมตร รุ่น Sport กับ Touring 1,590 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หลัง รุ่นมาตรฐาน 1,602 มิลลิเมตร รุ่น Sport กับ Touring 1,602 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวเปล่า 1,431 – 1,555 กิโลกรัม ตามแต่ละรุ่นย่อย
เมื่อเปรียบเทียบกับ Accord Gen.9 รุ่นปัจจุบัน ซึ่งมีความยาว 4,930 มิลลิเมตร กว้าง 1,850 มิลลิเมตร สูง 1,465 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,775 มิลลิเมตร จะพบว่า Accord ใหม่ มีตัวถังสั้นลงกว่าเดิม 10 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 10 มิลลิเมตร เตี้ยลง 15 มิลลิเมตร แต่มีระยะฐานล้อยาวขึ้นถึง 55 มิลลิเมตร
เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่าง Toyota Camry ใหม่ ซึ่งมีขนาดตัวถังยาว 4,885 มิลลิเมตร กว้าง 1,840 มิลลิเมตร สูง 1,445 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,825 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า 1,590 มิลลิเมตร ช่วงล้อคู่หลัง 1,595 มิลลิเมตร จะพบว่า Accord ใหม่ ยาวกว่า Camry 35 มิลลิเมตร กว้างกว่า Camry 20 มิลลิเมตร สูงกว่า Camry 5 มิลลิเมตร แต่มีระยะฐานล้อสั้นกว่า Camry 5 มิลลิเมตร มีความกว้างช่วงล้อคู่หน้า กว้างกว่า 10 มิลลิเมตร ส่วนความกว้างช่วงล้อคู่หลัง กว้างกว่า 7 มิลลิเมตร
American Honda Motor Inc. จัด Accord ใหม่ มาให้เราทดลองขับกัน 2 คัน คือ รุ่น 1.5 ลิตร Turbo สีแดง และรุ่น 2.0 ลิตร Sport Hybrid สีเทาดำ Modern Steel ซึ่งได้รับการยืนยันแล้วว่า จะเป็น 2 ขุมพลัง ที่จะถูกนำเข้ามาประกอบและจำหน่ายในประเทศไทย
Accord Gen.10 ใหม่ ได้รับการออกแบบ ภายใต้แนวคิดหลัก “Absolute Confidence” โดยแนวทางการพัฒนา 3 ประการ ได้แก่
1) Dynamics – ความปราดเปรียว โฉบเฉี่ยว ทั้งในด้านดีไซน์ และสมรรถนะการขับขี่
2) Captivating – ความมีเสน่ห์และน่าดึงดูดของรถยนต์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีอันล้ำสมัย
3) Upscale – ยกระดับ การพัฒนาตัวรถให้เปี่ยมด้วยคุณภาพ และความสง่างาม เหนือเกินระดับของมัน
รูปลักษณ์ภายนอก พลิกโฉมไปจาก Accord ทุกรุ่นที่เคยมีจำหน่ายในเมืองไทย ในอดีตที่ผ่านมา อย่างชัดเจน ด้วยเส้นสายที่เรียบง่าย แต่ใช้เส้นสายด้านข้างที่เฉียบคม มาเสริมให้ตัวรถดูปราดเปรียว เพิมบุคลิกความสปอร์ตเข้าไปอีกนิดหน่อย ไม่เพียงเท่านั้น Accord รุ่นนี้ ยังใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ที่เรียกว่า Laser Blaze ในการออกแบบตัวถัง เพื่อลดรอยต่อบริเวณหลังคารถและตัวถัง อีกด้วย
Tetsuji Morikawa หัวหน้าโครงการผู้รับผิดชอบดูแลงานออกแบบภายนอก Exterior Design : Honda Accord Gen10 เล่าว่า “ในช่วงแรกเริ่มของการพัฒนา Accord ใหม่ ผมพยายามอย่างหนักที่จะยกระดับคุณภาพของพื้นผิววัสดุ โดยอาศัย “เซนส์” ของตัวเอง แต่ผมก็รู้สึกได้เป็นเวลานานสักระยะหนึ่งแล้วว่า มันมีบางอย่างที่ขาดหายไป จากนั้น ผมจึงฉุกคิดได้ว่า ที่ผ่านมา เรามองเห็นพื้นผิวตัวรถ จากแสงไฟใน Studio ออกแบบ เพียงอย่างเดียว เราจึงขนส่งหุ่นดินเหนียวจำลอง ไปออกแบบและปรับปรุงเพิ่มเติมที่ ศูนย์ Advance Design Center ใน Los Angeles รวมทั้งถกเถียงกันในประเด็นนี้ กับนักออกแบบชาวอเมริกัน จนได้พื้นผิวที่สวยงาม เมื่อกระทบกับแสงแดดจริง ในสหรัฐอเมริกา”
Yosuke Shimizu หัวหน้าโครงการผู้รับผิดชอบดูแลงานออกแบบภายใน Interior Design : Honda Accord Gen10 เล่าว่า “ห้องโดยสารถูกออกแบบขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจจากหอจัดแสดงดนตรี “Concert Hall”ด้วยเหตุผลที่ว่า เมื่อเราเดินก้าวเข้าไปใน Concert Hall แล้ว เรามักจะเกิดความรู้สึกที่เรียกว่า “Elation” ซึ่งเป็นความตื่นเต้น อิ่มอกอิ่มใจ ภาคภูมิใจ และปิติยินดี ไปพร้อมๆกัน รวมทั้งยังได้รับประสบการณ์ อันน่าดึงดูดใจ ที่หาได้จากการแสดงดนตรี หรืออุปรากร แบบสดๆเท่านั้น” เขายังกล่าวต่อด้วยว่า เหตุที่ ห้องโดยสารของ Accord ใหม่ มีพื้นที่กว้างขวาง โอ่โถงมากขึ้น มีทั้งการยืดระยะฐานล้อให้ยาวออกไปจากรุ่นเดิม รวมทั้ง เลื่อนตำแหน่งเสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ขึ้นมา เล็กน้อย แล้วดันเบาะคู่หน้าและหลัง ขึ้นมาข้างหน้าอีกนิดหน่อย ผลลัพธ์ก็คือ การวาง Packaging ที่ช่วยให้ ห้องโดยสาร ดูโปร่งสบายตา และมีพื้นที่ภายในกว้างใหญ่ และยาวขึ้น แม้ว่าจะมีหลังคาและกรอบกระจกที่ดูคล้ายรถยนต์ Coupe 2 ประตูมากกว่ารุ่นเดิม ก็ตาม
“โดยปกติแล้ว หลายคนมักคิดว่า งานของนักออกแบบรถยนต์ ก็เพียงแค่รางภาพสเก็ตช์ในหัว อยู่ใน Studio ก็แค่นั้น แต่สำหรับโครงการพัฒนา Accord ใหม่ เราใช้เวลาอยู่กับ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลวัตร (Dynamic Expert) ทำให้เราเข้าใจถึงเป้าหมายของทีมทดสอบ ว่าต้องการเห็นภาพอะไร และอยากได้สิ่งใด จากรถยนต์คันต้นแบบที่ตนทดลองขับอยู่
Shimizu กล่าวเสริมว่า ตามปกติ มีไม่บ่อยครั้งนัก ที่ทีมวิศวกร จะเชิญทีมออกแบบ เข้าร่วมทดสอบรถยนต์ Prototype ผมถามนักทดสอบของเราว่าคิดอย่างไรกับเส้นสายของตัวรถ คำตอบของเขาทำให้ผมปลาบปลื้ม นั่นคือ งานออกแบบถูกผสมผสานเข้ากับสมรรถนะของตัวรถได้อย่างลงตัว”
การเข้า-ออกจาก บานประตูคู่หน้า ทำได้ดีมาก ผมไม่มีปัญหาศีรษะโขกหลังคาของ Accord เลยแม้แต่น้อย เพียงแต่คุณจำเป็นต้องปรั
แผงประตูคู่หน้า มีพนักวางแขน ซึ่งถูกออกแบบให้วางท่
เบาะนั่งคู่หน้า ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ถึงจะมีรูปทรง คล้ายกับ เบาะนั่งคู่หน้า ของ CR-V และ Civic ใหม่ แต่ยืนยันได้เลยว่า ตำแหน่งของ ฝีเย็บและรอบตะเข็บใน Accord เวอร์ชั่นอเมริกาคันนี้ ไม่เหมือน 2 ศรีพี่น้อง นั่นเลย
เบาะนั่งฝั่งคนขับ ในเวอร์ชันอเมริกา ทุกรุ่นย่อย สามารถปรับเอน และเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง ได้ ทั้งแบบคันโยกขึ้น-ลง หรือปรับด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ตามแต่ละรุ่นย่อยที่ลูกค้าเลือก แถมยังมีสวิตช์ไฟฟ้าปรับตัวดันหลัง เฉพาะเบาะคนขับมาให้ เป็นพิเศษ สามารถปรับเลื่อนตำแหน่งตัวดันหลัง ให้ดันมาก – น้อย และปรับระดับ ขึ้น – ลง ได้ครบถ้วน รวม 8 ทิศทาง ส่วนเบาะผู้โดยสารด้านซ้าย สามารถปรับระดับเอน และเลื่อนขึ้นหน้าถอยหลัง ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า รวม 4 ทิศทาง เสริมมาให้ในกรณีลูกค้าเลือก Package เบาะปรับด้วยไฟฟ้า
พนักพิงหลังซัพพอร์ตร่างกายดีขึ้น เน้นให้นั่งสบายขึ้น แน่นขึ้น แต่นุ่มกำลังดี ตรงกลางพนักพิงท่อนบน ค่อนข้างนุ่ม และยุบตัวบุ๋ม ลงไปง่าย ส่วนบริเวณตรงกลางท่อนล่างของพนักพิงหลัง จะแน่นขึ้นมาชัดเจน ช่วยลดการปวดหลังได้ขณะขับขี่ทางไกล นอกจากนี้ ยังมีปีกด้านข้าง ที่ยื่นออกมา ใกล้เคียงกับเบาะของ Civic เพื่อพยุงร่างคนขับกับผู้โดยสาร ขณะเข้าโค้งหนักๆ ได้ในระดับที่รถบ้านๆทั่วไปควรจะเป็น (ไม่ถึงขั้นเบาะ Bucket Seat แบบรถแข่ง)นอกจากนี้ แต่ละแถบแนวเส้นบนพนักพิงหลัง ยังออกแบบให้รองรับแผ่นหลังได้สบายขึ้นกว่ารถรุ่นเดิมชัดเจนมาก
พนักศีรษะ ปรับระดับสูง – ต่ำ ได้ แน่นแข็งแอบนุ่มนิดๆ เหมือนเบาะรถยุโรปยุคใหม่ สบายกำลังดี ดันกบาลนิดๆ แต่ยอมรับได้ เพราะขอบล่างสุดของพนักศีรษะ จะยื่นลงมารองรับช่วงต้นคอพอดีๆ มากเท่าใดนัก ส่วนพนักศีรษะดันกบาลนิดเดียว ไม่รำคาญหัวเพราะดันตรงต้นคอพอดี
ส่วนเบาะรองนั่ง เบาะรองนั่งมีความยาวกำลังดี เกือบถึงขาพับ ยาวในระดับเท่าๆกับเบาะรองนั่งของ CR-V Gen 5 รุ่นล่าสุด ฟองน้ำเสริมด้านใน ยังคงให้สัมผัสที่ใกล้เคียงกับ CR-V คือ แน่นนุ่ม และมีปีกข้างตั้งขึ้นมานิดๆ พอรองรับบั้นท้ายไม่ให้เคลื่อนตัวขณะกำลังขับขี่
เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า เป็นแบบ ELR 3 จุด ปรับระดับสูง – ต่ำได้ พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติ และลดแรงปะทะ Pre-tensioner & Load Limiter
พนักพิงหลัง ครึ่งท่อนบนตรงกลางหลัง จะนิ่มยุบลงไป แต่ครึ่งท่อนล่าง ตั้งแต่ช่วงกลางหลังลงไปค่อนข้
พนักวางแขนแบบพับเก็บได้ มีขนาดใหญ่ มาพร้อมช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง และเมื่อพับลงมาแล้ว สามารถวางแขนได้สบายในตำแหน่งกำลังดี ตั้งแต่ข้อศอกเลยทีเดียว ส่วนพนักศีรษะสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง มาในแนวแน่นมาก แต่ไม่ดันกบาล ติดนุ่มแค่นิดๆ คล้ายรถยุโรป
เบาะรองนั่ง มีความยาวมากที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดา Accord ในอดีตทุกรุ่นที่ผมเจอมา ยาวถึงขนาดที่ว่า รองรับช่วงข้อพับได้พอดีเป๊ะ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตัวเบาะมีมุมเงยที่เหมาะสม ดังนั้น หากคุณตัวสูงไม่เกิน 170 เซ็นติเมตร คุณจะนั่งบนเบาะหลังของ Accord ใหม่ ได้อย่างสบายๆ โดยไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ถ้าคุณตัวสูงกว่านั้น แต่ช่วงขาของคุณยาว ก็น่าจะยังพอนั่งได้สบายอยู่ แต่ศีรษะจะติดเพดานหลังคา
ผลจากการเพิ่มระยะฐานล้อให้ยาวขึ้น ทำให้พื้นที่วางขาด้านหลัง (Legroom) ถูกขยายให้ยาวขึ้นกว่ารุ่นเดิมอย่างมากตามไปด้วย จากเดิม ที่คุณเคยแค่นั่งไขว่ห้าง คราวนี้ คงได้ไขว้สองห้าง กันเลยทีเดียว!
แต่ อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่แนวหลังคาจำเป็นต้องถูกบดบังพื้นที่เหนือศีรษะ (Headroom) ดูเหมือนว่าน้อยลงกว่าเดิม อันเนื่องมาจากการออกแบบหลังคาให้เน้นความลู่ลมขึ้น กระนั้น เมื่อนั่งด้านหลังแล้ว หัวของผม (สูง 170 เซ็นติเมตร) ยังไม่ชนเพดานหลังคา และยังเหลือพื้นที่อีกราวๆ 2 นิ้วมือในแนวนอน
เข็มขัดนิรภัยด้านหลัง เป็นแบบ ELR 3 จุด ทั้ง 3 ตำแหน่ง (ซ้าย กลาง ขวา) มีจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX มาให้ ทั้งฝั่งซ้ายและขวา ส่วนมือจับศาสดาไว้ให้ผู้โดยสาร ยึดเหนี่ยวจิตใจก็มีมาให้ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง
ฝาประตูห้องเก็บของ สามารถเปิดได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ทั้งจากภายในรถ บนรีโมทกุญแจ และบริเวณเหนือช่องใส่ป้ายทะเบียนหลัง มีพรม Recycle ปิดผนังด้านหลังของฝาท้ายไว้ด้วย ทั้งเพื่อความสวยงาม และลดเสียงรบกวนจากกระแสลมที่หมุนวนบริเวณบั้นท้ายรถในขณะขับขี่ แต่ดูเหมือนว่าไม่มีระบบเปิด – ปิดฝาท้ายอัตโนมัติมาให้
ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง มีขนาดความจุ 16.7 ลูกบาศก์-ฟุต หรือ 472 ลิตร แม้จะน้อยกว่า Camry ใหม่ ซึ่งอยู่ที่ 524 ลิตร แต่ภาพรวมกว้างใหญ่ขึ้นมาก เป็นผลมาจากการย้ายตำแหน่งแบ็ตเตอรีระบบขับเคลื่อน ไปไว้อยู่ใต้เบาะหลังแทน
แผงหน้าปัด (Dashboard) ของ Accord Gen.10 ถูกออกแบบโดยใช้เส้นตรงแนวนอนยาว เพื่อให้ดูโปร่ง โล่งสบายตามากที่สุด พูดกันตรงๆก็คือ ดูละม้ายคล้ายคลึงกับ แผงหน้าปัดของ Mazda 6 รุ่นปัจจุบัน (2012 – 2018) อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะช่องแอร์คู่กลาง
ชุดมาตรวัดเป็นจอ TFT ขนาด 7 นิ้ว ควบคุมการทำงาน เปลี่ยน Mode แสดงผล ของจอ Multi Information Display ได้จากสวิตช์บนก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย นอกจากนี้ Accord ใหม่ ยังมาพร้อมด้วยฟังก์ชั่นและเทคโนโลยีต่างๆ อาทิ ระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกหน้า (Head Up Display : HUD) และระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อมสวิตช์ Auto Hold เป็นต้น
Accord เวอร์ชันอเมริกาเหนือ จะมีให้เลือกทั้งหมดถึง 10 รุ่นย่อย ใน 5 ระดับการตกแต่ง ดังนี้
- LX (1.5 Turbo & 2.0 Hybrid) : มีอุปกรณ์มาตรฐาน ดังนี้ : ระบบ Honda Sensing® , เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ แยกฝั่งซ้าย -ขวา (Dual-Zone Automatic Climate Control), ปุ่มติดเครื่องยนต์ Push Button Start, กล้องด้านหลังแบบ Multi-Angle Rearview,ไฟหน้าแบบ LED Low-Beam พร้อมเซ็นเซอร์และระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ,จอมอนิเตอร์สี LCD TouchScreen 7 นิ้ว ล้ออัลลอย 17 นิ้ว, ระบบ Eco Assist™ System, ชุดไฟสูงแบบหรี่ลงอัตโนมัติ เมื่อมียานพาหนะแล่นสวนทางมา (Auto High-Beam Headlights), ไฟส่องว่างขณะขับขี่ตอนกลางวัน LED Daytime Running Lights (DRL) ,ระบบสื่อสาร ไร้สาย Bluetooth® ระบบ HandsFreeLink® Audio, USB Audio Interface*
- Sport (1.5 Turbo & 2.0 Turbo) : อุปกรณ์ทั้งหมด เหมือนรุ่น LX แต่เพิ่ม : Apple CarPlay™* Integration , Android Auto™* Integration เบาะคนขับปรับด้วยสวิตช์ไฟฟ้า 12 ทิศทาง , ล้ออัลลอย 19 นิ้ว , ไฟตัดหมอก LED,พวงมาลัยหุ้มหนัง อัพเกรดหน้าขอมอนิเตอร์สี LCD TouchScreen พร้อมเครื่องเสียง 8 ลำโพง 180 วัตต์ แป้นคันเร่งและเบรกแบบ Sport , สปอย์เลอร์หลัง และปลอกท่อไอเสียโครเมียม
- EX (1.5 Turbo & 2.0 Hybrid) อุปกรณ์มาตรฐาน เหมือนรุ่น LX + Sport แต่เพิ่มระบบ Apple CarPlay™ Integration ,Android Auto™* Integration เบาะคนขับปรับด้วยสวิตช์ไฟฟ้า 12 ทิศทาง , รีโมทกุญแจ ล้ออัลลอย 19 นิ้ว , ไฟตัดหมอก LED,พวงมาลัยหุ มหนัง อัพเกรดหน้าขอมอนิเตอร์สี LCD TouchScrren พร้อมเครื่องเสียง 8 ลำโพง 180 วัตต์ แป้นคันเร่งและเบรกแบบ Sport , สปอย์เลอร์หลัง และปลอกท่อไอเสียโครเมียม
- EX-L (1.5 Turbo , 2.0 Turbo & 2.0 Hybrid) อุปกรณ์ ยกมาจากทั้ง LX + Sport + EX แต่เพิ่ม MoonRoof เปิด – ปิดด้วยสวิตช์ครั้งเดียว (One-Touch Power Moonroof) เบาะคู่หน้ามี Heater อุ่นตูด ระบบ Smart Entry พร้อมระบบ Auto Lock ล็อกเองอัตโนมัติ ระบบแจ้งเตือนพาหนะที่แล่นตามมาด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง ซ้าย – ขวา Blind Spot Information System พร้อมระบบตรวจเช็คว่ามียานพาหนะอื่นใด ก่อนเร่งแซง หรือ ระบบ แจ้งเตือนพาหนะแล่นตัดผ่านด้านหลังรถ
- Touring (2.0 Turbo & 2.0 Hybrid) อุปกรณ์มาตรฐาน ยกมาจากทุกรุ่น แต่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้ : เพิ่มระบบแสดงความเร็วบนกระจกหน้ารถ Head-Up Display (HUD) เบาะคู่หน้าแบบระบายอากาศได้ (มีพัดลมเป่าตด) Ventilated Front Seats , แท่นชาร์จมือถือไร้สาย Wireless Phone Charger , ระบบปล่อยสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ Mobile Hotspot Capability, ระบบนำทางผ่านดาวเทียม Honda Satellite-Linked Navigation System™ เบาะหลังมีระบบอุ่นเบาะให้ร้อน ชุดไฟสร้างบรรยากาศยามค่ำคืน Interior Ambient Lighting ใบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ไฟหน้า LED พร้อมระบบเปิด-ปิด เพิ่มเซ็นเซอร์กะระยะรอบคันเป็นสีเดียวกับตัวถัง กระจกมองข้าง ปรับมุมกดลงมาได้ ในกรณีที่ผู้ขับขี่เข้าเกียร์ถอยหลัง และบริการ HondaLink® Subscription Services
อีกจุดขายสำคัญของ Accord ใหม่ คือการติดตั้ง กลุ่มอุปกรณ์ความปลอดภัยอีเล็กโทรนิคส์ เชิงป้องกัน และเชิงปกป้อง ระบบความปลอดภัย Honda SENSING มาให้เต็มพิกัด ดังนี้
- ระบบเตือนการชนรถและคนเดินถนนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
- ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation with Lane Departure Warning RDM with LDW)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
ไม่เพียงเท่านั้น สำหรับประเทศไทย จะยังมีอุปกรณ์พิเศษ ซึ่งไม่มีในเวอร์ชันอเมริกาเหนือ ที่เราเพิ่งลองขับกันไปเมื่อวาน นั่นคือ
- ระบบกล้องส่องภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System)
- ระบบเตือนเมื่อรถยนต์เคลื่อนผ่านขณะถอย (Cross Traffic Monitor)
- ระบบช่วยจอดอัจฉริยะพร้อมระบบช่วยเบรก (Honda Smart Parking Assist System) ซึ่งช่วยควบคุมการหมุนพวงมาลัย ระหว่างถอยเข้าไปยังช่องจอด หรือจอดขวางหน้าร้านใครเข้า แต่ระบบจะหมุนกะพวงมาลัยเอง โดยเราจะต้องเปลี่ยนเกียร์ และเหยียบเบรกตามคำสั่งที่ขึ้นแสดงบนมาตรวัด
********** รายละเอียดทางวิศวกรรม **********
ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการหนึ่งของ Accord ใหม่ ทั้งเวอร์ชันอเมริกาเหนือ และเวอร์ชันไทย คือการปลดประจำการขุมพลังชุดเดิม “ออกทั้งหมด” แล้วแทนที่ด้วย 3 เครื่องยนต์รุ่นใหม่ ที่ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวทาง Earth dreams Technology อย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นไปที่การปรับลดขนาดความจุกระบอกสูบลงมา หรือ “Downsizing” แต่เสริม Turbocharger มาช่วยเพิ่มพละกำลังมากขึ้น ประหยัดน้ำมันขึ้นในรอบต่ำ แต่ต้องลดการปล่อยมลพิษลงจากเดิม ตามทิศทางของวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก ไปพร้อมๆกัน
Accord North America Version : จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งหมด 3 แบบ คือ เบนซิน 2.0 ลิตร Turbo เบนซิน 1.5 ลิตร Turbo และ เบนซิน Hybrid 2.0 ลิตร i-MMD
ส่วน Accord Thai Version : จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งหมด เพียง 2 แบบ คือ เบนซิน 1.5 ลิตร Turbo และ เบนซิน Hybrid 2.0 ลิตร i-MMD
รายละเอียดของเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง แบบคร่าวๆ มีดังนี้
เบนซิน 2.0 ลิตร VTEC Turbo
เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,996 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 86.0 x 85.5 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.8 : 1 หัวฉีด PGM-FI Direct Injection พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VTEC (Dual VTC) พ่วงระบบัดอากาศ Turbocharger แบบ Single Scroll จาก Mitsubishi Heavy Industries รุ่น TD03 แรงดันบูสต์ 20.8 PSI (ปอนด์/ตารางนิ้ว) กำลังสูงสุด 252 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 273 ฟุต-ปอนด์ (37.67 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 5,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยระบบส่งำลัง ที่ลูกค้าชาวอเมริกัน เลือกได้ ทั้ง เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ Shift by Wire (คันเกียร์แบบปุ่มกด) พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย Paddle Shift
เครื่องยนต์รุ่นนี้ ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับเครื่องยนต์ของ Honda Civic Type R เพียงแต่จะเปลี่ยนมาใช้ Camshaft องศา/ระยะยกเตี้ยกว่า รวมทั้ง Turbocharger ลูกเล็กกว่า เพื่อให้มีแรงบิดรอบต่ำดี เหมาะกับรถน้ำหนักมากที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายว่า ขุมพลังเบนซิน 2.0 Turbo รุ่นใหม่นี้ จะไม่ถูกนำเข้ามาผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย อย่างแน่นอน เนื่องจากเหตุผลที่ว่า ไม่น่าคุ้มค่าต่อการลงทุน อีกทั้ง Honda มองว่า สำหรับประเทศไทย แค่เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร Turbo ก็ มีพละกำลังเพียงพอสำหรับการใช้งานของคนส่วนใหญ่ และสามารถแทนที่เครื่องยนต์ 2.0 และ 2.4 ลิตรเดิมไปได้อย่างดีอยู่แล้ว ในขณะที่รุ่น 2.0 มีแรงพอสามารถทดแทนเครื่องยนต์ระดับ V6 ได้ และที่ผ่านมายอดขายก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคนไทยบนเน็ต อยากได้ V6 แต่พอเอามาขายจริง ต่อให้ประกอบในและราคาไม่แพง (อย่างสมัย Gen 7) มันก็ไม่ได้ขายดีมากขนาดนั้น
เบนซิน 1.5 ลิตร Di VTEC Turbo
เครื่องยนต์ ใหม่ที่จะถูกนำเข้ามาผลิตในเมืองไทย เพื่อแทนที่เครื่องยนต์ K24 เบนซิน รุ่นเดิม นั่นคือ ขุมพลังใหม่ รหัส L15B เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 73.0 x 89.5 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.3 : 1 หัวฉีด PGM-FI Direct Injection พร้อมระบบแปรผันแท่งเพลาลูกเบี้ยว VTEC (จริงๆต้องนับเป็น Dual VTC เพราะไม่มีกลไกแปรผันระยะยกของวาล์ว) พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharger แบบ Single Scroll จาก Mitsubishi Heavy Industries รุ่น TD03 แรงดันบูสต์ 20.2 PSI กำลังสูงสุด 192 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 192 ฟุตปอนด์ (26.49 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 4,000 รอบ/นาที
เครื่องยนต์รุ่นนี้ มีพื้นฐานร่วมกับบล็อกที่ใช้ใน Civic 1.5 Turbo, Civic 1.5 Si Turbo สเป็คอเมริกา และ CR-V โดยข้อแตกต่างเท่าที่พอทราบคือเครื่องยนต์ของ Civic Turbo ที่มีแรงม้าน้อยสุดนั้น ใช้บูสท์ประมาณ 14.5-15 PSI ซึ่งน้อยกว่าคันอื่น และเทอร์โบมีกังหันใบพัด 9 ใบ ในขณะที่รุ่นอื่นๆที่แรงกว่าจะมี 7 ใบ
ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วย เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT อัตราทดเกียร์เดินหน้า 2.645 ~ 0.405 อัตราทดเกียร์ถอยหลัง 1.859 ~ 1.265 อัตราทดเฟืองท้าย 5.36 : 1 พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย Paddle Shift
เบนซิน 2.0 ลิตร Hybrid i-VTEC Sport Hybrid Intelligent Multi Mode Drive (i-MMD)
ประกอบด้วย เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,996 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 96.7 มิลลิเมตร กำลังอัด 13.5 : 1 หัวฉีด PGM-FI จุดระเบิดแบบ Atkinson Cycle พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC 143 แรงม้า (SAE) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 17.82 กก.-ม.ที่ 3,500 รอบ/นาที
พ่วงด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า AC Synchronous Permanent Magnet 2 ลูก 181 แรงม้า (SAE) ที่ 5,000 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 32.01 กก.-ม.ที่ 0 – 2,000 รอบ/นาที เมื่อทำงานร่วมกัน จะได้พละกำลังรวมทั้งระบบ 212 แรงม้า (SAE) ที่ 6,200 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง E-CVT มีการปรับปรุงใหม่เป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 มีการย้ายชุดแบตเตอรี่จากท้ายรถ มาไว้ที่ใต้เบาะนั่งด้านหลัง และเปลี่ยนมาใช้สวิตช์กดปุ่มเลือกเกียร์แบบ CR-V Gen. 5 แทน (ซึ่งเวอร์ชันไทย ได้ยินมาว่า อาจไม่มีเกียร์กดปุ่มแบบนี้)
ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัย แบบ Dual Pinion แปรผันอัตราทดเฟืองพวงมาลัยได้ พร้อม Power ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า Variable Gear Ratio Electric Power Steering (EPS) จาก ZF หมุนพวงมาลัยจากซ้ายสุด ไปขวาสุด หรือ ขวาสุด ไปซ้ายสุด (Lock-to-Lock) ได้ 2.23 รอบ สำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และ 2.3 รอบ สำหรับรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ทุกรุ่นย่อย อัตราทดเฟืองพวงมาลัยของทุกรุ่นอยู่ที่ 11.77 : 1 แต่เฉพาะรุ่น Sport และ Touring จะอยู่ที่ 11.82 : 1 รัศมีวงเลี้ยว 5.8 และ 6.0 เมตร ตามแต่ละขนาดของล้อรถ
ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ MacPherson Strut ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Multi-Link พร้อมเหล็กกันโคลง ครบทั้งด้านหน้าและหลัง ในขนาดที่แตกต่างกัน แถมด้วยช็อกอัพ สเป็กพิเศษเพื่อการซับแรงสะเทือนที่ดีขึ้น และถูกปรับบุคลิกการขับขี่ ให้เน้นไปในแนว “นุ่มนวล”ยิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น เฉพาะรุ่น Touring จะถูกติดตั้งระบบ Adaptive Damper System มาให้เป็นพิเศษ อีกด้วย
ได้ยินมาว่า คราวนี้ Honda ยังเลือกนำ Mercedes-Benz E-Class กับ BMW 5-Series มาเป็น Benchmark ในการปรับปรุงเรื่องคุณภาพการขับขี่ โดยมองข้ามขั้นขึ้นไปจาก Toyota Camry (รุ่นที่แล้ว) กันไปเลย ดังนั้น ข้าวของที่ใส่มาให้ ล้วนแล้วแต่เป็นสเป็กพิเศษ ที่เหนือกว่าเดิมทั้งสิ้น
ระบบห้ามล้อเป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ จานเบรกคู่หน้ามีครีบระบายความร้อน เส้นผ่าศูนย์กลาง 12.3 นิ้ว ส่วนจานเบรกคู่หลัง เป็นแบบ Solid ธรรมดา เส้นผ่าศูนย์กลาง 11.1 นิ้ว มาพร้อมสารพัดตัวช่วย ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบปรับแรงดันน้ำมันเบรก ตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronic Brake Force Distributor) และระบบควบคุมเสถียรภาพ VSA (Vehicle Stability Assist) ที่ติดตั้งมาให้ ครบทุกรุ่นย่อย
********** การทดลองขับ **********
การทดลองขับในครั้งนี้ ยังคงต้องถือว่าเป็นการ “ชิมรถ” เหมือนเช่นเคย เพราะด้วยข้อจำกัดมากมาย ทำให้ทาง American Honda Motor เขาเตรียมรถยนต์ไว้ให้กับทาง Honda เมืองไทย เพียงแค่ 2 คัน เท่านั้น ได้แก่ Accord 1.5 Turbo Sport เบาะผ้า สีแดง และรุ่น 2.0 ลิตร Sport Hybrid สีเทาดำ Modern Steel
เส้นทาง ที่ทีมงาน Organizer ของ American Honda Motor เขาจัดไว้ให้นั้น ค่อนข้างสั้น และมีเวลาให้สื่อมวลชนแต่ละราย ได้ลองขับรถกันคนละแค่ 20 นาที / 1 คัน แถมในวันที่เราทดลองขับ ฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจ ตกลงมากระหน่ำตั้งแต่เช้า จนกระทั่งถึงช่วง 17.00 น. นั่นหมายความว่า เราแทบจะไม่ได้ทดลองขับกันบนสภาพถนนแห้งๆเลยแม้แต่น้อย อีกทั้ง บนเส้นทางที่เราลองขับกัน มีการจำกัดความเร็วสูงสุดเอาไว้แค่เพียง 35 – 45 ไมล์/ชั่วโมง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ขับได้ไม่เกิน 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง คุณลุง Instructor ของพวกเรา อย่างคุณ Roberto ซึ่งเป็นอดีตนักแข่งรถ Formula-1 ทีมเดียวกับ Ayeton Senna ผู้ล่วงลับ เมื่อ 22 ปีก่อน ก็คอยกำกับบอกทางไปกับเราด้วยอยู่ตลอดเวลา บางคนก็เจอรถตำรวจท้องถิ่นมาจอดพักข้างทาง รอ Say Hello อยู่กับคนที่ขับรถเร็วเกินกำหนด ก็มี!
นั่นหมายความว่า เลิกความคิดที่จะจับอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และ 80 -120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปได้เลย คงต้องยกยอดมาทำการทดลองประเด็นนี้ทั้งหมด ในประเทศไทยกันแล้วละ
ในเมื่อข้อจำกัดมันเยอะมากขนาดนี้ แล้วเราจะเหลืออะไรให้พูดถึงกันละ?
มีครับ ไม่ใช่ไม่มี อย่างน้อยๆ ผมก็ได้ลองจับสัมผัส จากทั้งตัวรถ และเครื่องยนต์ ทั้ง 2 แบบ ซึ่งก็พอจะเห็นทั้งความเหมือน และความต่าง กันอยู่บ้าง
ทันทีที่เริ่มออกตัว ผมพบว่า เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร Turbo นั้น มันก็มีบุคลิก ให้พละกำลังและสร้างแรงดึงแทบไม่แตกต่างจาก Honda Civic Turbo ทั้ง Sedan และ Hatchback เลย เพียงแต่ว่า ด้วยน้ำหนักตัวของรถที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ในช่วงความเร็ว 0 – 20 ไมล์/ชั่วโมง แอบมีอาการหน่วงๆนิดๆ ในช่วงที่ Turbo ยังไม่เริ่มบูสต์เต็มที่ แต่พอผ่านเข้าสู่ระดับ 2,000 รอบ/นาที ขึ้นไป ก็มีเรี่ยวแรงที่จะดึงฉุดกระชากลากถู ไปในแบบที่หลายๆคนคุ้นเคยมาแล้ว จาก Civic Turbo RS
ดังนั้น ใครก็ตามที่คิดว่า จะเอาเครื่องยนต์ เบนซิน 1.5 ลิตร Turbo มาฉุดลากรถเก๋งคันใหญ่อย่าง Accord ไหวเหรอ? ก็คงต้องบอกว่า โปรดโยนความคิดนี้ลงไปในถังขยะที่ห้องครัวหลังบ้านคุณได้เลย เทคโนโลยี Downsizing ของเครื่องยนต์บล็อกนี้ มันเคยพิสูจน์ตัวเองมาแล้วใน Civic Turbo ดังนั้น กะอีแค่ Accord คันใหญ่ขึ้นนิดหน่อย ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตที่เครื่องยนต์บล็อกนี้จะรับมือไม่ไหวสักหน่อย
ในขณะเดียวกัน รุ่น 2.0 Sport Hybrid นั้น สังเกตพอจับอาการได้ว่า การปรับปรุงเทคโนโลยี Hybrid ของ Honda ในคราวนี้ ส่งผลให้อัตราเร่ง ในโหมด Normal แอบไวขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย การไต่ขึ้นไปของเข็มวัดความเร็วนั้น เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสัมผัสได้ว่า มีแนวโน้มที่ Accord 2.0 Sport Hybrid อาจยังคงรักษาแชมป์ตัวเลขอัตราเร่งแซง ของ Headlightmag เราไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
ทั้ง 2 รุ่น มีปุ่ม ECON Mode สำหรับการขับขี่แบประหยัดน้ำมัน คันเร่งจะหน่วงการทำงานให้ตอบสนองช้าๆ เครื่งปรับอากาศก็จะหรี่ลงมา ทั้งพัดลมและอุณหภูมิ เหลือแค่ 25 องศาเซลเซียส แต่ถ้า กดปุ่มเป็น Sport Mode เท่านั้นแหละ คันเร่งของทั้ง 2 รุ่น ก็เปลี่ยนแคแรคเตอร์ ให้การตอบสนอง ไวขึ้นกว่าคันเร่งโหมดปกติทันที
ด้านการเก็บเสียงรบกวนจากภายนอก คราวนี้ ทีมวิศวกร ใช้สารพัดวิธีที่จะลดเสียง การสั่นสะเทือน และอาการสะท้าน (NVH : Noise , Vibration & Harshness) ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม วัสดุซับเสียง พวก Insulator หรือการฉีดโฟมซับเสียงเข้าไปตามซอกมุมต่างๆ อันอาจก่อให้เกิดเสียงได้ ไม่เว้นแม้แต่การออกแบบล้ออัลลอย ให้มีรูปทรงที่ช่วยลดเสียงรบกวนได้ดีขึ้น ผมสัมผัสได้ว่า ห้องโดยสารของ Accord ใหม่ เงียบขึ้นกว่ารุ่นเดิมชัดเจน เพียงแต่ เราไม่แน่ใจว่า เมื่อเวอร์ชันไทย เปิดตัว พวกเขาจะลดการใช้ วัสดุซับเสียงลงไปจากนี้อีกหรือเปล่า คงต้องรอดูกัน
อีกความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ การตอบสนองของพวงมาลัย เพาเวอร์ แบบ Dual Pinion ซึ่งดีขึ้นกว่า Accord Gen. 9 อย่างชัดเจนมาก ให้การตอบสนองใกล้เคียงกับพวงมาลัย ของ Toyota Camry ใหม่ล่าสุด เอาเรื่อง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจใดๆทั้งสิ้น ที่ อัตราทดเฟืองพวงมาลัยของทั้ง Accord และ Camry ดันเซ็ตไว้เท่าๆกันทั้งคู่ คือ 11.82 : 1 ซึ่งผมมองว่า เป็นจุดที่ Sweet spot ที่สุด สำหรับการเซ็ตพวงมาลัยเพื่อรถเก๋งขนาดใหญ่ระดับ D-Segment (หมายถึงเรื่องความไวนะครับ ส่วนเรื่องอัตราทดเฟือง บางทีอาจจะมีการคลาดเคลื่อนหรือการตั้งศูนย์เข้ามาเกี่ยวข้อง)
ไม่เพียงแค่นั้น น้ำหนักพวงมาลัยที่เคยเบาโหวง ของ Accord Gen.9 ถูกปรับปรุงใหม่ ให้กระชับขึ้น แม่นยำขึ้น มีน้ำหนักดีขึ้น หน่วงมือผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น และจะส่งผลต่อการบังคับควบคุมได้มั่นใจขึ้นกว่าเดิม เพียงแต่ตั้ข้อสังเกตว่า พวงมาลัยของ Accord ยังแอบมี Feeling แบบ พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า โผล่มาให้สัมผัสอยู่นิดๆ ยังไม่ค่อยลื่นไหลเป็นธรรมชาติมากนัก
ด้านระบบกันสะเทือน ยอมรับเลยว่า เวลาที่มีให้ กับสภาพเส้นทางที่เราขับขี่ มีจุดให้เราเรียนรู้ไม่มากนัก แต่ก็พอจะเห็นภาพว่า ช่วงล่างของ Accord ใหม่ จะมาในแนว Sport หนึบมากกว่า Camry ใหม่ พอเจอเนินสะดุด ลูกระนาด ล้ออัลลอยขนาด 18 และ 19 นิ้ว ก็ทำให้สัมผัสได้ถึงอาการตึงตังหน่อยๆ ตามธรรมดา แต่ในช่วงเดินทางด้วยความเร็ว 45 ไมล์/ชั่วโมง (ไม่เกิน 75 กิโลเมตร/ชั่วโมง) เมื่อเจอถนนพื้นผิวไม่เรียบ ก็ต้องยอมรับว่า ช่วงล่างของ Accord ใหม่ ซับแรงสะเทือนได้ดีขึ้น ช่วยให้ตัวถัง นิ่งขึ้น และแน่นขึ้นกว่าที่เคย
ท้ายที่สุด คือสัมผัสจากแป้นเบรก พบว่า ระยะเหยียบ Pedal Travel มีระยะไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไป เหมาะกับคนขับรถทุกเพศทุกวัย ทีมี หรือไม่เคยมีประสบการณ์ลองขับรถเก๋ง พิกัด D-Segment มาก่อน จะเบรกให้นุ่มนวล หรือเบรกกระทันหันเมื่อเจอคนข้ามถนนตัดหน้า ก็ทำงานได้อย่างทันท่วงที และให้ความรู้สึก Linear ต่อเนื่องได้ตามสั่ง แต่รุ่น 2.0 ลิตร Sport Hybrid ก็ยังแอบมีสัมผัสแบบ แป้นเบรกไฟฟ้าจ๋าอยู่ดี
********** สรุป (เบื้องต้น) **********
ขับเฟิร์มขึ้น แรงเท่า Civic Turbo แต่จุดเด่นอยู่ที่ Interior
ระยะเวลาเพียง คนละประมาณ 20 นาที / รอบ ได้ขับกันคนละ 2 รอบ เจอฝนตกเทโครมราวกับพระพิรุณไม่ได้อาบน้ำมา 3 เดือน แถมด้วยการจำกัดความเร็วไว้ที่ 45 ไมล์/ชั่วโมง หรือ 75 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำให้เราต้องดึงเอาทุกข้อจำกัดเหล่านั้น มาหาทางออก ที่ทำให้ พอจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ ที่เกิดขึ้นกับ Sedan พิกัด D-Segment รุ่นยอดนิยมของ Honda ในตลาดอเมริกาเหนือ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เมื่อได้ลองขับแล้ว ผมก็ยังพอจะเห็นจุดเด่นที่ชัดเจนมากของ Accord ใหม่ ซึ่งจะถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อกรกับคู่แข่งรุ่นล่าสุดอย่าง Toyota Camry ใหม่ หลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบ Interior ที่น่าจะโดนใจลูกค้ามากสุดในบรรดาคู่แข่งพิกัด D-Segment ของเมืองไทย ไปจนถึง เครื่องยนต์ ทั้งเบนซิน 1.5 ลิตร Direct Injection Turbocharger ซึ่งเคยผ่านการพิสูจน์มาแล้วใน Civic Turbo รวมทั้ง เครื่องยนต์ เบนซิน 2.0 ลิตร Sport Hybrid รุ่นล่าสุด ซึ่งพยายามกำจัดข้อด้อยในระบบเดิมของตน จนมีแนวโน้มว่า มันจะแรงขึ้น และประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้นกว่ารุ่นเดิม
ไม่เพียงเท่านั้น พวงมาลัย ช่วงล่าง และโครงสร้าง Platform ยังถูกเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพื่อยกระดับให้ Accord ใหม่ ขับขี่ได้ Firmขึ้น มั่นใจขึ้น สามารถพิชิตใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ประเภท Young at Heart ซึ่งยังไม่ปันใจหันไปหา SUV และยังคงยืนยันว่า ต้องการรถยนต์นั่ง Sedan ไว้บ่งบอกสถานภาพทางสังคม
กำหนดเปิดตัว ยังไม่แน่ชัด แต่ถึงกระนั้น ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านก็คงเดาได้แหละครับว่า ภายในเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2019 นี้ เราคงจะได้สัมผัส Accord ใหม่ เวอร์ชันไทยกันอย่างแน่นอน ด้วยค่าตัวที่ ไม่น่าจะหนีไปจาก Accord Gen.9 รุ่นปัจจุบันมากนัก
เมื่อถึงวันนั้น ผมคงจะหาโอกาส ยืม Accord ใหม่ มาขับทดลองให้ยาวนานกว่านี้ หนำใจกว่านี้ จะได้ค้นหาความเปลี่ยนแปลงซึ่งซุกซ่อนอยู่เยอะกว่านี้ ออกมาให้คุณๆได้อ่านกัน
และวันนั้น มันจะมาถึงอย่างรวดเร็ว ไม่ยาวนานอย่างที่คิด
—————————///————————–
ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Honda Automobile (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อการเดินทางในครั้งนี้
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายรถยนต์บางส่วน เป็นผลงานของผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายรถยนต์ในต่างประเทศ ทั้งหมด เป็นของ American Honda Motor.
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
15 มกราคม 2019
Copyright (c) 2019 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
January 15th,2019
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!