ในขณะที่ค่าย BMW มีตระกูล i เอาไว้บุกตลาดรถยนต์รักษ์โลกแนวใหม่ไปแล้ว แต่ต้องแยกกันว่าตระกูล i นั้นเป็นรถยนต์แนวใหม่
ตั้งแต่พื้นฐาน แตกต่างกันจากรถยนต์ BMW รุ่นทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้ BMW เริ่มมีแนวคิดทำขุมพลัง Plug-in Hybrid
ใส่รถยนต์ที่ตนเองขายอยู่บ้าง โดยนำร่องออกมาแล้วกับ BMW X5 รถยนต์อเนกประสงค์รุ่นดังของค่าย ด้วยชื่อ
BMW X5 xDrive40e
จริงๆแล้วรถยนต์รุ่นนี้ถูกพรีวิวในรูปแบบคอนเซปท์มา 2 ครั้งแล้ว ในชื่อ BMW Concept X5 eDrive เป็นการส่งสัญญาณว่า
BMW เริ่มเอาจริงเอาจังกับเทคโนโลยีไฟฟ้า และเหตุผลที่ตัดสินใจนำมาใช้กับ BMW X5 กันก่อน เพราะสามารถแสดงถึง
ศักยภาพเทคโนโลยีไฮบริดเสียบปลั๊กของ BMW ที่เข้ากับการใช้รถยนต์แบบอเนกประสงค์และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive ได้อย่างดี
รูปลักษณ์ภายนอกเหมือน BMW X5 โฉมปัจจุบันเป็นส่วนใหญ่ แต่มีความเปลี่ยนแปลงบริเวณเหนือซุ้มล้อหน้าซ้าย
ที่ติดตั้งช่องเสียบปลั๊กชาร์จไฟเอาไว้ ซึ่งช่องชาร์จนี้จะติดตั้งวงแหวนไฟเพื่อแสดงสถานะการชาร์จได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูในรถ
นอกจากนี้ยังมีการดัดแปลงงานออกแบบเล็กน้อย เช่น ระบบท่อไอเสียคู่แบบใหม่ ตกแต่งชายล่างประตูด้วยโทนสีฟ้าแสดงถึง
การมีขุมพลังไฟฟ้า และติดตั้งป้าย ‘eDrive’ เหมือนกับ BMW i3 และ i8
จุดเด่นของ BMW X5 xDrive40e อยู่ที่ระบบขับเคลื่อนซึ่งผสานเอาขุมพลังเบนซิน 4 สูบ พร้อมเทอร์โบ TwinPower Turbo
ขนาด 2.0 ลิตร 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 113 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร
ซึ่งทำให้ตัวรถสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.8 วินาที แต่ทำความเร็วได้สูงสุดเพียง 210 กม./ชม.
จากการล็อกความเร็ว เพื่อไม่ให้ระบบไฟฟ้าต้องชำรุดก่อนวัยอันควร
นอกจากนี้ ขุมพลังอันล้ำสมัย ยังถูกส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ xDrive ซึ่งยังคงทำงานได้อย่างเต็มที่
แม้จะขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าอย่างเดียวก็ตาม นอกจากนี้ BMW ยังออกแบบให้ตัวรถใช้แบตเตอรี่แบบ Li-ion กำลัง 9 kWh และนำ
เทคโนโลยีชาร์จไฟบ้านจาก BMW i ในขณะที่ออกแบบแพคเกจจิ้งตัวรถให้ยังมีความอเนกประสงค์จนสามารถบรรทุกสัมภาระ
ได้มากถึง 1,720 ลิตร เหมือนรุ่นปกติทุกประการ
ตัวรถสามารถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าไกลถึง 60 กิโลเมตร ด้วยการจำกัดความเร็วในโหมดไฟฟ้าไว้ที่ 120 กม./ชม. อย่างไรก็ตาม
ระบบ Plug-in Hybrid ของ BMW ถูกออกแบบให้คำนึงถึงความประหยัดน้ำมันและลดการปล่อยมลภาวะเป็นหลัก
ทำให้ตัวรถสร้างอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยได้มากถึง 33.3 กม./ลิตร ซึ่งถือว่ามากกว่ารุ่นปกติหรือคู่แข่งในคลาสอย่างชัดเจน
(สำหรับการขับขี่ในเมือง)
ส่วนภายในห้องโดยสาร ยกชุดมาจาก BMW X5 รุ่นปกติ แต่มีความเปลี่ยนแปลงที่หน้าจอมาตรวัดและระบบ iDrive
ซึ่งถูกออกแบบให้แสดงผลการทำงานของระบบ Plug-in Hybrid รวมไปถึงการติดตั้งปุ่ม eDrive เพิ่มเติม
บริเวณคอนโซลกลาง
ที่สำคัญ คือการเพิ่มเซอร์วิส BMW 360° ELECTRIC อันเป็นบริการของ BMW ช่วยเหลือเรื่องระบบขุมพลังไฟฟ้าต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น คำปรึกษาระหว่างการใช้งาน การติดตั้งตู้ชาร์จที่บ้าน ไปจนถึงการดูแลรักษาระบบไฟฟ้าทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีบริการต่างๆที่ช่วยให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าเลิกกังวลกับแบตเตอรี่หรือระยะทางวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า เช่น
บริการ ChargeNow ซึ่งช่วยหาตำแหน่งชาร์จไฟจากพาร์ทเนอร์ต่างๆ หรือบริการ ParkNow Longterm สามารถหา
ที่จอดรถที่สามารถชาร์จไฟได้ และมีการสำรองที่จอดไว้ให้อย่างเรียบร้อย
BMW X5 xDrive40e จะถูกผลิตขึ้นที่โรงงานผลิตรถยนต์ BMW Spartanburg ในรัฐ South Carolina ประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็นที่แรกในโลก นั่นแสดงให้เห็นเลยว่า BMW ตั้งใจเน้นขายรถยนต์รุ่นนี้ในสหรัฐอเมริกาเป็นหลักกันก่อน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนัก
เพราะรถยนต์ประเภท Plug-in Hybrid ยังไม่ค่อยถูกยอมรับในหมู่ผู้ใช้ชาวยุโรปมากนัก และจะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป
ที่มา : BMW