เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นปัจจุบันอย่าง Duratorq TDCi ถูกเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2000 ใช้ครั้งแรก
ในรถอย่าง Ford Mondeo พัฒนามาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน ใช้กันทั้งในแบรนด์ Ford, Jaguar,
Land Rover, Volvo และ Mazda ส่วนที่ใช้ใน Ranger / Everest จะอยู่ในตระกูลที่ใช้ชื่อเรียก
Codename ว่า ” PUMA ”
ในปี 2016 นี้เอง ล่าสุด Ford ได้เผยเครื่องยนต์ดีเซล Generation ใหม่ ” EcoBlue ”
คาดว่าจะถูกใช้ทั้งในรถยนต์นั่งส่วนบุคคล Passenger Cars และ รถยนต์เพื่อการพาณิชย์
รวมถึงรถยนต์อเนกประสงค์ของค่าย ใช้ Modular Camshaft หรือ เพลาลูกเบี้ยวแบบใหม่
เป็นครั้งแรก ซึ่งเบื้องต้น Ford เคลมตัวเลขเอาไว้ว่าจะทำอัตราสิ้นเปลืองได้ดีกว่าเดิม
ถึง 13% ในซีรีส์เครื่องยนต์บล๊อกใหม่ EcoBlue นี้ จะมีพละกำลังตั้งแต่ 100 แรงม้า
ไปจนถึง 240 แรงม้า แบ่งไปตามช่วงความจุเครื่องยนต์ต่างๆ โดยความจุแรกที่ถูกเปิดเผย
ออกมาคือ ขนาด ” 2.0L EcoBlue ”
ไม่ได้มีเพียงแค่ความประหยัดที่เพิ่มขึ้นอย่างเดียว แต่พละกำลังก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ถึงแม้ว่า
ตัวเลขพละกำลังทั้งแรงม้า และ แรงบิดยังไม่ได้มีตัวเลขออกมาอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อ
เทียบกับเครื่องยนต์ 2.2L Duratorq TDCi เดิมที่ประจำการอยู่ใน Ford Transit / Ranger /
Everest แล้วนั้น เครื่อง 2.0 EcoBlue ใหม่นี้ จะมีแรงบิดเพิ่มมากขึ้นอีก 20% ตั้งแต่รอบเครื่อง
ที่ 1,250 รอบ/นาที
นอกจากนี้ในเรื่องของเสียง ยังเงียบลงกว่าเดิม 4 เดซิเบล เมื่ออยู่ในรอบเดินเบา ในด้านงาน
วิศวกรรมเครื่องยนต์ใหม่นี้ มีการลดแรงเสียดทาน รวมถึง มีการเผาไหม้ที่สะอาดและสมบูรณ์
มากยิ่งขึ้นด้วย การปล่อยก๊าซ CO2 ลดลงจากเครื่องเดิม 10% การปล่อยมลพิษก็เช่นเดียวกัน
อยู่ในระดับผ่านมาตรฐาน Euro VI (Euro 6) ซึ่งจะเริ่มใช้ในโซนยุโรป เดือนกันยายนที่จะถึงนี้
ซึ่งมาตรฐานใหม่นั้นจะเข้มงวด โหดหิน ยิ่งกว่าเดิม ข้อมูลคร่าวๆคือ ตัวเลขอัตราการปล่อย NOx
ของ Euro 6 ต้องปล่อยน้อยลงกว่า Euro 5 ถึง 55%
Jim Farley : CEO ของ Ford Europe กล่าวว่า ที่ผ่านมาเครื่องยนต์เบนซินของ Ford
อย่าง EcoBoost นั้น สร้างมาตรฐานใหม่ของเครื่องยนต์เบนซิน ไม่ว่าจะเป็นการลดความจุลง
เครื่องเล็กลง แต่สามารถสร้างประสิทธิภาพทั้งด้านความแรง และ ความประหยัดได้ดีกว่าเดิม
เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ อย่าง EcoBlue ก็มีแนวคิดการพัฒนาเช่นเดียวกันกับ EcoBoost
ในรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ Commercial เครื่องยนต์จะมีพละกำลังตั้งแต่ 105 – 170 แรงม้า
ในรุ่น Low Power และจะมีรุ่น High Power พละกำลังเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
รถยนต์นั่งส่วนบุคคล หรือ Passenger Cars จะเริ่มต้นที่ขนาดความจุ 1.5 EcoBlue
และ จะมีรุ่นสมรรถนะสูง สร้างพละกำลังได้ถึง 200 – 240 แรงม้า
จุดที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญของเครื่อง EcoBlue หลักๆมีดังนี้
1. เพลาข้อเหวี่ยงติดตั้งเยื้องจุดศูนย์กลางไป 10 มิลลิเมตร เพื่อลดภาระของลูกสูบและ
ลดการเสียดสี ระหว่างลูกสูบกับผนังลูกสูบ
2. ท่อร่วมไอดีแบบติดตั้งเป็นส่วนหนึ่งของเครื่อง ออกแบบให้มีทิศทางการไหลเข้าของ
ไอดีต่างกันโดยทางเข้าของลูกสูบ 1 กับ 2 จะหมุนตามเข็มนาฬิกา และลูกสูบ 3 กับ 4
จะหมุนทวนเข็มนาฬิกา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ Ford ใช้ท่อไอดีลักษณะนี้ โดยหวังผล
ในเรื่องการผสมระหว่างอากาศกับเชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพขึ้น
3. เทอร์โบชาร์จเจอร์ ลูกใหม่ ออกแบบมาให้สามารถทำลมได้มากกว่าเดิม
ที่รอบเครื่องต่ำ เมื่อเทียบกับเครื่อง 2.2 ลิตรบล๊อกปัจจุบัน
เบื้องต้นเครื่องยนต์นี้จะถูกใช้ใน Ford Transit รถตู้เพื่อการพาณิชย์ของ Ford
ที่ขายในยุโรปเป็นรุ่นแรก ซึ่งมีการวิ่งทดสอบความทนทานไปแล้วกว่า 5.4 ล้านกิโลเมตร
เตรียมใช้เครื่องยนต์นี้ในตลาดทั่วโลก ทั้งยุโรป จีน อเมริกา เนื่องจาก Ford Transit
รุ่นปัจจุบันนั้นมีการใช้เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร และ 3.2 ลิตร เช่นเดียวกันกับ Ford Ranger /
Ford Everest ทำให้มีแนวโน้มคาดว่าจะมาประจำการใน Ford Ranger / Ford Everest
รุ่นถัดไปอย่างแน่นอน ในปี 2018 – 2019
ที่มา : motortrend