ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่ BMW เปิดตัว M5 เจนเนอเรชั่นใหม่ โลกของนักเลงรถจะมีความคึกคักด้วยกระแสพูดคุยขึ้นอยู่พักหนึ่งอยู่เสมอ สาวกสาย M กับแถบ 3 สีมีความกระหายใคร่อยากรู้ว่ารถรุ่นใหม่ที่ออกมาจะแรงขึ้นแค่ไหน น้ำหนักเบาลงหรือเปล่า และมีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆมาให้ใช้บ้าง
ค่ำคืนของวันที่ 21 สิงหาคม 2017 (ตามเวลาประเทศไทย) นี้ก็เช่นกัน เรานั่งถ่างตารอจนข้ามวันไปถึง 22 สิงหาคม ถึงได้ทยอยเห็นข่าวอย่างเป็นทางการของ M5 รุ่นใหม่ (ซึ่งยังเป็นวันที่ 21 ตามเวลาของเยอรมนี)

ถ้าเรานับย้อนหลังไปในอดีต 33 ปีที่ผ่านมาของ M5 จะเห็นได้ว่าเราจะพบความเปลี่ยนแปลงแบบพลิกแนวคิดความแรงกันเกือบทุกครั้งไป ถูกล่ะ.. M5 E28 กับ E34 นั้นอาจไม่ต่างกันมากในสิ่งที่มันเป็น ซึ่งก็คือสปอร์ตซาลูนไซส์กำลังดี วางเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงเพ็ดดีกรีมอเตอร์สปอร์ต ประกบเกียร์ธรรมดา แต่วิวัฒนาการของรูปทรงภายนอกนั้นก้าวไปไกลชนิดคนละพิมพ์เขียวกับรถรุ่นเดิม

ยิ่งพอมาเป็น M5 E39 เครื่อง 6 สูบเรียงที่ถูกเลี้ยงให้โตมาสนามแข่ง ก็กลายเป็นอดีต ถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ V8 5.0 ลิตร 400 แรงม้า ต่อมาเมื่อ Mercedes-Benz ประกาศสงครามแรงม้าด้วย E55 Kompressor 473 แรงม้า BMW ก็เริ่มหันทิศทางจากสปอร์ตซาลูนเกียร์ธรรมดาสับมันส์ มาเอาจริงกับความเร็วมากขึ้นด้วยการสร้าง M5 E60 ที่ใช้เครื่องยนต์ 10 สูบ 507 แรงม้า หมุนทะลุ 8,000 รอบต่อนาที ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคเทอร์โบครองเมืองกับ M5 F10 ที่กลับไปหาเครื่อง 8 สูบ แต่ใช้ระบบอัดอากาศเป่าเสกแรงม้าจนมากกว่าซูเปอร์คาร์หลายรุ่น
ดังนั้น ในเมื่อเราเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ M5 มาโดยตลอดแล้วพบว่าแต่ละครั้งมันกลับมาด้วยแนวคิดที่ไม่เหมือนเดิม ไฉน M5 รุ่นใหม่ที่มีรหัสตัวถังว่า F90 (ไม่ใช่ G30 แบบรุ่นธรรมดา) จึงดูเหมือนไม่ได้ฉีกห่างไปจากรุ่นเดิมมากนัก
คำตอบอาจอยู่ที่ส่วนอื่นซึ่งไม่ใช่เพียงแรงม้าในเครื่องยนต์หรือรูปลักษณ์ภายนอก..ใช่แล้ว! เพราะ M5 รุ่นใหม่นี้ มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ M xDrive ที่ทำให้รถเกาะถนนแบบขับสี่ และปรับให้ขับสนุกแบบขับสี่ท้ายกวาดแบบ GT-R R34 ก็ได้ ..และยิ่งถ้าเจ้าของกล้าพอ ก็สามารถปรับให้มันกลายเป็นรถขับหลังขาดริฟท์แบบโหดๆเลยก็ได้
เริ่มน่าสนใจขึ้นบ้างหรือยังครับ


รูปทรงภายนอก มีลักษณะโดยรวมเหมือนกับซีรีส์ 5 ตัวถัง G30 แต่มีชุดแต่งกันชนหน้า M, สเกิร์ตข้าง, กันชนหลังพร้อม Diffuser ของ M, กระจกมองข้าง M และเพิ่มเติมกับท่อไอเสียปลายออก 4 ท่อ พอให้คนที่เพิ่งโดนแซงไปรู้ว่าพวกเขาไม่ได้เพิ่งถูกเชือดโดย 520d หรือแท็กซี่โรงแรมโอเรียนเต็ลทั่วไป M5 F90 มีความยาวตัวถัง 4,965 มิลลิเมตร กว้าง 1,903 มิลลิเมตร สูง 1,473 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,982 มิลลิเมตร ระยะแทร็คล้อหน้า 1,626 มิลลิเมตร ด้านหลัง 1,595 มิลลิเมตร
มีการนำเอาวัสดุอะลูมิเนียมมาใช้เพื่อช่วยลดน้ำหนักตามจุดต่างๆเช่นฝากระโปรงหน้ากับแก้มหน้า และใช้หลังคาที่ทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์เหมือน M4 ทำน้ำหนักตัวถังเปล่าตามมาตรฐาน DIN อยู่ที่ 1,855 กิโลกรัม ซึงถือว่าไม่หนีจากรุ่นเดิมมากนักทั้งๆที่ต้องแบกชุดขับเคลื่อน 4 ล้อไว้
ภายในของ M5 รุ่นใหม่นั้น จุดสำคัญที่มีการปรับปรุงให้เหนือกว่ารุ่นธรรมดาก็คือการแสดงผลของหน้าปัดจอ TFT ซึ่งจะมีสีสันและการจัดวางตำแหน่งข้อมูลไม่เหมือนกับซีรีส์ 5 รุ่นธรรมดา นอกจากนี้แม้แต่ชุดจอ Head Up Display ก็ยังสามารถปรับวิธีการแสดงผลได้หลายแบบ เพื่อให้เหมาะกับความถนัดและความชอบของผู้ขับขี่แต่ละคน



เบาะนั่งในสเป็คมาตรฐาน จะหุ้มด้วยหนัง Merino ปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบความจำที่ฝั่งคนขับเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ตัวเบาะสามารถปรับองศาก้ม เงย เบาะรองนั่งเทลงหน้าหรือหลังเพื่อล็อคตัวคนขับให้ถนัดได้
เครื่องยนต์ สูตรเดิม เพิ่มแรงบิด
เครื่องยนต์ของ M5 F90 ใหม่ ยังเป็นแบบ V8 4.4 ลิตร เทอร์โบชาร์จ รูปแบบใกล้เคียงกับของรุ่นเดิม เป็นเครื่อง M TwinPower Turbo ซึ่งมีทั้งระบบ Valvetronic และระบบแปรผันเยื้ององศาแท่งเพลาลูกเบี้ยว VANOS ทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด Direct Injection แรงดัน 350 บาร์ ติดตั้งท่อร่วมไอเสียแบบ Cross-bank exhaust manifold ซึ่งจะมีเฮดเดอร์ของบางลูกสูบถูกเชื่อมไขว้ฟากฝั่งฝาสูบกัน เพื่อเน้นการดูดของไอเสียที่ถูกจังหวะ มีเทอร์โบชาร์จแบบ Twin-scroll 2 ลูก

ความจุกระบอกสูบอยู่ที่ 4,395 ซี.ซี. จากปากกระบอกสูบ x ช่วงชัก ขนาด 89.0 x 88.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.0 : 1 ให้แรงม้าสูงสุด 600 hp ที่ 5,600-6,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร มีให้ใช้ตั้งแต่ 1,800-5,600 รอบต่อนาที ซึ่งนับว่าแรงม้านั้นก็เท่ากับ M5 Competition ที่เพิ่งตกรุ่นไป แต่แรงบิดสูงกว่ากันอยู่อีก 70 นิวตันเมตร ปล่อย CO2 241 กรัม/กิโลเมตร
ระบบส่งกำลัง..ลาแล้วซึ่งคลัตช์คู่
ตามข่าวที่ปรากฏก่อนหน้านี้ BMW เริ่มคิดได้ว่าเกียร์อัตโนมัติทอร์คคอนเวอร์เตอร์สมัยใหม่นั้นสามารถพัฒนาจนทำงานได้เร็วและส่งกำลังลงพื้นได้มากกว่าสมัยก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนมาใช้เกียร์ ZF 8 จังหวะ “M Steptronic” แทน M-DCT ของเดิม และเกียร์ลูกใหม่นี้จะมีฟังก์ชั่น Drivelogic ซึ่งสามารถปรับการทำงานได้ 3 แบบ

- Drivelogic 1 (D1) – เน้นการประหยัดเชื้อเพลิง เปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล ขึ้นเกียร์สูงเร็ว
- Drivelogic 2 (D2) – เล่นรอบสูงขึ้น เกียร์จะคาอยู่เกียร์ต่ำบ่อยขึ้น และเวลาเปลี่ยนเกียร์หรือคิกดาวน์จะไวขึ้น
- Drivielogic 3 (D3) – เน้นความเร็ว โหด และไวในการเปลี่ยนเกียร์เพื่อความมันส์สำหรับขับในสนามแข่ง
อัตราทดเกียร์มีดังนี้
เกียร์ 1 ……………….. 5.000
เกียร์ 2 ………………. 3.200
เกียร์ 3 ………………. 2.143
เกียร์ 4 ………………. 1.720
เกียร์ 5 ………………. 1.313
เกียร์ 6 ………………. 1.000
เกียร์ 7 ………………. 0.823
เกียร์ 8 ……………… 0.640
เกียร์ถอยหลัง 4.172 ส่วนอัตราทดเฟืองท้ายเท่ากับ 3.150
ในด้านตัวเลขสมรรถนะ BMW เคลมว่า M5 ใหม่ สามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายในเวลาแค่ 3.4 วินาที และใช้เวลาเร่งจาก 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 11.1 วินาที ไปสู่ความเร็วสูงสุดที่ล็อคเอาไว้ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าใครกล้าพอ ก็สามารถสั่งแพ็คเกจพ่อบ้านใจกล้า ซึ่งจะยอมปล่อยให้รถวิ่งได้ 305 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเราก็ทราบอยู่แล้วว่านั่นคือ..ยังไม่ปลดล็อคหมด เพราะถ้าปลดหมด ความเร็วแค่นั้นไม่คณา 600 ม้าแน่นอน
M xDrive – ขับสี่ 2 โหมด+ ขับหลัง 1 โหมด + DSC
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ M xDrive นี้ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ และใช้กับ M5 เป็นครั้งแรก ทำงานประสานกับระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัวบนหน้าจอที่แยกกันเพื่อให้คนขับสามารถกำหนดนิสัยการตอบสนองของรถได้อย่างละเอียด
ถ้ากดเปิด DSC ไว้ คุณจะเลือกได้แค่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบปกติ (4WD) เท่านั้น และตัวระบบ DSC จะพยายามประคองรถให้ผ่านอุปสรรคอย่างง่ายดาย ในขณะที่ถ้าคนขับเซ็ตไปโหมด M Dynamic ระบบจะทำงานควบคู่ไปกับโหมดส่งพลังขับเคลื่อนแบบ 4WD Sport และจะยอมให้รถเสียการทรงตัวได้นิดหน่อยเพื่อความสนุกในการขับขี่ ส่วนถ้ากด DSC Off คุณก็ต้องพึ่งฝีมือของตัวเองล้วนๆ แต่ข้อดีก็คือ เมื่อคุณปิดมันแล้ว จะสามารถเลือกโหมดการทำงานของระบบขับเคลื่อนได้ครบทั้ง 3 แบบ ซึ่งได้แก่

- 4WD – สมองกลจะพยายามจัดสรรการกระจายแรงบิดตามสภาพถนน คันเร่ง ความเร็ว และองศาการหักของพวงมาลัย โดยมีจุดประสงค์อยู่ที่ความปลอดภัยในการขับขี่สูงสุดและการบังคับควบคุมที่ง่ายดาย
- 4WD Sport – รถจะถ่ายแรงบิดไปที่ล้อหลังเป็นหลัก และเวลาเข้าโค้ง ก็จะพยายามส่งกำลังไปล้อหลังวงนอกโค้งมากขึ้น ลักษณะดังกล่าวทำให้มันกลายเป็นรถขับสี่ที่มีอาการท้ายปัดได้ แต่เป็นการปัดแบบที่คาดเดาได้ และแก้อาการได้ไม่ยาก หากใช้ให้ถูกจังหวะจะทำให้รถตั้งหน้าตรงก่อนออกโค้งได้เร็ว ทำให้นักขับที่ทักษะสูงสามารถทำเวลาได้เร็วขึ้น
- 2WD – ขับหลังล้วนๆ เปิดโอกาสให้คุณดริฟท์ ฝากรอยยางได้เต็มที่ เป็นโหมดที่ทำขึ้นเพื่อเอาใจสาวก M ขาโหดที่บูชาความเป็นรถขับหลัง ต้องการแสดงความเก๋าในฝีมือ หรือแค่อยากจะสนุกกับธรรมชาติของรถขับหลังพลังสูง
นอกจากนี้การส่งกำลังของระบบ M xDrive นั้นยังทำงานประสานกันกับเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป M Active Differential ซึ่งเมื่อรวมกับชุด Transfer Case แบบ Multi-plate Clutch แล้ว ทำให้ M5 สามารถถ่ายแรงบิดจากหน้าไปหลัง หรือถ่ายจากล้อหลังคู่ซ้ายไปล้อคู่ขวาได้อย่างอิสระตั้งแต่ 0-100%
ช่วงล่างของ BMW M5 ใหม่ เป็นแบบ M Adaptive Suspension ด้านหน้า ปีกนกคู่ดับเบิลวิชโบน ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Five-link ควบคุมการยวบและคืนตัวด้วยโช้คอัพปรับไฟฟ้า VDC (Variable Damper Control) ปรับความหนืดได้ 3 ระดับ (Comfort, Sport และ Sport Plus)
ส่วนเบรกที่ใช้ เป็นแบบ M-Compound ด้านหน้าใช้คาลิเปอร์แบบ Fixed 6 Pot ส่วนด้านหลังเป็นคาลิเปอร์แบบ Floating 1 Pot ซึ่งถ้าลูกค้ากลัวว่าจะไม่พอกำราบม้า 600 ตัว ก็ยังสามารถสั่งแพ็คเกจเบรกคาร์บอนเซรามิกมาใช้ได้ ประสิทธิภาพการเบรกจะสูงขึ้นและมีน้ำหนักของชุดเบรกเบาลงรวม 23 กิโลกรัม ความต่างของรถเบรกมาตรฐานกับเบรกคาร์บอนเซรามิกนั้น สังเกตได้จากคาลิเปอร์ ถ้าเป็นสีน้ำเงินคือสเป็คธรรมดา ถ้าสีทอง เป็นคาร์บอนเซรามิก

ยางในสเป็คมาตรฐาน เป็นของ Michelin PilotSport 4S (เกรดสูงกว่า Pilot 4 ธรรมดา) ด้านหน้าใช้ยางขนาด 275/40ZR19 ส่วนด้านหลังเป็นขนาด 285/40ZR19 ส่วนล้ออัลลอยเป็นของ M ทำสี Orbit grey ขนาดล้อไม่เท่ากัน ด้านหน้าเป็นล้อขอบ 19 นิ้ว กระทะกว้าง 9.5 นิ้ว และด้านหลัง 19 นิ้ว กระทะกว้าง 10.5 นิ้ว
ซึ่ง BMW ก็รู้แล้วว่าสำหรับบางคนมันจะใหญ่ไม่พอ จึงมีแพ็คเกจล้อโต 20 นิ้วลาย 7 ก้านคู่ขาย จัดชุดกับยาง 275/35ZR20 และ 285/35ZR20 ให้เลือก จับคู่กับล้ออัลลอย 20 นิ้วให้เลือก
ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า M-Servotronic ซึ่งมีระบบแปรผันอัตราทด (ความไว) ของพวงมาลัย Variable Sport Ratio โดยในเวลาที่ถือพวงมาลัยตรง อัตราทดเฟืองพวงมาลัยจะอยู่ที่ 14.3 : 1 และแปรผันไปตามความเร็วกับองศาการหักเลี้ยวของล้อหน้า และยังสามารถปรับน้ำหนักความหนืดได้ 3 ระดับ (Comfort, Sport และ Sport Plus)
นอกจากจะอนุญาตให้ผู้ขับสามารถเลือกการตอบสนองของเครื่องยนต์ เกียร์ DSC ระบบขับเคลื่อน ช่วงล่าง พวงมาลัย และการแสดงผลของจอ HUD แล้ว ใน M5 ใหม่นี้ ยังมีปุ่มบันทึกค่าการปรับตั้งสิ่งต่างๆ เอาไว้ในปุ่ม M1 และ M2 สีแดงที่อยู่บนก้านพวงมาลัย โดยผู้ขับสามารถเลือกการตั้งค่าสำหรับแต่ละองค์ประกอบได้ตามใจชอบ (ยกเว้น DSC กับ M xDrive ซึ่งบางโหมดจะต้องเลือกควบคู่กันไป) แล้วบันทึกไว้ 2 แบบ พอถึงเวลาบู๊ก็กดปุ่มเรียกใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องมานั่งเลือกโหมดทีละอย่างให้เสียเวลา
BMW M5 First Edition
นอกจากเปิดตัวรุ่นปกติแล้ว ทาง BMW ยังได้เผยโฉม BMW M5 First Edition ซึ่งใช้สีแดงแบบพิเศษ Frozen Dark Red Metallic และตกแต่งภายในโดย BMW Individual ซึ่งจะมีการผลิตออกมาแค่ 400 คันเท่านั้น หมดแล้วหมดเลย


เอกลักษณ์ที่สำคัญของรุ่น First Edition นี้ ยังรวมไปถึงกระจังหน้า ขอบกระจก และท่อไอเสียสีดำ ซึ่งเป็นฝีมือการเลือกแต่งของทาง BMW Individual เอง นอกจากนี้ยังได้ล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้วพ่นสีดำเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ภายในก็ตกแต่งด้วยวัสดุสีดำเงา Piano Black กับเบาะนั่ง M-Multifunction นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถเลือกสั่งเบาะหนังสี Smoke White เย็บตะเข็บด้ายสีดำเพิ่มได้อีกเช่นกัน

รถ M5 First Edition ทุกคันจะมีป้ายบอกลำดับการผลิตอยู่ที่คอนโซล โดยไล่ตั้งแต่ 1/400 ไปจนถึง 400/400 ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้น BMW ก็จะหยุดการผลิต ถ้าใครสน จะกระซิบให้ว่าสนนราคาแพงกว่า M5 สเป็คมาตรฐานอยู่ราว 19,500 ยูโร


และนี่ก็คือความพิเศษ กับพิษสงของ BMW M5 F90 อาวุธขนาดใหญ่อันร้ายกาจที่ BMW ทำมาเพื่อดับความซ่าของ Mercedes-AMG E63s ซึ่งเป็นรถที่มีความคล้ายกันหลายด้าน ตั้งแต่ใช้เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบเหมือนกัน มีอัตราเร่ง 0-100 เท่ากัน BMW สามารถตัดกำลังเหลือขับเคลื่อน 2 ล้อหลังได้ และ E63s ก็มี Drift Mode ให้กวาดท้ายได้เหมือนกัน
ทาง BMW ในฝั่งยุโรป จะเปิดรับสั่งซื้อ M5 ในเดือนกันยายนนี้ และตามแหล่งข่าวจาก MOTOR Australia จะมีการเชิญสื่อมวลชนไปงานเปิดตัวแบบ International Launch พร้อมให้ทดลองขับในเดือนพฤศจิกายน ส่วนตัวรถนั้นจะเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2018
ที่มา: BMWGroup Press, MOTOR